บทที่ 309 พบกันอีกครั้ง
“กลิ่นที่คุ้นเคยนี่มัน!”
ตีบ ตีบ ตีบ…
เวินเมิ่งกลับมาได้สติ สีหน้าเธอกระวนกระวายใจหลังจากที่เดินตามพนักงาน
ภายในศาลาจันทร์สว่าง เวินเหรินจิงเล่ยขึ้นขึ้นพร้อมกับสีหน้าเศร้า
เวลานี้ เขาได้แนะนําเวินเมิ่งให้กับคุณชายตระกูลจ้าวอย่างจ้าวหมิงหยูไปแล้ว เพื่อที่จะได้อํานาจจากตระกูลจ้าวทั้งด้านธุรกิจและเกี่ยวดองกับพวกจอมยุทธ์
ในฐานะที่เป็นคุณชายตระกูลจ้าว จ้าวหมิงหยูโดยปกติแล้วเขามีสเปคสูง ผู้หญิงธรรมดาๆยากที่จะเข้าตาเขา แต่เวินเหรินเมิ่งนั้นแตกต่าง
ความสวยของเธอ ชื่อเสียงของเธอขณะนี้ก็ดึงดูดความสนใจจากข้าวหมิงหยูเป็นอย่างมากแล้ว
“ถ้าฉันสามารถเชื่อมสัมพันธ์กับคุณชายจ้าวผ่านเมิ่งเยว่ได้ ฉันก็จะสามารถนําเกียรติยศมาสู่ตระกูลได้!”
เวินเหรินจิงเล่ยตาเป็นประกาย ไม่ว่าครั้งนี้เธอจะพูดอย่างไร เขาจะไม่ปล่อยให้เพิ่งเยวหนีออกไปได้
เขาตัดสินใจ จากนั้นเวินเหรินจิงเลยก็ก้าวออกจากศาลา
พนักงานเข็นรถเดินผ่านเวินเหวินจึงเลยไป
เวินเมิ่งจึงเลยเงยหน้าแล้วมองเธอที่กําลังเดินมาตรงหน้าอย่างเร่งรีบ มันเหมือนกับเธอกําาลังรีบ
แววตาเวินเหรินจึงเล่ยสว่าง ในที่สุดหลานสาวของเขาก็คิดได้?
“ฮ่าฮ่า…เพิ่งเยว่ ลุงสองรู้ว่าเธอจะต้องคิดได้!”
เวินเหรินจึงเลยมองดูร่างที่กําลังเข้ามาใกล้เขา
“หากคุณชายตระกูลจ้าวสนใจเธอจริงๆ เมื่อนั้นเธอก็จะเหมือนนกฟินิกส์ที่บินไปเกาะกิ่งไม้!”
“เพิ่งเยว่ แค่ฟังลุงสองของเธอ คืนนี้ ไปพบคุณชายจ้าว…”
เวินเหริน เมิ่งเยว่ ที่กําลังวิ่งมาข้างหน้า ดูเหมือนจะไม่ได้ยินคําพูดเสียงของเวินเหรินจึงเล่ย เธอปัดเวินเหรินจึงเล่ยเบาๆแล้วเดินไปข้างหลังเขา
“คุณชาย..”
เวินเหรินจิงเลยจ้องไปที่ข้างหลังของเวินเหริน เพิ่งเยว่และหยุดพูดโดยไม่รู้ตัว
“เมิ่งเยว่ นั้นเธอจะไปไหน?”
เวิ่นเมิ่งทําหูทวนลมแล้วตามหลังเด็กเสิร์ฟไป
“เดี๋ยว!”
เด็กเสิร์ฟงุนงงและหยุดชะงัก เขามองเวินเมิ่งด้วยสายตาที่แปลกใจ
“สวัสดีครับ มีอะไรให้ช่วยไหมครับ?”
เด็กเสิร์ฟมีแววตาที่สงสัย ขณะถามเวินเมิ่ง
เวินเมิ่งมองไปยังรถเข็นอาหารมันมีจานสองสามใบวางอยู่ และเธออดไม่ได้ที่จะแสดงแววตาคาดหวัง
“ขอโทษนะคะ คุณกําลังจะไปส่งอาหารหรอ?”
พนักงานเสิร์ฟพยักหน้า
“แน่นอนครับ”
“แล้วมีจานสเต็กอยู่ในรถเข็นนี้ใช่ไหม”
เวินเมิ่งถามด้วยน้ําเสียงเร่งเร้า
สีหน้าประหลาดใจปรากฏขึ้นตรงหน้าขณะถาม
“คุณรู้ได้ยังไง? นี่เป็นสเต็กที่แขกต้องการของรถเข็นเสบียง”
เวินเหรินจึงเลยเดินมาหาเวินเมิ่งข้างๆแล้วพูดปนหัวเราะว่า
“เพิ่งเยว่ ถ้าเธออยากจะกินสเด็ก งั้นก็บอกลุงสองสิ ลุงสองจะเตรียมสเด็กให้หนูตอนนี้เลย!”
เวินเมิ่งไม่สนใจเวินเหรินจิงเลยแล้วจ้องไปที่เด็กเสิร์ฟแทน เธออดไม่ได้ที่จะเผยให้เห็นถึงความกังวล
“ขอถามได้ไหมคะว่าสเด็กนี่ทํายัง?”
“นี่..”
สีหน้ากระอักกระอ่วนปรากฏบนใบหน้าของเด็กเสิร์ฟ หลังจากไตร่ตรองสักพัก เขาก็พูด
“สเด็กที่ลูกค้าขอนั้นไม่ได้ใช้วิธีธรรมดาๆทําจริงๆแล้วผมก็ไม่เข้าใจมันจริงๆ”
“เพียงหมักสเด็กในน้ําเกลือและน้ํามะนาวเป็นเวลา 10 นาที เทน้ํามันมะกอกลงบนกระทะร้อน จากนั้นก็ปรุงสเด็กตอนน้ํามันร้อนได้ 8% เป็นเวลา 5 วินาที ปรุงอย่างพิถีพิถันอีก 3 วินาที ปรุงไปเรื่อยๆอีก 18 ครั้ง สุดท้ายก็โรยพริกไทยดําาลงไป?”
เสียงของเวินเมิ่งกลับมาเร่งรีบขณะที่เธอมองไปยังเด็กเสิร์ฟอย่างกังวลใจ
ดวงตาของเวินเมิ่งสั่นเล็กน้อยขณะมองไปที่พวกมันเธอพึมพํา
“วิธีนี้โดยปกติแล้วจะอร่อยมาก…เย่หยุนั้นนายจริงๆใช่ไหม!”
“แขกห้องไหนกันที่สั่งสเด็กน?”
แววตาเวินเม็งเต็มไปด้วยความร้อนใจขณะถามเด็กเสิร์ฟ
“ที่ศาลาสน”
แววตาแห่งความยินดีประกายในดวงตาของเวินเมิ่ง เธอไม่ได้มีเวลาสนใจเวินเหรินจิงเลยที่กําลังตกตะลึงข้างหลังเธอ เธอกลับก้าวยาวไปข้างหน้าแล้ววิ่งไปยังศาลาสน
“เมิ่งเยว่ นั้นเธอจะไปไหน? แล้วใครคือเย่หย?”
เวินเหรินจิงเลยถอยหลังไปมองเวินเหริน เพิ่งเยว่ในขณะที่จู่ๆเขาก็มีลางสังหรณ์ใจที่ไม่ดีนัก
ภายในศาลาสน
เย่หยูและซึ่งเหมิงนั่งหันหน้าเข้าหากัน
“อาจารย์อาเธ่…”
เย่หยูโบกมือหยุดซึ่งเหมิง
“โอเค ศิษย์พี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ เรียกผมแค่เย่หยูเถอะ”
สีหน้าเบิกบานของซึ่งเหมิงปรากฏบนหน้าเขา
“นั้นช่างดีจริง ฉันก็รู้สึกอึดอัดใจที่จะเรียกอาจารย์อา”
“เย่หยู ยังมีเวลาก่อนที่จะเริ่มประมูล หลังจากที่เรากินเสร็จ พวกเราจะติดต่อผู้จัดการของเฉิงหลงและเสนอราคาโจ๊กแปดสมบัติให้เขา!”
ซึ่งเหมิงตบกล่องที่อยู่ข้างเขาเบาๆขณะคุยกับเย่หยู
เย่หยุพยักหน้า
“แน่นอน ฉันสงสัยว่าจะมีสมุนไพรสักเท่าไหร่ที่จะเก็บได้จากการประมูล”
ซึ่งเหมิงหัวเราะไปด้วยขณะฟัง
“ไม่ต้องกังวล พวกนายน้อยตระกูลต่างๆพวกนั้นไม่ขาดแคลนสมุนไพรหรอก สิ่งที่เขาขาดก็คือยาที่สามารถเพิ่มพลังโลหิต!”
