บทที่ 198 สองในสาม

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 198
สองในสาม

คุณปู่โม่มองไปที่เพื่อนทั้งสองอย่างไม่เต็มใจ แน่นอน เขารู้ดีอยู่แล้วว่าของที่เสี่ยวเสวี่ยให้มาจะต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่ๆ โสมพันปีที่ให้มาครั้งที่แล้วก็ยอดเยี่ยมอย่างมากและมันก็เป็นของที่ดีมากจริงๆ เขากินไปเพียงเล็กน้อยก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าร่างกายของเขาแข็งแรงขึ้น แม้แต่ผมที่ขาวโพลนของเขาก็เริ่มที่จะกลับมาดำด้วยซึ่งเป็นเรื่องที่ปาฏิหาริย์มาก

เพราะโสมได้รับการดูดซับพลังออร่าของมิติลับด้วยแล้วก็ยังถูกรดด้วยน้ำแห่งจิตวิญญาณอีก จึงต้องส่งผลที่ยอดเยี่ยมอย่างมากอยู่แล้ว

แต่เพื่อนสูงอายุของเขาทั้งสองก็พูดออกมาว่าถ้าเขาไม่เปิดกล่อง มันก็คงก็จะยิ่งดูแปลกขึ้นไปอีก คุณปู่โม่ลังเลที่จะเปิดกล่องหยกอยู่นิดหน่อยแล้วทันใดนั้นกลิ่นหอมก็ลอยออกมาทันทีซึ่งทำให้ทุกคนต่างก็ตกใจอย่างมากที่รู้สึกว่าร่างกายของพวกเขาผ่อนคลายและมีความสุขขึ้นมานิดหน่อย

ขนาดคุณปู่ก็อดไม่ได้ที่จะมองไปที่บัวหิมะพันปีที่กำลังนอนอยู่ในกล่องแล้วพวกเขาต่างก็มองหน้ากันและกัน

โม่หลิวเฟิงไม่รู้สึกอะไรเพราะในสายตาของเขา มู่หรงเสวี่ยคือสิ่งที่สวยที่สุด

“นี่…นี่ดูเหมือนจะเป็นบัวหิมะพันปี…มันตายหรือยัง?!” ผู้เฒ่าชูเปิดปากออกมาอย่างแปลกใจด้วยน้ำเสียงไม่อยากจะเชื่อ

คุณปู่โม่ปิดกล่องเสียงดัง “ปัง” พร้อมทั้งมองอย่างโกรธๆไปที่เพื่อนทั้งสองที่เอื่อมมือมาเพื่อที่จะแตะบัวหิมะของเพื่อน

“นายจะทำอะไร?! ฉันยังเห็นไม่ชัดเลยนะ…” ผู้เฒ่าชูมองไปที่คุณปู่โม่อย่างไม่พอใจ

คุณปู่โม่จ้องไปที่เขาอย่างโกรธเกรี้ยว “นี่เป็นของขวัญของฉัน ทำไมนายต้องมองให้ชัดด้วยล่ะ?! อีกอย่างกลิ่นมันก็แรงมาก ไม่เห็นหรือไงว่าคนอื่นๆเริ่มหันมาทางนี้กันหมดแล้ว”

คุณฉินและคุณชูเองก็มองไปรอบๆเช่นกัน มีคนมากมายมาที่นี่ ถึงแม้ตระกูลโม่จะทรงอำนาจและมันก็เป็นเรื่องที่ดีกว่าที่จะไม่มีปัญหาด้วย

“ถ้าเป็นแบบนั้น งั้นตาแก่โม่ยอมให้ฉันยืมไปดูเล่นสักสองวันได้ไหมแล้วหลังจากที่ดูเสร็จแล้วฉันจะรีบเอากลับมาคืนเลย!” ดวงตาของคุณปู่ชูเปล่งประกายตอนที่เขามองไปที่กล่องหยก

คุณปู่โม่รู้จักเขาดีถึงแม้เขาจะเป็นเพื่อนที่ดีแต่ก็เป็นคนพาลด้วยเหมือนกัน เขารู้ว่าถ้าให้ยืมไปจะต้องไม่ได้คืนกลับมาแน่ๆ เขากอดกล่องไว้แนบกายและพูดออกไป “อย่าฝันไปหน่อยเลย!”

