เขาอยู่แถวที่จัดานต่ออีกประมาณหนึ่งชั่วโมง งานแถลงข่าวเปิดตัวสินค้าใหม่ครั้งนี้ถือว่าจบลงโดยไม่มีเรื่องร้ายๆเกิดขึ้น
แม้ว่าทั้งเฉินหวั่นชิงและแซ่เจียมีฐานะไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่ายังไงก็เป็นผู้หญิงที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน นั่งคุยบทสนทนาของผู้หญิงจ๊อกแจ๊กอยู่เบาะหลัง จนเย่เทียนไม่มีจังหวะให้แทรกเลย
แต่ระหว่างทางกลับ ได้มีเวลาให้เย่เทียนได้ใช้ความคิดอย่างใจเย็น และตัดสินใจจะไปหาหลิวชิงก่อน
หลังจากส่งเฉินหวั่นชิงและแซ่เจียกลับถึงบริษัทแซ่เฉินโดยสวัสดิภาพแล้ว และบอกลาสองสาวเรียบร้อย เย่เทียนก็มุ่งหน้าไปหาหลิวชิงโดยไม่รอช้า
ระหว่างทางเย่เทียนไม่ลืมโทรหาโจ๋หย่วนหัน รบกวนให้เขาส่งตำรวจสักสามสี่นายคอยเฝ้าระวังอยู่รอบๆบริษัทแซ่เฉิน เผื่อถ้ามีปัญหาเกิดขึ้นจะได้ไปถึงได้โดยด่วนที่สุด
เรื่องแค่นี้โจ๋หย่วนหันไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เขาตกลงโดยไม่อิดออด
ยังไงซะถึงไม่พูดถึงเย่เทียน เฉินหวั่นชิงเองก็เป็นนักธุรกิจใหญ่ระดับต้นๆของเมืองเจียงหนัน โจ๋หย่วนหันมีหน้าที่ต้องคุ้มกันเธอ!
ยังดีที่เคยมาแล้วรอบหนึ่ง เย่เทียนถือว่าคุ้นทาง ไม่นานนักเขาก็มาถึงสถานที่ที่พวกหลิวชิงใช้ซ่อนตัว
ที่นี่เป็นโกดังเก่าที่ค่อนข้างผุพัง เทียบกับคฤหาสน์หลังใหญ่ที่พวกหลิวชิงเคยอยู่ไม่ได้เลย
ข้อดีเพียงอย่างเดียวคือรอบๆโกดังเก่าไม่ค่อยมีสิ่งก่อสร้าง หากมีคนมาหาเรื่องก็จะรู้ตัวได้ทันที
คนที่รับหน้าที่เฝ้ายามอยู่หน้าประตูพอเห็นเย่เทียนปุ๊บก็เดินเข้ามาต้อนรับทันี สีหน้าฉายแววนับถือชื่นชม
“คุณชายเย่ ท่านมาได้ยังไงกันครับ?”
คนที่ยังอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนที่ซื่อสัตย์ต่อแก๊งมังกรฟ้ากันทั้งนั้น และคนเหล่านี้ส่วนใหญ่เคยเห็นความแข็งแกร่งของเย่เทียนกับตา และยอมสยบให้ด้วยใจจริง
พวกเขาจะไม่เร่าร้อน ไม่นับถือได้ยังไง
“อืม พวกหลิวชิงอยู่มั้ย?”
เย่เทียนพยักหน้าและยิ้มตาหยี เขารู้ความคิดของลูกน้องพวกนี้ดี
“อยู่ครับ อยู่ครับ”
ลูกน้องคนนั้นรีบพยักหน้า
“เอาล่ะ พวกนายจะไปทำอะไรก็ไปทำเถอะ”
เย่เทียนสั่งเสียงเรียบ และก้าวยาวๆเข้าไปในโกดัง
หลิวชิงและพวกเชิ่งหู่กำลังรวมหัวกันหารืออะไรบางอย่าง พอเห็นเย่เทียนเดินเข้ามาก็รีบเข้ามาต้อนรับ
“คุณชายเย่ครับ ในที่สุดคุณก็มา พวกเราจะเครียดตายกันอยู่แล้ว”
พวกหลิวชิงเครียดมากจริงๆ พวกเขาในตอนนี้ไม่ใช่พี่ใหญ่แก๊งใต้ดินที่พูดคำไหนคำนั้นอีกแล้ว
การเชื้อเชิญของหยางซิงในคืนนี้ต้องเปรียบเสมือนงานเลี้ยงหงเหมินอย่างแน่นอน และเย่เทียนก็ตกลงง่ายดายขนาดนี้ ถ้าเกิดปัญหาอะไรจริงๆพวกเขาจะสูญเสียต้นทุนสุดท้ายที่จะพลิกตัวกลับมา!
