ตอนที่ 43-1 พวกชอบหาเรื่องมาอีกแล้ว

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

บรรดาหมอหลวงที่คุกเข่าอยู่บนพื้นตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเทา

 

 

อ๋องฉีเหลือบมองพวกเขาอีกครั้งก่อนที่จะพูดว่า “ลุกขึ้นมารอเถอะ”

 

 

หลังจากเหล่าหมอหลวงกล่าวขอบคุณแล้ว ขณะที่คิดจะลุกขึ้น ด้วยเพราะคุกเข่ามาเป็นเวลานาน ขาของพวกเขาบัดนี้จึงมีอาการเหน็บชา พยายามลุกขึ้นมาหลายครั้งแต่ก็ไม่อาจลุกได้ จนสุดท้ายต้องอาศัยคนข้างๆ ช่วยกันพยุงขึ้นมาถึงจะลุกขึ้นได้สำเร็จ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ สายตาของพวกเขาก็ทยอยกันมาจับจ้องที่เมิ่งเชี่ยนโยว อยากรู้นักว่านางใช้วิธีไหนทำให้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาได้

 

 

สัมผัสได้ถึงสายตาของคนมากมายที่มองมา เมิ่งเชี่ยนโยวมีหรือจะไม่รู้ว่าพวกเขากำลังคิดอะไรกันอยู่ จึงแอบกล่าวขึ้นในใจว่า สภาพสะบักสะบอมขนาดนี้แล้วยังคิดกันอยู่อีกว่านางใช้วิธีไหนถึงทำให้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาได้ เห็นได้ชัดว่าชื่อหมอหลวงที่พวกเขาได้รับหาได้ถึงเพียงนามลอยๆ ไปเสียทีเดียว เมิ่งเชี่ยนโยวแอบครุ่นคิดต่อในใจ หากพวกเขาถามนางถึงวิธีการรักษา นางควรจะบอกพวกเขาไปตามตรงหรือไม่ว่าตัวเองใช้วิธีไหน

 

 

แน่นอนว่าหวงฝู่อี้เซวียนเองก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของสาวใช้เมื่อสักครู่ด้วยเหมือนกัน จึงได้รู้ว่ายามนี้พระชายาฉีฟื้นขึ้นมาแล้ว หัวใจที่ค้างเติ่งอยู่กลางอากาศถูกปล่อยลงได้ในที่สุด ทันทีที่เห็นนางเดินออกมา จะได้สาวเท้าเข้าไปหาลนลานถามด้วยเสียงต่ำว่า “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง”

 

 

“โรคเก่ากำเริบ ช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้จะให้กลับมาเป็นเหมือนปกติคงทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ไม่อันตรายถึงชีวิตแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบเขากลับไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนถามขึ้นอีกครั้งอย่างกระวนกระวาย “เช่นนั้นท่านแม่ของข้าอีกหน่อยต้องนอนรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงหรือไม่”

 

 

อ๋องฉีได้ยินคำถามนี้ก็หันมามองนางเช่นกัน

 

 

สายตาของหมอหลวงหลายท่านพริบตาหันมาจ้องนางด้วยความใจจดใจจ่อ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ต้อง ร่างกายของพระชายาไม่ได้แย่ถึงขั้นนั้น อีกเดี๋ยวข้าจะเขียนใบสั่งยาให้อีกตำรับหนึ่ง ดื่มตามนี้ทุกวัน ร่างกายจะค่อยๆ ดีขึ้นมาเอง”

 

 

ดวงตาของหวงฝู่อี้เซวียนเป็นประกายระยับ ความยินดีระเบิดออกมาในทันใด ฉับพลันทุกคนที่อยู่ในลานต่างก็พากันเปล่งประกายมีชีวิตชีวาขึ้นตาม

 

 

อ๋องฉีเองก็มีความสุขเป็นอย่างมาก

 

 

สายตาของบรรดาหมอหลวงยังคงจ้องไปที่นางอย่างไม่อยากจะเชื่อ

 

 

เสียงของหวงฝู่อี้เซวียนเต็มไปด้วยความสุข “ขอบคุณเจ้ามาก โยวเอ๋อร์”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวถลึงตาใส่เขาครั้งหนึ่ง กล่าวไปว่า “เจ้ากับข้ายังต้องเกรงใจกันอยู่อีก”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มให้นางอย่างสดใส

