บทที่ 399 หนูเชื่อคุณก็บ้าแล้ว

ข้าคือเขยผู้ยิ่งใหญ่

เย่เทียนไม่ได้รีบร้อนกลับบริษัทแซ่เฉิน แต่เปลี่ยนเส้นทางมาที่ตระกูลฉิน

คืนนี้ต้องเป็นค่ำคืนที่ไม่สงบอย่างแน่นอน ต้องมีการจัดการเพื่อตอบสนองบ้าง

ยังไงซะตระกูลฉินก็เป็นตระกูลใหญ่อันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงหนัน เรื่องบางเรื่องให้พวกเขาออกหน้าจะง่ายขึ้นเยอะ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฉินเจิ้งสั่งการไว้แต่แรกแล้วด้วยรึเปล่า คนรับใช้ที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูพอเห็นว่าเป็นเย่เทียนจึงไม่ได้ตรวจสอบอะไร และปล่อยเขาเข้าไปง่ายๆ

หลังจากบุกเข้ามาถึงห้องรับแขกตระกูลฉินแล้ว ฉินเจิ้งกำลังนั่งโยกเยกอยู่บนเก้าอี้โยกอันแสนสบาย ดื่มดำไปกับงิ้วที่เล่นอยู่ในวิทยุ

เมื่อเห็นเย่เทียนเดินเข้ามา ฉินเจิ้งรีบปิดวิทยุและทักทายอย่างเป็นกันเอง “คุณชายเย่ๆ มาๆๆ มานั่งตรงนี้”

“อื้ม”

เย่เทียนค่อนข้างชอบตาเฒ่าฉินเจิ้งคนนี้ จึงเดินเข้าไปนั่งลงข้างเขาอย่างไม่คิดมาก

“คุณชายเย่ จู่ๆคุณก็มาแบบนี้คงจะมีเรื่องอะไรสินะ”

ฉินเจิ้งพูดพลางลุกขึ้นชงชาให้เย่เทียนด้วยตัวเอง

ถ้าคนอื่นมาเห็นฉากนี้ต้องตกใจอย่างแน่นอน ในตระกูลฉินอันกว้างใหญ่นี้ ต่อให้เป็นแก้วตาดวงใจของตระกูลฉินอย่างฉินโล่หยินก็ไม่ได้รับการปฏิบัติแบบนี้หรอก!

เย่เทียนไม่รู้ความหมายที่แฝงมาด้วยหรอก เขารับถ้วยชามาโดยไม่คิดมากและดื่มให้ชุ่มคอ

กำลังจะปริปาก เสียงเรียกแสนเกียจคร้านของฉินโล่หยินดังขัดมาจากชั้นบนเสียก่อน “คุณปู่ พูดอยู่กับใครคะ ที่บ้านมีแขกมาเหรอคะ?”

เย่เทียนมองไปตามเสียงก็ตาเป็นประกายขึ้นมาในบัดดล เขามองฉินโล่หยินด้วยรอยยิ้มบางๆ

เด็กสาวยังสวมชุดนอนชั้นบางอยู่ หุ่นอ้อนแอ้นเผยให้เห็นลางๆ ยั่วยวนสุดๆ!

ผมเธอก็ยุ่งเหยิงอย่างกับรังนก ต่างจากบุคลิกกุลสตรีในวันปกติโดยสิ้นเชิง

ใช้นิ้วเท้าคิดก็ยังรู้ว่าแม้ว่าตอนนี้เป็นเวลาใกล้เที่ยงแล้ว แต่ฉินโล่หยินคงจะเพิ่งตื่น

ภาพที่หาดูได้ยากนี้ส่งผลให้สายตาเย่เทียนที่มองไปนั้นเป็นประกายอย่างอดไม่ได้ เขาคลี่ยิ้มมุมปากอย่างมีเลศนัย

“คุณปู่คะ ทำ ทำไมถึงไม่เตือนหนูหน่อยคะว่าเย่เทียนจะมา!”