เฒ่าชูเองก็รู้ว่ามันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะแย่งมาจากมือของตาแก่โม่ เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว เขาก็รีบหันไปจ้องมู่หรงเสวี่ยทันที “หนูมู่หรง นี่ไปเอาไอ้เจ้านี่มาจากไหนเหรอ?! ว่ายังไง?! ฉันยอมแลกด้วยทุกอย่างเลยนะ เครื่องเพชรหรืออะไรก็ได้”

คุณปู่ฉินเองก็มองไปที่มู่หรงเสวี่ยอย่างกระหายเช่นกัน คนแบบเขาที่อยู่ในตระกูลใหญ่และมีธุรกิจใหญ่โตแต่ก็กำลังแก่ลงเรื่อยๆ สิ่งที่พวกเขาตามหาในตอนนี้คือยาอะไรก็ได้ที่ช่วยยืดชีวิตพวกเขาได้

มู่หรงเสวี่ยทำได้เพียงพูดอย่างขอโทษ “ไม่หรอกค่ะ เหตุผลที่หนูเอามามอบให้คุณปู่โม่ก็เพราะหนูเองก็ได้มาโดยบังเอิญเหมือนกัน…ถ้าครั้งหน้าหนูได้มาอีก หนูจะมาแจ้งคุณชูนะคะ!” เธอไม่กล้าที่จะเอาของขวัญล้ำค่าออกมามากเกินไป มันอาจจะทำให้เกิดปัญหาได้ง่ายๆ

คุณชูพูดออกมาอย่างผิดหวังหน่อยๆ “มันก็จริงนะที่เธอคงจะหาของธรรมชาติที่ล้ำค่าขนาดนี้มาไม่ได้…”

คุณฉินเองก็ดึงสายตากลับไปแต่การประเมินของ มู่หรงเสวี่ยก็สูงขึ้นเยอะเลย ช่างเป็นเด็กสาวที่น่าประทับใดจริงๆ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
คุณปู่โม่อดรู้สึกมีความสุขไปกว่านี้ไม่ได้แล้วถาม มู่หรงเสวี่ยออกมา “บัวหิมะนี่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า? ต้องปลูกมันยังไงเหรอ?”

“แค่ปลูกเหมือนกับดอกไม้ทั่วไปเลยค่ะ” มู่หรงเสวี่ยตอบ อันที่จริงเธอไม่รู้เลย เธอเพียงแค่ปลูกมันในมิติลับแล้วรดด้วยน้ำแห่งจิตวิญญาณบ้างเป็นครั้งคราว

“จะเป็นไปได้ยังไง? นี่ไม่ใช่บัวหิมะธรรมดาๆนะ!” คุณปู่โม่จะเชิญผู้เชี่ยวชาญให้มาดู นี่ดูเหมือนว่าหนูมู่หรงจะไม่เข้าใจ เธอเพียงแค่เจอมันโดยบังเอิญและนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอถนัด ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติที่เธอจะไม่เข้าใจ

บัวหิมะพันปีก็แค่บัวหิมะธรรมดาๆ ในมิติลับยังมีอีกมากมาย

“ฉันรู้จักผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร ฉันจะแนะนำให้รู้จักนะ” คุณปู่ฉินกล่าว

คุณปู่ชูเองก็แตะไปที่ค้างพร้อมทั้งพูดออกมา “เราน่าจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรมานะ”

คุณปู่โม่เองก็พยักหน้าอย่างเช่นด้วย
มู่หรงเสวี่ยไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี อันที่จริงแค่ปลูกธรรมดาๆก็น่าจะได้แล้ว

หลังจากนั้น มู่หรงเสวี่ยก็คุยกับคุณปู่โม่อีกสักพักแล้วจึงไปหาโม่อ้ายลี่

มู่หรงอยู่ตรงทางเดินที่นำไปสู่ชั้นที่สอง “อ้ายลี่!” ทันทีที่ มู่หรงเปิดประตู เธอก็เห็นโม่อ้ายลี่ที่ยังแต่งตัวอยู่ ข้างๆเธอคือช่างเสริมสวยหลายคนที่กำลังยุ่งกันอยู่

“เสี่ยวเสวี่ย เธอมาแล้ว! ฉันขอโทษนะ ฉันอยากจะไปรอเธอที่หน้าประตูแต่ฉันบอกพี่ชายไปแล้วว่าให้ไปรับเธอขึ้นมาด้วย!” ทันทีที่โม่อ้ายลี่เห็นมู่หรง เธอก็หันมาและพูดอย่างตื่นเต้น

“ช่วยอย่าขยับด้วยนะคะคุณหนู!” ช่างเสริมสวยคนหนึ่งพูด
โม่อ้ายลี่แลบลิ้นมาที่มู่หรงเสวี่ยแล้วก็กลับไปนั่งยิ้มเหมือนเดิม นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเธอแต่งตัวสวยแบบนี้

ชุดสีขาวที่ถูกตัดมาอย่างดีและทรงผมที่ถูกตกแต่งไว้อย่างประณีตทำให้เธอแข็งกระด้างน้อยลงและดูเป็นผู้หญิงมากขึ้น มู่หรงพยักหน้าอย่างพอใจ ต้องยอมรับเลยว่าช่างเสริมสวยพวกนี้เก่งมากจริงๆ แต่งได้เหมาะกับโม่อ้ายลี่จริงๆ

เธอเพียงแค่เข้ามาดูสถานการณ์ของอ้ายลี่เท่านั้นแล้วเธอก็พร้อมที่จะลงมาข้างล่างแล้วเพราะเดี๋ยวโม่อ้ายลี่จะต้องลงมาข้างล่างพร้อมคุณปู่โม่ เธอคงไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่ “อ้ายลี่ วันนี้เธอสวยมากเลยนะ! ฉันจะลงไปข้างล่างก่อน เดี๋ยวค่อยคุยกันนะ!”

หลังจากที่ลงมาข้างล่าง มู่หรงเสวี่ยก็มองไปรอบๆและสุดท้ายก็เห็นหลิวฮัวลี่อยู่ตรงกลางทางเดินของงาน เธอไม่ได้เดินเข้าไป เธอเห็นว่าหลิวฮัวลี่กำลังคุยอยู่กับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกับเขาอยู่ เธอรู้สึกดล่งใจเล็กน้อย นี่ดูเหมือนว่าหลิวฮัวลี่จะไม่มีปัญหาอะไร

เธอหยิบแก้วไวน์แดงและเดินไปที่ระเบียงของทางเดิน เธออยากที่จะอยู่เงียบๆสักหน่อย

สายลมเย็นพัดอ่อนให้ความรู้สึกสบาย เธอมองไปที่ท้องฟ้าที่สุกสกาวพร้อมทั้งจิบไวน์แดงในแก้วไปด้วย น้ำเย็นๆไหลลงไปในคอ

ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงรู้สึกโดดเดี่ยวในหัวใจเล็กน้อย หลังจากที่ได้เห็นฮวงฟูอี้เมื่อวาน เธอก็ดูเหมือนจะสูญเสียความมุ่งมั่นไปของตัวเองไป เมื่อมีผู้หญิงคนอื่นมาอยู่ข้างๆเขาแล้ว แล้วเธอยังต้องไปหาเขาอีกหรือเปล่า?! เธอรู้สึกสับสนอยู่นิดหน่อย

“ทำไมมาอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?” เสียงดึงดูดของผู้ชายดังขึ้นมา

มู่หรงหันหัวไปและเห็นชางกวนโม่ มือของเธอสั่นเล็กน้อย “ไม่มีอะไร แค่อยากออกมาสูดอากาศ…” เธอมองไปที่ท้องฟ้าอีกครั้ง จิบไวน์ในแก้ว ไม่คิดเลยว่าพวกเขาจะได้มาคุยกันแบบในตอนนี้อีก

ชางกวนโม่ขมวดคิ้ว “ดื่มน้อยๆหน่อย…” เขายื่นมือออกมาและดึงแก้วไวน์ไปจากเธอแล้วด้วยความประหลาดใจของเธอ เขาก็ดื่มไวน์ที่เหลือเข้าไปทีเดียวจนหมด

มู่หรงเสวี่ยตกใจและพูดออกไปว่า “นั่นไวน์ฉันนะ…”
“แล้วไง?” ชางกวนโม่เหล่ไปที่เธอ
มู่หรงเสวี่ยไม่เข้าใจเลย ก่อนหน้านี้พวกเธอก็ตกลงกันแล้วนิ ท่าทางของชางกวนโม่มีเลศนัย

“เธอไม่ต้องมองอย่างกับเห็นผีขนาดนั้นหรอก ฉันก็แค่อยากที่ดื่มแค่นั้นเอง…” ชางกวนโม่พูดออกมาสบายๆ

มู่หรงเสวี่ยทำปากเยาะเย้ย ถึงอยากจะดื่มในงานก็มีไวน์อีกตั้งเยอะไม่ใช่หรือไง?! ทำไมต้องมาเอาไวน์ของเธอด้วย? อีกอย่าง เขาดื่มตรงรอยริมสติกสีแดงของเธอพอดีเลยด้วย

“พี่โม่ ทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ล่ะคะ?” ไป๋เสวี่ยหลี่พร้อมท่าทางมารยา เบียดตัวเองเข้าไปในอ้อมแขนของชางกวนโม่และหันมามองมู่หรงเสวี่ยราวกับอยากที่จะอวด

มู่หรงถอนหายใจอยู่ในใจแต่เธอก็เงียบไว้
ชางกวนโม่ลูบไปที่ผมของไป๋เสวี่ยหลี่และพูดออกมาอย่างอ่อนโยน “เพื่อนเธอหายไปไหนหมดล่ะ? คุยกันเสร็จแล้วงั้นเหรอ?”