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเกือบจะถูกรอยยิ้มของเขาทำให้ตาบอด นางสาปส่งความเป็นปีศาจของเขาอยู่ในใจแล้วเบือนหน้าหนีไปอีกด้าน

 

 

อ๋องฉีมองปฏิกิริยาตอบโต้ระหว่างพวกเขาในดวงตา ตาของเขาหรี่ลงเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาสักคำ

 

 

หมอหลวงหลายท่านของแคว้นยังคงลอบสบตากันเรื่อยๆ ข้ามองเจ้าเจ้ามองข้าอยู่อย่างนั้น ในที่สุดสายตาของทุกคนก็ตกไปอยู่ที่หมอหลวงท่านหนึ่งซึ่งอาวุโสที่สุดในกลุ่ม

 

 

หมอหลวงท่านนั้นถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ ประกอบกับไม่อาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นที่เกิดขึ้นในใจได้อีก จึงหันไปมองทางอ๋องฉีอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ประคองมือทั้งสองข้างขึ้นทำท่าคารวะ ขอคำแนะนำออกไปอย่างเคารพระคนเจียมเนื้อเจียมตัวว่า “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านสามารถชี้แจงให้พวกเราทราบได้หรือไม่ว่าท่านใช้วิธีการไหนถึงทำให้พระชายาฟื้นขึ้นมาได้ อีกทั้งในอนาคตยังไม่ต้องให้พระชายานอนรักษาตัวอยู่แต่บนเตียงอีก”

 

 

โดยไม่รอให้เมิ่งเชี่ยนโยวได้พูดขึ้น เสียงเย็นชาของอ๋องฉีก็ดังขัดขึ้นก่อน “อย่างน้อยๆ พวกเจ้าก็ได้ชื่อว่าเป็นหมอที่ดีที่สุด เป็นหมอหลวงของราชสำนัก ทักษะทางการแพทย์กระทั่งเด็กที่มาจากบ้านนอกคนหนึ่งก็ยังสู้ไม่ได้ ยังมีหน้ามาถามอีก”

 

 

ร่างของหมอหลวงท่านนั้นสั่นขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ เขาก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่ได้สติกลับมาจึงได้เอ่ยรับผิดออกไปว่า “ท่านอ๋องตักเตือนได้ถูกต้องแล้ว พวกข้าน้อยทักษะทางการแพทย์เทียบกับแม่นางท่านนี้ไม่ได้จริงๆ ดังนั้นจึงได้อยากขอคำชี้แนะจากแม่นางสักหนึ่งหรือสองประโยค”

 

 

อ๋องฉีแค่นเสียง “ฮึ” ใส่พวกเขาคำหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

 

 

หมอหลวงรวบรวมความกล้า เงยหน้าขึ้นไปมองเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยสายตาคาดหวัง น้ำเสียงสุภาพถูกใช้ถามออกไปอีกครั้ง “แม่นางไม่ทราบว่าจะชี้แนะพวกข้าสักเล็กน้อยได้ไหม”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดิมทีก็สัญญากับอ๋องฉีเอาไว้แล้วว่าอีกเดี๋ยวจะอธิบายให้พวกเขาฟัง เวลานี้พอหมอหลวงเอ่ยถามขึ้นมา นางจึงใช้โอกาสนี้ให้พวกเขาได้ติดหนี้น้ำใจ อธิบายออกไปว่า “ร่างกายของพระชายาแต่เดิมอ่อนแอมาก พอได้รับผลกระทบจากอารมณ์ที่ขึ้นลงไม่แน่นอน จึงไม่อาจทนรับไหวเป็นลมหมดสติไป อันที่จริงเรื่องนี้ไม่ได้หนักหนาอันใดเลย พวกท่านแค่เขียนใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกายให้นางดื่ม พักฟื้นต่ออีกสักหลายวันหน่อยก็ไม่มีปัญหาแล้ว อย่างไรก็ตามข้อผิดพลาดเล็กน้อยของพวกท่านก็คือใบสั่งยาสำหรับบำรุงร่างกายที่เขียนลงไปนั้น มีฤทธิ์แรงกว่าที่ร่างกายของพระชายาจะรับไหว ส่งผลให้ร่างกายที่อ่อนแออยู่แล้วของพระชายายิ่งทรุดตัวลงไปอีก จนตกอยู่ในสภาพหมดสติหลับลึกนานถึงหลายวัน หากอิงตามนี้ไปเรื่อยๆ แม้ภายหลังพระชายาจะฟื้นตัวขึ้นมาได้ แต่ก็จะกลายเป็นคนป่วยไปจริงๆ ต้องนอนอยู่แต่บนเตียงไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก”