ทว่าฉินโล่หยินไม่ได้อารมณ์ดีเหมือนเย่เทียน พอเธอเห็นใบหน้าของเย่เทียนอย่างชัดเจนแล้วก็ร้องเสียงหลงด้วยสัญชาตญาณ และปิดหน้าหายไปจากทางบันไดอย่างทุลักทุเล

“จะเป็นอะไรไป เย่เทียนไม่ใช่คนนอกสักหน่อย”

ฉินเจิ้งตอบฉินโล่หยินด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม ก่อนจะหันไปยิ้มให้เย่เทียน “คุณชายเย่ โล่หยินแก่นแก้วอย่างนี้ตั้งแต่เด็ก คุณอย่าถือสานะ”

“ไม่หรอกครับ”

เย่เทียนส่ายหัวและพูดตรงๆ “นายท่านฉิน จริงๆแล้วที่ผมมาวันนี้เพราะมีเรื่องอยากให้คุณช่วยครับ”

ฉินเจิ้งจิบชาหอมอย่างมีนัย และพูดอย่างแฝงความหมาย “เรื่องคืนนี้ที่หอวั่งไห่ใช่มั้ย”

“หืม?!”

เย่เทียนผงะ คิดไม่ถึงว่าฉินเจิ้งจะรู้จุดประสงค์ที่ตัวเองมา

“ใช่แล้วครับ”

แต่พอคิดดูอีกทีเย่เทียนก็เข้าใจ ขนาดพวกหลิวชิงที่ซ่อนตัวยังได้รับข่าว ฉินเจิ้งผู้เป็นถึงเจ้านายตระกูลอันดับหนึ่งแห่งเมืองเจียงหนันจะไม่ได้ข่าวได้ยังไง?

“คุณชายเย่ แม้ว่าตระกูลฉินของเราจะร่ำรวยจากศิลปะการต่อสู้ แต่ถ้าเทียบกับบรรดาคนที่หากินโดยเตรียมใจแขวนหัวไว้กับเข็มขัดแล้ว เกรงว่า…..”

เมื่อได้รับคำตอบแน่ชัดแล้ว ใบหน้าชราของฉินเจิ้งฉายแววลังเล

“นายท่านฉิน คุณเข้าใจผมผิดแล้วครับ”

“ผมไม่ได้มาขอให้คุณส่งคนมาช่วย ผมแค่หวังว่าคุณจะช่วยปิดทางเข้าออกของหอวั่งไห่”

“ถึงยังไงเรื่องบางเรื่องผมเชื่อว่าเบื้องบนไม่อยากเปิดเผย ไม่อย่างนั้นจะเป็นการสร้างความตื่นตระหนกได้ง่าย”

แต่ไม่รอให้ฉินเจิ้งพูดจบเย่เทียนก็โบกมือไม่ให้เขาพูดต่อ

“เรื่องนั้นไม่มีปัญหา”

ฉินเจิ้งได้ยินดังนั้นก็ลอบถอนหายใจ และตบหน้าอกรับปาก

หลังจากนั้นฉินเจิ้งเป็นฝ่ายชวนคุยเกี่ยวกับยอดขายของยาเพิ่มพลัง ตอนนี้เริ่มตีตลาดได้แล้ว ยอดขายดีขึ้นเรื่อยๆๆ

แม้ว่าเย่เทียนจะไปแค่ไม่กี่วัน แต่ยาเพิ่มพลังที่เขาเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ขายไปได้กว่าครึ่งแล้ว

แน่นอนว่าฉินเจิ้งพยายามจะสื่อว่าการขายยาเพิ่มพลังจะจำกัดแค่ในพื้นที่เมืองจินและเมืองเจียงหนันเพียงสองที่ไม่ได้

กับเรื่องนี้เย่เทียนก็ชักลังเล

ยอดขายของยาเพิ่มพลังดีกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้ หากพึ่งเพียงเขาคนเดียวเกรงว่าไม่ต้องทำอะไรเลยทั้งวันนอกจากปรุงยาในแต่ละวันก็ไม่อาจตอบสนองตลาดทั้งประเทศได้

อย่างแรก ไม่มีทางที่เขาจะเอาแต่ปรุงยาเหมือนพวกหงิมๆ มีอีกมากมายหลายเรื่องที่เขาต้องไปจัดการ

