ตอนที่ 1135 เจ้าก็รู้สึกเช่นนี้
ยามปกตินางหลบหลีกรวดเร็วเสียที่ไหนกัน
ซูหลีรู้สึกว่าตนจะตายด้วยความชอกช้ำใจแล้วจริงๆ ทว่าครั้นคิดว่าแท้จริงแล้วบุรุษคนนี้ล้วนทำเพื่อนาง หากไม่ใช่เพราะเขาปรากฏตัวเมื่อครู่ เกรงว่าซูหลีคงหล่นลงไปจนกลายเป็นคนโง่เขลาไปแล้ว
“ข้าไม่รู้ว่า จู่ๆ นางจะกระทำเช่นนี้นี่นา…” ซูหลีหัวเราะเจื่อนๆ เอ่ยอธิบายประโยคนี้ออกมา
เพียงแค่คำอธิบายนี้ดูเหมือนจะไม่มีน้ำหนักสักเท่าไร ฉินเย่หานได้ยินดังนั้นจึงปรายตามองนางอย่างเย็นชาปราดหนึ่ง สายตานี้ทำให้คำอธิบายทั้งหมดของซูหลีตกใจกลัวไปหมดแล้ว
ที่จริงแล้วนางถ่วงเวลาเอาไว้ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าเซียวหนิงเสวี่ยคงไม่ทำเรื่องเสียสติอะไรออกมา เพราะโดยรอบเต็มไปด้วยผู้คน
คิดไม่ถึงว่าสตรีคนนั้นจะสติฟั่นเฟือน ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นและต้องการลากนางไปตายด้วยกัน
“นางพูดอะไรกับเจ้าบ้าง” หลังจากเขาเงียบไปพักใหญ่ ฉินเย่หานพลันเอ่ยขึ้น
ซูหลีคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยถามประโยคเช่นนี้ออกมา จึงอดที่จะตะลึงงันไม่ได้
“ไม่ได้พูดอะไร…” ซูหลีคิดถึงคำพูดของเซียวหนิงเสวี่ย จึงลังเลเล็กน้อยแล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา
“หืม” หารู้ไม่ว่าฉินเย่หานไม่คิดกับนางเลยแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาเข้มขึ้นเล็กน้อย กลิ่นอายรอบกายพลันแปรเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นทันใด
ซูหลีลูบแขนตัวเองปรอยๆ นางรู้สึกได้ถึงบรรยากาศโดยรอบที่เปลี่ยนเป็นหนาวเหน็บอย่างชัดเจน
นางชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “ที่จริงแล้วไม่ได้พูดอะไร นางนั้นสูญเสียสติสัมปชัญญะไปแล้ว คำพูดที่นางเอ่ยออกมาเหล่านั้นไม่อาจทำให้คนเชื่อถือได้…” พูดจบนางถึงเงยหน้ามองฉินเย่หาน กลับเห็นสีหน้าของฉินเย่หานที่ดูไม่น่ามองนัก
ซูหลีหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง จากนั้นเอ่ยว่า “นางกล่าวว่า ท่านมิได้ปฏิบัติต่อข้าอย่างจริงใจ ในใจของท่านนั้นมีแต่แผนการ ไม่มีความรู้สึกระหว่างชายหญิงกับข้า!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หลังจากที่เอ่ยประโยคนี้ออกไป ซูหลีพลันรู้สึกว่า ทั้งร่างพลันผ่อนคลายลง
ที่จริงแล้วที่นางพูดว่าไม่ใส่ใจในคำพูดของเซียวหนิงเสวี่ย ทว่าอย่างไรในใจก็ยังใส่ใจอยู่บ้าง
ไม่ใช่เพราะเรื่องอื่น ที่จริงนางกับเซียวหนิงเสวี่ยมีความรู้สึกคล้ายคลึงกันอยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นเพราะฉินเย่หานคนนี้เป็นคนที่ยากจะคาดเดาเกินไปแล้วจริงๆ
มีบางครั้งซูหลีก็ไม่อาจคาดเดาได้อย่างชัดเจน บัดนี้ทั้งหมดที่นางประสบมา แม้กระทั่งเรื่องที่เคยกระทำบางเรื่อง เป็นเพียงแค่เรื่องบังเอิญหรือมีคนตั้งใจวางแผนไว้กันแน่?