 

 

เรื่องที่ว่าดื่มยาบำรุงเกินขนาดจนทำให้เกิดป่วยขึ้นมาจริงๆ บรรดาหมอหลวงก็เพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ดวงตาของพวกเขาเบิกกว้างอย่างตื่นตระหนก มองไปทางนางอย่างไม่อยากจะเชื่อในที

 

 

อ๋องฉีสีหน้ายิ่งมาก็ยิ่งมืดครึ้ม วุ่นวายมาตั้งหลายวัน ที่แท้ที่พระชายาเอาแต่หมดสติไม่ยอมฟื้นขึ้นมาเสียทีเป็นเพราะหมอหลวงพวกนี้นี่เอง

 

 

หลังคอของบรรดาหมอหลวงฉับพลันเย็นวาบ

 

 

หมอหลวงท่านนั้นถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงสั่นๆ “นี่ นี่? ยาบำรุงทำให้ป่วยขึ้นได้จริงๆ หรือ”

 

 

ฟังจากคำถามของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขายังไม่ค่อยเชื่อ พวกเขาอยู่ในวังมานาน ตรวจอาการให้กับฮ่องเต้รวมถึงเหนียงเหนียงทั้งหลายมาก็ไม่น้อย ตำรับยาที่จัดให้กับทุกท่านมากที่สุดก็คือยาบำรุงนี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงศักดิ์ท่านไหน ขอเพียงแค่ร่างกายเกิดไม่สบายเล็กน้อยเป็นต้องจัดยาบำรุงไปส่งให้ทุกทีไป กระนั้นเองยังไม่เคยเห็นใครที่ดื่มยาบำรุงแล้วเกิดป่วยขึ้นมาเลย จะมีก็แต่พระชายาฉีนี่แหละที่เป็นกรณีแรก

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวฟังออกถึงความกังขาของเขา จึงได้พูดออกไปว่า “อะไรที่มากไปย่อมไม่ใช่ของดี พวกเราตอนนี้กำลังถกกันถึงเรื่องอาการป่วยของพระชายา พระชายาฉีมีร่างกายที่อ่อนแอมาก นางจะทนกับฤทธิ์ยาที่หนักหน่วงรุนแรงขนาดนั้นได้อย่างไร หากเปลี่ยนเป็นคนปกติธรรมดา แน่นอนย่อมไม่มีปัญหาเช่นนี้”

 

 

อย่างไรก็ตามเหล่าหมอหลวงยังไม่ค่อยเชื่อที่นางพูดมากนัก ทว่าก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหลังจากที่นางมาถึงแล้วพระชายาก็ฟื้นขึ้นมาทันที ดังนั้นต่อให้ไม่เชื่อก็เหมือนกับถูกบังคับให้ต้องเชื่อ พินิจพิจารณาต่ออีกครู่หนึ่ง หมอหลวงท่านนั้นก็ถามออกไปอีกครั้ง “ไม่ทราบแม่นางใช้วิธีการใดให้พระชายาฟื้นขึ้นมา”

 

 

เกี่ยวกับคำตอบของคำถามนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่บอกพวกเขา นางยิ้มแล้วกล่าวออกไปว่า “นี่เป็นทักษะส่วนตัวของข้าเอง ไม่อาจบอกพวกท่านได้จริงๆ ขอพวกท่านอย่าได้ถือสา”

 

 

ในฐานะหมอหลวงทุกคนย่อมมีทักษะส่วนตัวที่ไม่อาจบอกกล่าวหรือให้ใครรู้ได้ เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ แม้จะทำให้พวกเขารู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่ได้คาดคั้นดึงดันเอาคำตอบอีก