“มีอะไรต้องเครียด”
เย่เทียนยักไหล่ นั่งลงข้างๆด้วยท่าทีสบายๆและเอ่ยถาม “ว่ามาสิ รายละเอียดเป็นยังไง”
หลิวชิงพยักหน้าและพูดด้วยท่าทีขมขื่น “ไม่กี่ชั่วโมงก่อน จู่ๆก็มีข่าวแพร่ออกมาในแวดวงว่าหยางซิงอยากเชิญคุณไปพูดคุยที่หอวั่งไห่ เพื่อหารือเรื่องราวระหว่างพวกคุณครับ”
“คุณชายเย่ ไอ้สารเลวนั่นต้องไม่หวังดีแน่ๆ งานนี้เป็นงาเลี้ยงหงเหมินแน่นอนเลยครับ”
“ผมรู้ว่าคุณมีความสามารถและใจกล้าไม่กลัว แต่เบื้องหลังหยางซิงมีนักบู๊คอยหนุนอยู่ หากพวกเขาก็อยู่ที่นั่น เกรงว่า…..”
หลิวชิงพูดไม่จบประโยค แต่ใครๆก็รู้ในสิ่งที่เขาจะสื่อ
เย่เทียนเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย เพิ่งค้นพบว่าเรื่องนี้ลำบากกว่าที่เขาคิดไว้ไม่น้อย แต่พอคิดอีกแบบเขาก็หัวเราะออกมา
“คุณชายเย่ ทำไมคุณถึงหัวเราะล่ะครับ พวกเราเครียดกันจะตายอยู่แล้วนะครับ!”
“ให้ผมพูด คุณอย่าไปตามนัดคืนนี้เลยนะครับ หรือเราจะใช้โอกาสนี้จู่โจมฐานทัพใหญ่ของสหภาพถุงซิง หลอกล่อพวกเขาแล้วไปโจมอีกด้าน
หลิวชิงวางแผนอย่างมีสติ
“ไม่จำเป็นหรอก!”
แต่เย่เทียนกลับส่ายหัวเล็กน้อย ปฏิเสธข้อเสนอของหลิวชิง “หยางซิงมีความกล้าที่จะทรยศ น่าจะเป็นเพราะบรรดานักบู๊ที่อยู่เบื้องหลังเขาคอยยุ!”
“ขอเพียงฉันจัดการนักบู๊เหล่านั้นได้ เชื่อว่าสหภาพถุงซิงอะไรนั่นต้องสลายตัวในไม่ช้า!”
“ฉันกำลังคิดอยู่ว่าจะหาตัวพวกเขายังไง ในเมื่อพวกเขามารวมตัวกันเอง จะมัวเสียเวลาอีกทำไม?!”
พูดแบบนั้นก็ถูก แต่หลิวชิงก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้ “แต่ว่านะครับ คุณชายเย่…..”
“ฉันมีแผนในใจแล้ว นายไม่ต้องพูดอะไรอีก!”
เย่เทียนโบกมือไม่ให้พูดต่อ เขากวาดตามองทุกคนในนี้ด้วยสายตามีความหมาย “ตอนนี้ที่ฉันกังวลกลับเป็นอีกเรื่องมากกว่า!”
“อะไรเหรอครับ?”
พวกหลิวชิงชะงัก ไม่รู้เลยว่าเย่เทียนต้องการพูดอะไร
“รอให้ฉันจัดการพวกหยางซิงก่อน เรื่องราวที่จะตามมาต้องไม่น้อยแน่นอน สภาพพวกนายตอนนี้คงจะสยบผู้คนได้ยาก”
เจ้าเทียนไม่ได้รับสิ่งที่โค้งงอตรงไปตรงมามาก
นี่เป็นปัญหาที่ต้องพิจารณาและเสือยังคงดีแม้ว่าขาจะถูกตัดด้วยขาที่ต่ำกว่า แต่ก็ยังเป็นเสียงแขนขา
เย่เทียนไม่อ้อมค้อม เขาบอกไปเลยตรงๆ
นี่เป็นปัญหาที่น่าคิดจริงๆ เชิ่งหู่ยังไม่เท่าไหร่ ถึงแม้ขาสองข้างตั้งแต่เข่าลงไปจะโดนตัดไปแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังมีแขนขาครบ
แต่สถานการณ์ของหลิวชิงค่อนข้างจะร้ายแรง แขนซ้ายโดนฟันขาดตั้งแต่ไหล่ลงไป มือขวานิ้วหายไปหลายนิ้ว คิดจะให้คนอื่นมาอยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ได้ยากธรรมดาเลย
“คุณชายเย่วางใจเถอะครับ ที่จริงพวกเราคุยกันเกี่ยวกับปัญหาพวกนี้แล้ว”
หลิวชิงจะไม่รู้ได้ยังไงว่าเย่เทียนหมายถึงอะไร เขาพูดอย่างขมขื่น “พวกเรามาอยู่ในสังคมเช่นนี้ คิดไว้แต่แรกแล้วครับว่าจะพบจุดจบเช่นนี้ คนไร้ประโยชน์อย่างพวกเราไม่มีทางเป็นตัวถ่วงของคุณหรอกครับ”
“หลังจากจัดการหยางซิงแล้ว พวกเราจะออกจากยุทธภพ หลังจากนี้หูไห่จะเป็นคนนำทุกคนติดตามคุณเองครับ”
เย่เทียนพยักหน้าเล็กน้อย พวกหลิวชิงรู้หน้าที่แบบนี้เป็นผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้วโดยไม่ต้องสงสัย
หลังจากนั้นพวกเขาก็หารือเกี่ยวกับกระบวนการในคืนนี้ เย่เทียนถึงไปจากโกดัง
เพิ่งจะขับรถออกมามือถือก็ดังอีกครั้ง แต่ไม่ใช่ตี๋ต้าจื้อที่เย่เทียนคาดหวังไว้ หากแต่เป็นสายจากว่านชิงเฟิง
กับตาแก่ที่พยายามจะฝากตัวเป็นศิษย์กับตัวเอง เย่เทียนพอจำได้อยู่ลางๆ
“หมอเทพเย่ ใช่คุณมั้ยครับ?”
หลังจากรับสาย เสียงชราทว่าเจือความเคารพของว่านชิงเฟิงก็ดังเข้ามาตามสาย
แม้ว่าด้วยอายุของเขาเป็นคุณปู่ของเย่เทียนยังได้ แต่ด้วยทัศนคติที่ว่าผู้ปราดเปรื่องเป็นอาจารย์ ว่านชิงเฟิงวางตัวไว้อย่างผู้ต่ำกว่า
“ผมเอง มีอะไรเหรอครับ”
ยังไงซะก็เคยเจอกันแค่ครั้งเดียว เย่เทียนไม่คิดจะมีพิธีรีตองกับว่านชิงเฟิง เขาถามตรงเข้าประเด็นทันที
“คืออย่างนี้ครับหมอเทพเย่ อีกไม่กี่วันจะมีงานประชุมการแพทย์แผนจีน ผมอยากเชิญคุณมาร่วมด้วยครับ ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลามั้ยครับ”
“งานประชุมการแพทย์แผนจีน?”
เย่เทียนพึมพำ และพูดโดยไม่ตอบตกลงและไม่ปฏิเสธ “ขอดูก่อนนะครับว่าผมมีเวลามั้ย ถ้ามีเวลาผมแวะไปได้ครับ”
เย่เทียนไม่รู้สึกสนใจในเรื่องนี้เลยสักนิด แต่ตาแก่ว่านชิงเฟิงอุตส่าห์ถ่อมาเชิญ ถ้าปฏิเสธไปเลยออกจะใจร้ายไปหน่อย
“ได้ครับๆๆ อีกสองวันผมจะโทรหาคุณอีกครั้งนะครับ”
หลังจากวางสายแล้ว เย่เทียนพยักหน้าอย่างใช้ความคิด มิน่าล่ะก่อนหน้านี้ถึงได้เจอลูกศิษย์หมอระดับประเทศผู้โด่งดังอย่าง พานเหลียงผิงที่งานแถลงข่าว สงสัยน่าจะมาเข้าร่วมงานประชุมการแพทย์แผนจีนอะไรนี่แหละ