เรื่องแบบนี้ไม่กล้าคิดอย่างลึกซึ้ง ทว่าวันนี้กลับถูกเซียวหนิงเสวี่ยเอ่ยถึงเรื่องที่ในใจนางก็คิดเช่นกัน ประหนึ่งถูกคนอื่นเปิดโปงมิปาน
ความรู้สึกแบบนี้ ช่างซับซ้อนนัก
ไม่ใช่เพราะซูหลีไม่เชื่อใจฉินเย่หาน แน่นอนว่านางต้องเชื่อใจฉินเย่หานอยู่แล้ว คนที่มีแผนการล้ำลึกแบบนี้ ทำให้คนที่อยู่ข้างกายรู้สึกหวาดหวั่นโดยไม่รู้สึกตัว
“เจ้าก็รู้สึกว่า นางพูดถูกต้องใช่หรือไม่” หลังจากที่ซูหลีเอ่ยประโยคนั้นจบ ฉินเย่หานก็ไม่เปิดคำพูดอะไรมาเลย ทว่าในขณะที่นางกำลังตกอยู่ในห้วงความคิดของตน ใครจะรู้ว่าหลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นฉินเย่หานก็เอ่ยประโยคนี้ขึ้น
สีหน้าของซูหลีผงะไปเล็กน้อย นางพลันเงยศีรษะขึ้นสบเข้ากับดวงตาที่ลุ่มลึกเกินจะเปรียบคู่นั้นของเขา
นางรู้สึกว่าหัวใจของตนสั่นไหวอย่างอดกลั้นไม่ได้
“เป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่” ฉินเย่หานที่นิ่งสุขุมมาโดยตลอด วันนี้ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไร ถึงได้จับซูหลีไม่ปล่อยตลอดทั้งวัน
ซูหลีดึงสติกลับมา จากนั้นปกปิดความรู้สึกที่แสดงออกทางสีหน้าของตนเองอย่างรวดเร็ว ในเวลานั้นนางไม่รู้ว่าควรจะตอบฉินเย่หานอย่างไรถึงจะดี
อาจจะเป็นอย่างที่ฉินเย่หานกล่าวไว้ ความคิดของนาง ที่จริงแล้ว…เหมือนกับที่เซียวหนิงเสวี่ยคิด
ทว่าคำพูดเช่นนี้จะให้นางพูดออกไปได้อย่างไร
ตอนที่ 1136 บรรยากาศที่แปลกประหลาด
ความเงียบงันของซูหลี ทำให้บรรยากาศภายในรถม้าเปลี่ยนเป็นห้องแช่แข็งอย่างฉับพลัน
อีกนั้นยิ่งนางไม่เอ่ยอะไรออกมาเป็นเวลานานเท่าไร สีหน้าของฉินเย่หานก็ยิ่งดูไม่น่ามองมากขึ้นเท่านั้น ทำให้บรรยากาศภายในรถม้ามีความกดดันเพิ่มขึ้นกว่าเดิม
หวงเผยซานที่นั่งอยู่ด้านนอกยังสามารถรับรู้ได้ถึงบรรยากาศอัดอึดของคนภายในรถม้า
เขาอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ เมื่อครู่ยามที่ฉินเย่หานเห็นซูหลีกับเซียวหนิงเสวี่ยทั้งสองคนยืนคุยกัน อันที่จริงสีหน้าของเขาก็ไม่ค่อยจะดีนัก
บัดนี้กลับน่ากลัวกว่าเมื่อครู่มิน้อย!