“ตราบเท่าที่พวกเขาได้ศึกษาเกี่ยวกับผลอันน่าอัศจรรย์ของโจ๊กแปดสมบัติ พวกเขาอาจจะเสนอราคาอย่างบ้าคลั่งเลยก็ได้”
เย่หยูพึมพํากับตัวเองสักพักแล้วเปิดกล่องภายในกล่องบรรจุหลอดแก้วทดลองที่มีฝาจุกปิด
เย่หยหยิบเอาหลอดทดลองอันหนึ่งมาดู
วัสดุที่ใช้ทําหลอดทดลองนั้นดีมาก มันเป็นคริสตัลใสบริสุทธิ์จนมองทะลุผ่านและปราศจากสิ่งเจือปนใดๆ
ภายใต้แสงไฟที่ส่องสว่างกระทบกับของเหลวที่อยู่ในหลอดทดลองนั้นจนซึ่งเหมิงและเย่หยุเห็นได้ชัด
เย่หยูบดโจ๊กแปดสมบัติจนอยู่ในรูปของเหลวแล้วใส่ลงในหลอดทดลอง
เย่หมูสะบัดข้อมือเล็กน้อย ข้าวและเม็ดธัญพืชที่อยู่ในหลอดทดลอง ถูกปกปกคลุมไปด้วยสีแดง เขียวและดํา ซึ่งดูงดงามเนื้อย่างมาก
“อย่างไงก็ตาม นี่ไม่ใช่ชื่อที่ดีสําหรับมัน”
เย่หยูพึมพํากับตัวเองสักพัก แล้วพูดว่า
“นายน่าจะต้องมีแพ็คแกจที่ดีสําหรับสินค้าตัวนี้ เรียกมันว่า โลหิตมังกร!”
ขณะที่ซึ่งเหมิงพูดอยู่ก็มีใครบางคนผลักประตูเข้ามาในศาลาสน ซึ่งเหมิงขมวดคิ้วและสีหน้าดูไม่สบอารมณ์
“นี่ใคร?”
เขาเห็นผู้หญิงเดินเข้ามาจากด้านนอก เธอมีผมสีดํายาวและหยักเล็กน้อย ถึงแม้ว่าใบหน้าของเธอจะไม่ถูกแต่งเดิมด้วยเครื่องสาอาง เธอก็ทําให้พวกเรารู้สึกทั้งได้
“คุณคือ?”
ซึ่งเหมิงมองไปยังผู้มาเยือนคนใหม่ด้วยความสับสนและสอบถาม
“เวินเมิ่ง?”
เย่หยมองคนที่ปรากฏตรงหน้า เขาลุกขึ้นและร้องอานออกมา
สายตาของเวินเม็งจับจ้องที่เย่หยู เธอยกมุมปากจนกลายเป็นยิ้มและดูกลายเป็นคนเจ้าชู้ทันที
“เย่หยู เราพบกันอีกครั้งแล้วนะ!”
ซึ่งเหมิงมองหวินเยิ่ง แล้วมองเหยูแล้วเขาทําสีหน้าอย่างเข้าใจ
“พวกคุณสองคนรู้จักกัน?”
เย่หยูพยักหน้า จากนั้นก็เรียกเวินเมิ่งให้นั่งลง
“เวินเมิ่ง รู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ที่นี่?”
เย่หยมองเวินเมิ่งแล้วถามเธอ
เวินเมิ่งยิ้มอย่างซุกซน
“นายยังจ่าสเด็กที่นายสั่งครั้งสุดท้ายตอนที่เราทานข้าวด้วยกันได้ไหม?”
เย่หูตาสว่าง
“นี่เธอกําลังพูดถึงสเด็กอยู่งั้นเหรอ?”
เวินเมิ่งยิ้มแล้วนั่งเท้าคางบนโต๊ะ เธอกุมแก้มหวานๆของเธอภายใต้ฝามือ เธอมองเหยุด้วยรอยยิ้ม
“ถูกต้อง! นายเป็นคนเดียวที่รู้ว่าจะทําสเด็กแบบนั้นยังไง!”
“เมื่อตอนที่พนักงานเข็นรถอาหารผ่าน ฉันได้กลิ่นที่คุ้นเคย แล้วฉันก็คิดออกทันที มีแต่นายเท่านั้นที่จะสั่งสเต็กแบบนี้!”
เย่หยุค่อนข้างเงียบ เขาคาดไม่ถึงว่าเวินเมิ่งจะยังคงจ่ากลิ่นตอนที่พวกเรากินอาหารด้วยกันได้ แม้แต่กลิ่นลมหายใจก็ตาม