“ฉันอยู่ในงานแล้วจู่ๆพี่โม่ก็หายไป ฉันเลยไม่มีอารมณ์ที่จะคุยอีก…”

“ฉันไม่ได้บอกเธอก่อน”
มู่หรงเสวี่ยหันกลับและเดินเข้าไปในงาน แต่ก็ยังได้ยินเสียงกระซิบของคนทั้งสองนั้นอยู่ดี ท่าทางที่เกิดขึ้นเมื่อกี้น่าจะเป็นความคิดของชางกวนโม่เอง ตอนนี้เขากับไป๋เสวี่ยหลี่ดีกันมากกว่าที่เธอนึกภาพไว้แต่มันก็ถูกต้องแล้ว ยังไงซะในชีวิตที่แล้วพวกเขาสองคนก็เป็นสามีภรรยากัน

ตอนนี้บอกไม่ได้เลยว่าหัวใจเธอเป็นยังไง เธอค่อยๆมองไปที่มุมห้องและเดินเข้าไปนั่ง ในระหว่างที่เธอเดินผ่านบริกร เธอก็หยิบแก้วไวน์แดงมาถือไว้ในมือ

รอบๆกลุ่มคนผู้คนกำลังพูดคุยกันอยู่ บางครั้งก็หัวเราะออกมา ยิ่งเธอเห็นมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยวมากขึ้นเท่านั้น

ที่ฐานดราก้อนพาวิลเลี่ยนในอีกฝั่ง
อย่างไรก็ตาม ตอนที่หลงอี้ไม่เห็นดราก้อนมาสเตอร์ เขาก็คิดว่ามันคงเป็นเรื่องยากที่จะหาตัวเขา

เป็นเรื่องจริงที่เขาคิดดราก้อนมาสเตอร์ ถึงแม้เขาจะทำเรื่องอะไรต่างๆก็ไม่อาจจะเข้าใจได้ เห็นได้ชัดว่ากัปตันอยู่ในออฟฟิศแต่ดราก้อนมาสเตอร์ก็ไม่ได้เข้าไป จากในความคิดที่คาดเดาของพวกเขา ดราก้อนมาสเตอร์จะต้องเข้ามาสร้างปัญหาให้พวกเขาแน่ๆ ไม่ได้ ตอนนี้พวกหัวหน้าทีมขยันมากกว่าปกติและถึงขนาดพยายามที่จะทำงานแข่งกับเวลาเลยด้วยซ้ำ

พวกองครักษ์ที่เดินตรวจมองไปที่ดราก้อนมาสเตอร์อย่างเคารพมากขึ้น

เมื่อวานเธอเดินมาทางนี้ไม่ใช่เหรอ? เห็นอยู่ชัดๆว่าเมื่อวานเธอเดินมาทางนี้ ตั้งแต่เช้าจนถึงบ่ายเขาเดินวนไปมาอยู่นับครั้งไม่ถ้วนแต่ก็ไม่เจอเธอเลยสักครั้ง

เท้าของฮวงฟูอี้เริ่มที่จะเจ็บขึ้นเรื่อยๆ เสียงเดินของฝีเท้าทำให้เหล่าหัวหน้าทีมที่อยู่ในห้องประชุมกลัวจนต้องกลั้นหายใจและฝั่งตัวเองอยู่กับงานตรงหน้า พวกเขาอยากที่จะทำงานให้เสร็จไปตอนนี้เลย แต่เพราะกลัวว่าดราก้อนมาสเตอร์ผู้สูงศักดิ์จะพุ่งเข้ามาในห้องประชุมแล้วขอตรวจงานพวกเขา

โดยไม่รู้ตัวเลยแต่พวกเขาก็ยังมีงานกองเท่าภูเขาวางอยู่ตรงหน้า วันนี้ผ่านไปอย่างรวดเร็วจนอธิบายไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าอากาศค่อนข้างหนาวแต่พวกกัปตันต่างก็เหงื่อเปียกไปตามๆกัน