อย่างที่สอง แม้ว่าเงินจะเป็นของดี แต่สำหรับเย่เทียนสิ่งเดียวที่ต้องใช้คือการซื้อทรัพยากรในการฝึกฝน ตอนนี้ที่จ๊กกลางมีเหมืองหยก ขอเพียงขุดเหมืองสำเร็จ ในช่วงสั้นๆนี้เขาไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก

คุยกันพักใหญ่ ในที่สุดฉินโล่หยินก็เดินลงมาจากชั้นบน

เด็กสาวแค่เปลี่ยนชุดไปหนึ่งชุดเท่านั้น และแต่งหน้าอ่อนๆ ทว่าเธอแต่งตัวได้สวยงามมีเสน่ห์มาก

เมื่อเห็นเย่เทียนอีกครั้ง ใบหน้าสวยๆของเธอก็ยังอดแดงเล็กน้อยไม่ได้

ไม่ว่ายังไงเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงที่อยู่ในวัยสะพรั่ง หากชายอื่นมาเห็นสภาพนั้นของเธอก็ต้องเขินเป็นธรรมดา

“พี่เย่ ฉันจำได้ว่าพี่ไปจ๊กกลางไม่ใช่เหรอคะ? กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ฉันเพิ่งกลับมาเมื่อวาน”

เย่เทียนยิ้มอย่างไว้ท่วงที นัยน์ตาสีนิลคู่นั้นราวกับพูดได้ เขามองฉินโล่หยินจนเธอชักลนลาน

กลับเป็นจิ้งจอกเฒ่าอย่างฉินเจิ้งที่สังเกตเห็นท่าทางเขินอายของหลานสาว นัยน์ตามัวหมองเผยความรู้สึกซับซ้อน

“ฮ่าๆ ตาฉิน ไอ้แก่ไม่ยอมตายสักทีอย่างนายอยู่ที่นี่เองเหรอ”

ในขณะที่ทั้งสามคนคุยกันอยู่ ก็เห็นผู้เฒ่าสูงวัยคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอกด้วยท่าทีสดใด

ผู้เฒ่าผู้นี้อวบหน่อยๆ สวมชุดโบราณสมัยราชวงศ์ถัง ที่เอวคล้องน้ำเต้าใส่เหล้าไว้ด้วย ท่าทางไร้กฎเกณฑ์

คล้อยหลังการปรากฏตัวของเขา กลิ่นหอมเหล้าจางๆอบอวลอยู่ในอากาศ

นัยน์ตาสีนิลของเย่เทียนหรี่ลงเล็กน้อย สัมผัสกลิ่นอายอันตรายจากตัวผู้เฒ่าผู้นี้ได้ด้วยสัญชาตญาณ

“ปู่สาม ท่านมาหากินฟรีที่นี่อีกแล้วเหรอคะ?!”

เห็นได้ชัดว่าฉินโล่หยินรู้จักคนมาดี พอเห็นผู้เฒ่าปุ๊บก็ลุกขึ้นทันที ใบหน้าเล็กๆฉายแววโกรธเล็กน้อย

“เฮ้ เสี่ยวหยินหยินพูดเรื่องอะไรกันเล่า หมายความว่ายังไงที่ว่ามากินฟรี”

“ฉันสนิทกับปู่แกนี่ เลยมาคุยกับปู่แกหน่อย”

ผู้เฒ่าที่ถูกเรียกว่าปู่สามค่อยๆเดินเข้ามา และนั่งลงบนโซฟาอย่างสนิทสนม ก่อนจะหยิบแอปเปิ้ลบนโต๊ะขึ้นมากินราวกับอยู่บ้านตัวเอง

“หนูเชื่อคุณก็บ้าแล้ว!”

“ทุกครั้งคุณจะมาตอนเวลาอาหาร ไม่เรียกว่ามากินฟรีแล้วจะให้เรียกว่าอะไร!”

ใบหน้าเล็กๆของฉินโล่หยินป่องขึ้น เห็นได้ชัดว่าไม่พอใจมากกับผู้เฒ่าผู้นี้…..