 

 

เวลาสองเค่อผ่านพ้นไป เมิ่งเชี่ยนโยวเดินกลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง เห็นว่าพระชายาบัดนี้ลุกขึ้นจากอ่างอาบน้ำแล้ว กำลังให้สาวใช้ปรนนิบัติผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าให้อยู่ สีหน้าของอีกฝ่ายดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาก นางไม่กลับไปนอนที่เตียงอีกแต่เดินมานั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ในห้องแทน

 

 

เมื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พระชายาฉีก็ยิ้มให้อย่างเป็นมิตร กวักมือเรียกนางให้เข้าไปหา “แม่นางเมิ่ง มานี่สิ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้านาง

 

 

พระชายาฉีผายมือเป็นเชิงบอกให้หญิงสาวนั่งลงบนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ในฝั่งตรงกันข้าม ก่อนจะพูดกับนางไปด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าได้ยินที่สาวใช้คนสนิทพูดแล้ว วันนี้ต้องขอบคุณทักษะทางการแพทย์ของแม่นางเมิ่งมากข้าถึงตื่นขึ้นมาได้ บุญคุณช่วยชีวิตของแม่นางเมิ่งในครั้งนี้ ข้าจะขอจดจำไม่ลืมเลือน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยิ้มและโบกมือให้อีกฝ่าย “พระชายากล่าวหนักเกินไปแล้ว อาการป่วยของท่านแต่เดิมก็ไม่นับว่าหนักหนาอันใด ข้าแค่บังเอิญรักษาได้ถูกจุดก็เท่านั้น”

 

 

พระชายาฉีเห็นนางรู้หนักเบา ไม่ได้หยิ่งผยองเพราะมีความดีความชอบความชื่นชมในตัวของอีกฝ่ายก็ยิ่งเพิ่มไปอีกระดับ แล้วยิ่งตอนนี้มีโอกาสได้พิจารณาอีกฝ่ายอย่างละเอียด นางก็ยิ่งมายิ่งมีความสุข ยิ่งมายิ่งพึงพอใจในตัวของเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพอถูกว่าที่แม่สามีในอนาคตจับจ้องพิจารณาตาไม่กะพริบแบบนี้ นางก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย กระแอมออกไปเบาๆ แล้วพูดว่า “พระชายาโปรดยื่นมือออกมาด้วย ข้าจะจับชีพจรให้ท่านอีกครั้ง”

 

 

พระชายาฉีวางมือลงตรงหน้านางแต่โดยดี ยังคงจ้องนางพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวสงบสติตัวเองลง แสร้งทำเป็นไม่สนใจดวงตาที่กำลังพิจารณานางอยู่ ตั้งใจตรวจชีพจรให้อย่างใจจดใจจ่อ

 

 

การตรวจชีพจรครั้งนี้ใช้เวลาสั้นกว่าครั้งก่อนหน้ามาก หลังจากวินิจฉัยอาการเสร็จ นางก็หยิบพู่กันขึ้นมาแล้วเขียนรายการสมุนไพรลงไปในกระดาษ จากนั้นก็ตรวจสอบดูอีกสองถึงสามครั้ง เห็นว่าไม่มีปัญหาแล้วจึงได้ยื่นมันให้กับสาวใช้คนสนิทแล้วพูดออกไปว่า “หลายวันมานี้พระชายาไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย เดี๋ยวเจ้าสั่งคนให้ไปต้มโจ๊กมาให้ถ้วยหนึ่ง ผสมสมุนไพรพวกนี้ลงไปด้วย จำไว้ให้มั่น ปริมาณของสมุนไพรที่ใส่ลงไปจะต้องอิงตามนี้อย่าให้มีคลาดเคลื่อนเป็นอันขาด น้อยกว่านี้ไม่ได้ มากกว่านี้ก็ไม่ได้”

 

 

สาวใช้คนสนิทนับถือนางจนแทบจะยกอีกฝ่ายขึ้นเป็นเทพเซียนแล้ว ขานรับลงไปทันทีโดยไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว รับกระดาษแผ่นนั้นไปอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเดินออกไปยังโรงครัวเพื่อสั่งให้คนต้มโจ๊กมาให้