ซูหลีคนนี้ทำอะไรกันแน่ ถึงยั่วยุฝ่าบาทจนกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“…แน่นอนว่าข้ามิได้คิดเช่นนั้น” บรรยากาศภายในรถม้าอึดอัดมากเกินไป หลังจากเงียบไปนาน ซูหลีจึงเอ่ยประโยคเช่นนี้ออกมา
ทว่าเพราะนางเงียบไม่พูดไม่จาไปนานเกินไป จึงทำให้คำพูดนี้นั้นไม่มีน้ำหนักอย่างเห็นได้ชัด ไม่สามารถทำให้คนคล้อยตามได้
สีหน้าของฉินเย่หานยังคงย่ำแย่เป็นอย่างมาก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย
“คำพูดของเซียวหนิงเสวี่ย เห็นได้ชัดว่าเป็นแผนการยั่วยุก็เท่านั้น ฝ่าบาททรงรู้สึกว่ากระหม่อมเป็นคนที่โง่เขลาขนาดนั้นหรือ” ที่จริงแล้วในใจของซูหลียังมีความตื่นตระหนกอยู่บ้าง เพียงแต่นางทราบดีว่า เรื่องในวันนี้หากนางพูดไม่ชัดเจน มีโอกาสเป็นได้สูงว่านางจะเป็นอย่างที่เซียวหนิงเสวี่ยคนนั้นคาดการณ์ไว้
แม้ในใจจะมีความคิดแบบนี้ ซูหลีก็ไม่มีทางที่จะพูดความคิดภายในใจของตนออกไป
“หากคิดได้เช่นนี้เป็นเรื่องที่ดีที่สุด” ฉินเย่หานมองนางอยู่พักใหญ่ พลันเอ่ยประโยคนี้ออกมาด้วยสีหน้าเยียบเย็น
“นำความคิดหยุมหยิมเหล่านั้นมอบให้กับเรา เจ้าเป็นคนของใคร ในใจนั้นทราบดีหรือไม่”
ซูหลีคิดไม่ถึงว่าเขาจะเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา ในชั่วขณะนี้จึงตะลึงงัน รอจนนางมีสติกลับคืนมา ถึงได้ผงกศีรษะไปมา
ทันทีที่นางผงกศีรษะ ฉินเย่หานก็ไม่มองนางต่อ กลับละสายตาของตนออกไปนอกรถม้า
ภายในบรรยากาศที่กระอักกระอ่วนเช่นนี้ รถม้าก็ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างสั่นไหวไปยังนอกเมือง
…
“เอี๊ยด!” หลังจากที่รถม้าหยุดเคลื่อนตัวลง ซูหลีก็แทบอยากจะพุ่งออกมาจากภายใน
นางอยู่ข้างกายฉินเย่หานมาเป็นเวลานาน ไม่มีครั้งไหนที่จะเป็นเฉกเช่นวันนี้ ทั้งสองคนอยู่ด้วยกันในรถม้า แต่กลับไม่พูดคุยกันสักประโยค บรรยากาศนั้นกระอักกระอ่วนจนน่าหวาดกลัว
นางรู้ว่าเป็นปัญหาของตัวนางเอง ทว่านางกลับไม่รู้ว่าจะพูดกับฉินเย่หานอย่างไรดี
นางจึงทำได้เพียงหดศีรษะของตนให้เล็กลงและนั่งอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ
ตลอดทางมานี้ ทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลยสักนิด บัดนี้เป็นโอกาสที่ไม่ได้หาได้ง่ายๆที่จะจบลง ซูหลีทนนั่งต่อไปไม่ไหว จึงเดินนำลงมาเป็นคนแรก
คิดไม่ถึงว่าทันทีที่ลงมาก็เห็นจี้เหิงหรานพัวพันพูดกับเย่ว์ลั่วอยู่ไม่ไกลนัก
ฉินเย่หานที่ลงมาช้ากว่านางก้าวหนึ่งเห็นดังนั้น สีหน้ายิ่งเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมยิ่งกว่าเดิม
หวงเผยซานที่ติดตามอยู่ภายนอกรถม้าตัวสั่นงกๆ เขาก็ไม่รู้ว่านายท่านทั้งสองเป็นอะไร นานขนาดนี้แล้วยังไม่ดีกันอีกหรือ
ยามที่อยู่ภายในวังหลวง ฉินเย่หานยังกำชับคนข้างกายอยู่เสมอว่า จักต้องปกป้องดูแลซูหลี
ไยทันทีที่ออกจากวังหลวง ถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้
“เย่ว์เอ๋อร์ ให้ข้าจัดการเถอะ!” ทางด้านนั้น หลังจากที่ซูหลีเดินเข้าไปใกล้ จึงเห็นใบหน้าของจี้เหิงหรานเผยรอยยิ้มเอาใจ โอบกอดร่างของเย่ว์ลั่วไว้อยู่
ซูหลีขมวดคิ้วแล้วเอ่ยด้วยเสียงเยียบเย็น “ใต้เท้าจี้ เกรงว่านี่จะไม่เหมาะสมกระมัง”
ทางด้านจี้เหิงหรานครั้นได้เสียงของนาง ทั้งร่างก็แข็งทื่อไปครู่หนึ่ง ทันทีที่เหลือบตาก็พบว่าซูหลียืนอยู่ตรงหน้าตน ใบหน้านั้นประดับด้วยรอยยิ้มคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม