ตอนที่ 429 ผู้ช่วยมาถึง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากนั่งสนทนาและเตรียมการอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวพักใหญ่ ฉินอวี้โม่ก็เปิดม่านขวางกั้นของคฤหาสน์และก้าวออกมาพร้อมกับทุกคน

ด้านนอกคฤหาสน์ ณ ทางเข้าของชนเผ่าวิหคโบยบิน บรรยากาศในเวลานี้ตึงเครียดเล็กน้อย เนื่องจากเจ้าเมืองฉิน เหล่าผู้นำชนเผ่าและผู้ติดตามทั้งหลายเข้าไปใน ‘ซากปรักหักพัง’ เป็นเวลานานเกินไปและยังไม่มีท่าทีว่าจะออกมา สีหน้าของสมาชิกจากชนเผ่าเพลิงคำรามและจวนเจ้าเมืองจึงบิดเบี้ยวอย่างเห็นได้ชัด หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความกังวล

พวกเขาจำประโยคที่เลี่ยหยางและฉินส่าวชิงกล่าวทิ้งท้ายไว้ก่อนเข้าไปในนั้นได้ดี

‘หากเวลาล่วงเลยนานเกินไปแล้วพวกเรายังไม่ออกมา พวกเจ้าจงอย่าลังเลและพาคนบุกเข้าไปโดยเร็ว’

“เหอะ ชนเผ่าวิหคโบยบินของพวกเจ้าสร้างกับดักบางอย่างไว้และจงใจหลอกล่อให้เจ้าเมืองฉินเดินเข้าไปติดกับรึไม่?”

พ่อบ้านประจำจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายาผู้ซึ่งถือเป็นคนสนิทของเจ้าเมืองฉินกล่าวด้วยความไม่ไว้ใจ

“พ่อบ้านจาง อย่าพูดจาเหลวไหล ชนเผ่าวิหคโบยบินของเราซื่อตรงมาเสมอ เราค้นพบซากปรักหักพังและมิได้ซ่อนเร้นสิ่งใด พวกเราต้อนรับขุมกำลังทั้งหลายให้เข้าไปสำรวจด้วยกัน ทว่าเจ้ากลับกล่าวหาว่าเราเป็นคนคิดชั่วเช่นนั้น เมื่อเจ้าเมืองฉินออกมา ข้าจะบอกให้เขาสั่งสอนเจ้าซะ!”

ผู้อาวุโสของชนเผ่าวิหคโบยบินกล่าว แน่นอนว่าเขาทราบถึงแผนการของฉินอวี้โม่และคนอื่นๆดี เขาจึงไม่ร้อนใจนัก เวลานี้เขาเพียงพยายามถ่วงเวลาและรอให้ทุกคนออกมา

“เหอะ สั่งสอนข้างั้นรึ? ควรจะเป็นการสั่งสอนพวกเจ้าซะมากกว่า ข้าไม่เชื่อว่าชนเผ่าวิหคโบยบินของพวกเจ้าจะซื่อตรงอย่างที่กล่าว ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ พวกเจ้าเอาแต่หลบซ่อนตัวอยู่ที่เนินเขาแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเจ้าทำสิ่งกันบ้าง หากเกิดอะไรขึ้นกับท่านเจ้าเมือง รอข้านำเรื่องนี้ไปแจ้งผู้นำฉินเหยียนก่อนเถอะ เมื่อถึงตอนนั้น ชนเผ่าวิหคโบยบินของพวกเจ้าจะหายสาบสูญไปจากโลกมายาอย่างแน่นอน!”

พ่อบ้านจวนเจ้าเมืองแสดงอากัปกิริยาหยิ่งยโสออกมา การที่เขาติดตามรับใช้ฉินส่าวชิงมานานหลายปีส่งผลให้เขาคุ้นชินกับการวางท่าโอหังเช่นนี้ แม้ว่าความแข็งแกร่งของเขาจะอยู่ในระดับธรรมดาทั่วไป หลายคนก็ให้เกียรติเขาในฐานะคนสนิทของเจ้าเมืองฉิน

“บัดซบ! เจ้าพูดพล่ามไร้สาระอะไรกัน”

ทันทีที่สิ้นเสียงของพ่อบ้าน เสียงของฉินส่าวชิงก็ดังขึ้นในหูของทุกคน

จากนั้นเลี่ยหยางผู้ที่ปลอมตัวเป็นฉินส่าวชิงก็นำคนจากจวนเจ้าเมืองและชนเผ่าเพลิงคำรามออกมาปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน

“ผู้เฒ่าจาง ข้าบอกแล้วมิใช่รึว่าอย่ามีเรื่องขัดแย้งกับชนเผ่าวิหคโบยบิน? แล้วเหตุใดเจ้าจึงส่งเสียงโวยวายขึ้นมาเช่นนี้?”

ผู้เฒ่าจางเป็นคนสนิทของฉินส่าวชิง หากใช้เวลาอยู่ใกล้กันนานเกินไป เขาอาจค้นพบจุดบกพร่องบางอย่างในการปลอมตัวของเลี่ยหยาง เพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่เลี่ยหยางต้องทำคือหาทางกำจัดพ่อบ้านผู้นี้ไปให้ได้

เมื่อเห็นฉินส่าวชิงกลับออกมา สีหน้าของพ่อบ้านจางก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยขณะฟังคำพูดของเขา

“แต่.. ท่านเจ้าเมือง ก่อนหน้านี้ท่านรับสั่งไว้ว่าหากเวลาล่วงเลยไปนานเกินไปแล้วท่านยังไม่ออกมา ข้าก็ควรจะจัดการกับชนเผ่าวิหคโบยบิน”

เวลานี้พ่อบ้านจางยังไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของฉินส่าวชิงที่อยู่ตรงหน้า เมื่อฟังวาจาของเจ้าเมือง เขายังตอบด้วยน้ำเสียงงุนงง

“บัดซบ! นี่เจ้ายังกล้าต่อล้อต่อเถียงกับข้างั้นรึ!?”

ฉินส่าวชิงตะโกนกร้าวด้วยความไม่พอใจ ร่างของเขาพุ่งไปตรงหน้าผู้เฒ่าจางและฝ่ามือฟาดออกไปอย่างเต็มแรงโดยทำให้ผู้เฒ่าจางพิการและฝึกยุทธ์ไม่ได้อีก

“เหอะ เจ้ากล้าบิดเบือนคำสั่งของข้า ทว่าการที่เจ้าเป็นพ่อบ้านประจำจวนเจ้าเมืองมานานหลายปีและทำงานอย่างขยันขันแข็งมาโดยตลอด ก็ถือว่าเจ้ายังพอมีคุณงามความดีอยู่บ้าง เพราะฉะนั้นข้าจะไว้ชีวิตเจ้า ทว่านับจากนี้ไป เจ้าถูกปลดออกจากตำแหน่งพ่อบ้านของจวนเจ้าเมือง จงออกไปตามทางของเจ้าซะ”

เลี่ยหยางหันไปขยิบตาส่งสัญญาณให้กับคนที่อยู่ข้างหลัง จากนั้นใครคนหนึ่งก็ก้าวออกมาและดึงร่างพ่อบ้านจากพื้นก่อนมุ่งหน้าออกไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อเขาไปถึงพื้นที่ห่างไกล ชายคนนั้นก็โยนพ่อบ้านจางลงบนพื้นและมุ่งหน้าตรงกลับไปหาเลี่ยหยางอีกครั้ง

ใบหน้าของผู้เฒ่าจางซีดเซียวทว่าความรู้สึกในหัวใจกลับย่ำแย่ยิ่งกว่า เขาหวาดกลัวอย่างยิ่ง เวลานี้ร่างกายของเขาไม่ต่างจากคนพิการและเขาไม่สามารถฝึกยุทธ์ได้อีก อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขาไม่เข้าใจอย่างที่สุดคือเหตุใดฉินส่าวชิงจึงเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือภายในเวลาอันรวดเร็วเช่นนี้

อีกฟากหนึ่ง สีหน้าเกรี้ยวโกรธของเลี่ยหยางในคราบเจ้าเมืองฉินกลับคืนสู่ปกติ

“ผู้นำจู ขออภัยด้วย ข้าเกือบทำลายความสงบสุขของชนเผ่าวิหคโบยบินเสียแล้ว”

เลี่ยหยางกล่าวกับจูเฟยชวี่พร้อมรอยยิ้ม

“ฮ่าๆๆ ท่านเจ้าเมืองสุภาพเกินไปแล้ว ผู้อาวุโสของชนเผ่าเราก็เสียมารยาทไปเล็กน้อยเช่นกัน หวังว่าท่านเจ้าเมืองจะไม่ถือสา”

จูเฟยชวี่เข้าใจความหมายของเลี่ยหยางดี เขาจึงกล่าวตอบพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน

“ฮ่าๆๆ การเดินทางมาสำรวจซากปรักหักพังครานี้คุ้มค่าอย่างมาก น่าเสียดายที่ผู้นำเลี่ยหยางต้องตายไปเพราะปกป้องข้า อย่างไรก็ตาม ก่อนเขาสิ้นลม เขาสั่งเสียไว้ว่าเขาต้องการแต่งตั้งอาอู่ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของชนเผ่าเพลิงคำราม ผู้อาวุโสซูและผู้นำซูเองก็ได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้เช่นกัน ก่อนหน้านี้ข้าก็ได้ประจันหน้ากับอสูรมายาที่ทรงพลังและได้รับบาดเจ็บมาก เพราะฉะนั้นข้าต้องขอตัวกลับไปรักษาตัวก่อน ข้าเชื่อว่าอาอู่จะจัดการเรื่องทุกอย่างในชนเผ่าเพลิงคำรามให้เรียบร้อยได้”

หลังจากกล่าวจบ ฉินส่าวชิงก็นำบรรดาสมาชิกจากจวนเจ้าเมืองจากไปทันที

ไม่มีใครสังเกตเห็นความผิดปกติว่า ‘ฉินส่าวชิง’ ในตอนนี้มิใช่คนเดิมอีกต่อไป หากแต่เป็นเลี่ยหยางปลอมตัวมา การปลอมตัวของเขาแนบเนียนอย่างยิ่งและแสดงความเจ้าเล่ห์ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของเจ้าเมืองฉินได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยที่ไม่ตกเป็นที่สงสัยของผู้ใดเลยสักนิด

เลี่ยหยางถอนกำลังกลับไปยังจวนเจ้าเมืองอย่างรวดเร็วและจูเฟยชวี่เองก็นำคนกลับไปรวมตัวที่ชนเผ่าวิหคโบยบินเช่นกัน เวลานี้เหลือเพียงสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามและเพลิงคำรามเท่านั้น

บรรดาคนสนิทของเลี่ยหยางในชนเผ่าเพลิงคำรามมีท่าทีบ่งบอกถึงความไม่เชื่ออย่างเห็นได้ชัด ด้วยทัศนคติที่เลี่ยหยางมีต่ออาอู่มาเสมอ เขาจะมอบทั้งชนเผ่าให้อยู่ในเงื้อมมือของบุรุษหนุ่มผู้นั้นได้อย่างไร?

“นั่นเป็นสิ่งที่ผู้นำเลี่ยหยางกล่าวไว้ก่อนตายจริงๆ เขารู้สึกผิดต่อพ่อแม่ของอาอู่เป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยพรสวรรค์และความแข็งแกร่งของอาอู่ เขาก็ถือว่ามีคุณสมบัติมากพอที่จะรับตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามได้ ดังนั้นเพื่อเป็นการไถ่โทษให้กับความผิดที่ผ่านมา ผู้นำเลี่ยหยางจึงต้องการชดใช้ให้กับอาอู่ด้วยวิธีนี้”

ผู้ที่ชื่อว่าหลิวซานกล่าวอธิบาย เขาเองก็กล่าวสัตย์ปฏิญาณต่อฉินอวี้โม่เช่นกัน ไม่มีทางที่เขาจะทรยศอย่างแน่นอน นอกจากนี้เขาก็รู้สึกถูกชะตากับอาอู่มาก การที่บุรุษหนุ่มมากฝีมือได้เป็นผู้นำชนเผ่าคนใหม่ แน่นอนว่าเขาไม่คัดค้านแต่อย่างใด

เมื่อได้ยินวาจาของคนผู้นั้น แม้ว่าสมาชิกชนเผ่าเพลิงคำรามหลายคนยังรู้สึกสงสัย พวกเขาก็คล้อยตามและเชื่อในที่สุด

หลิวซานผู้นี้เป็นหนึ่งในคนสนิทที่สุดของเลี่ยหยาง วาจาของเขาเชื่อถือได้และไม่หลอกลวงอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่พวกเขาเหล่านั้นไม่อาจล่วงรู้คือตอนนี้หลิวซานและอีกหลายคนได้ยอมจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว พวกเขามิใช่คนเดิมเหมือนก่อนอีกต่อไป

อาอู่ก็เพิ่งได้ฟังซูชิงกล่าวถึงการเตรียมการของฉินอวี้โม่ แม้ว่าเขาไม่เต็มใจที่จะรับตำแหน่งผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามเท่าไหร่นัก เขาก็พยักศีรษะตอบรับเมื่อคิดว่ามันจะสามารถช่วยฉินอวี้โม่ได้มาก

“หลิวซาน พวกเจ้าพาอาอู่ไปด้วย ดูแลเขาให้ดีและจัดการเรื่องในชนเผ่าเพลิงคำรามให้เรียบร้อย หากมีปัญหาใดที่แก้ไขไม่ได้ เจ้าก็มาขอความช่วยเหลือกับพวกเราได้ทุกเมื่อ มันเป็นหน้าที่ของพวกเราอยู่แล้ว”

ซูวั่งชวนกล่าวขึ้นเบาๆ

“รับทราบ ข้าจะดูแลอาอู่เป็นอย่างดี”

หลิวซานพยักศีรษะ แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายของซูวั่งชวนดี

เมื่ออาอู่แยกไปกับชาวชนเผ่าเพลิงคำราม ซูวั่งชวนก็นำทุกคนกลับชนเผ่าเมฆาครามเช่นกัน

ตลอดครึ่งเดือนต่อมา ความสงบสุขอย่างในอดีตก็ได้กลับคืนมาอีกครั้ง ภายในเวลารวดเร็วราวกับชั่วพริบตา ทารกในครรภ์ของฉินอวี้โม่ก็มีอายุถึงหกเดือนแล้ว

เช้าตรู่ของวันหนึ่ง ทันทีที่ฉินอวี้โม่ตื่นลืมตาขึ้นมา ซูน่าก็วิ่งพรวดเข้ามาพร้อมกับจดหมายในมือ

“อวี้โม่ มีข่าวส่งมาจากเลี่ยหยางเพื่อแจ้งว่าผู้ช่วยหลายคนที่ฉินส่าวชิงเชิญมาได้มาถึงที่นี่แล้ว”

หลังจากรับจดหมายจากซูน่าและอ่านอย่างรวดเร็ว ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะตอบรับ

เป็นดั่งที่คาดไว้ ฉินส่าวชิงไม่ธรรมดาเลยสักนิดและครานี้เขาเชิญยอดฝีมือที่ทรงพลังหลายคนมาจากเมืองมายา

ครานี้มีผู้ช่วยมาด้วยกันถึงห้าคนโดยผู้ที่อ่อนแอที่สุดมีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นเจ็ด ในบรรดาคนเหล่านั้นก็ยังมีผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับปรมาจารย์คนหนึ่งซึ่งน่าจะต้องการเห็นฝีมือการสยบอสูรมายาของฉินอวี้โม่เช่นกัน

ทันทีที่เดินทางมาถึง พวกเขาก็ต้องการมุ่งหน้าตรงมาที่ชนเผ่าเมฆาครามเพื่อพบกับฉินอวี้โม่ ทว่าโชคดีที่เลี่ยหยางคัดค้านไว้ก่อนและถ่วงเวลาเพื่อให้นางได้มีเวลาเตรียมตัว

“ฮ่าๆๆ ดูเหมือนว่าคนพวกนี้จะอันตรายทีเดียว ไม่คิดเลยว่าฉินส่าวชิงจะทิ้งปัญหาเช่นนี้ไว้ให้พวกเราก่อนตาย”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเย็นชาและแผดเผาจดหมายในมือจนเปลี่ยนกลายเป็นเถ้าถ่าน

อย่างไรก็ตาม นางไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย ฉินส่าวชิงในตอนนี้คือเลี่ยหยางที่ปลอมตัวมาและเป็นพวกเดียวกับนาง มันจะต้องมีทางทำให้คนพวกนั้นจากไปโดยดี ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้คนเหล่านั้นสงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับฉินอวี้โม่ เลี่ยหยางก็น่าจะถ่วงเวลาพวกเขาได้สักระยะหนึ่งเพื่อให้นางและคนอื่นๆได้เตรียมพร้อมรับมือ

“อวี้โม่ เจ้าไม่จำเป็นต้องกลัวพวกเขาเลยสักนิด ตราบใดที่ให้มารยาวางข่ายอาคม คนพวกนั้นก็จะเป็นเพียงมดตัวเล็กๆในกำมือของเจ้า”

ซูน่ายิ้มมุมปากและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ข่ายอาคมคลื่นฝ่ามือคณานับของมารยาในวันนั้นน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง ในตอนนั้นแม้ว่าฉินส่าวชิงและหมาป่าเขี้ยวยักษ์ที่มีพลังอยู่ในขอบเขตเซียนขั้นแปดถึงขั้นเก้า ทว่าเมื่อตกอยู่ภายใต้ข่ายอาคมของมารยา พวกเขาก็ไม่มีพลังที่จะตอบโต้ได้เลย

“ซูน่า การวางข่ายอาคมที่ทรงพลังไม่ใช่เรื่องที่ง่ายนักหรอก”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบาๆพร้อมรอยยิ้มและกล่าวดับฝันของซูน่า

มารยาต้องใช้เวลาถึงสามวันในการวางข่ายอาคมนั้น และหลังจากทำสำเร็จ พลังมายาในร่างกายของมารยาก็เกือบสลายหายไปทั้งหมด ภายในระยะเวลาหลายเดือนนี้ อสูรสาวจะไม่สามารถวางข่ายอาคมที่ทรงพลังเช่นนั้นได้อีก ในระหว่างช่วงที่ผ่านมา มารยาก็เอาแต่เก็บตัวฟื้นฟูพลังงานของตนเองอยู่ในคฤหาสน์เฟิงหัวและตอนนี้มันก็เพิ่งฟื้นฟูพลังอำนาจได้เพียงสามในสิบส่วนเท่านั้น

ซูน่าแลบลิ้นราวกับเด็กๆเมื่อถูกดับฝันโดยวาจาของฉินอวี้โม่ นางมิใช่ผู้วางอาคม เป็นธรรมดาที่นางจะไม่เข้าใจเรื่องนี้

ทว่าหากกล่าวตามความเป็นจริง มันก็สมเหตุสมผลและเข้าใจได้ไม่ยาก หากว่าการวางข่ายอาคมสามารถทำได้ง่ายๆ ฉินอวี้โม่ก็คงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่ไร้เทียมทานไปนานแล้ว

“ไปเตรียมความพร้อมกันเถอะ เราน่าจะต้องไปที่จวนเจ้าเมืองในอีกไม่กี่วันข้างหน้า”

ฉินอวี้โม่กล่าวพร้อมรอยยิ้มขณะเดินออกไปกับซูน่า หากนางคาดการณ์ไม่ผิด ในไม่ช้านางจะได้รับจดหมายเชื้อเชิญให้ไปที่จวนเจ้าเมือง

ซูน่าฉงนสนเท่ห์ไม่น้อยเมื่อได้ยินวาจากำกวมไม่ชัดเจนของสหาย พวกนางยังไม่ได้ข่าวใดๆว่าต้องเดินทางไปที่จวนเจ้าเมือง

ในเวลานี้ ฉินส่าวชิงตัวปลอมกำลังนั่งอยู่บนบัลลังก์ในจวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายา

และในตำแหน่งที่ต่ำกว่านั้นก็มีอีกห้าคนที่กำลังนั่งอยู่เช่นกัน พวกเขาทั้งห้าล้วนแต่งกายด้วยอาภรณ์หรูหราและสภาวะพลังที่แผ่ออกมาก็แกร่งกล้าอย่างยิ่ง แม้มองเพียงแวบเดียวก็ทราบได้ทันทีว่าพวกเขาไม่ใช่แขกธรรมดาๆ

จากบรรดาคนทั้งห้า มีบุรุษสี่คนและสตรีหนึ่งคน สตรีนางนั้นสวมผ้าคลุมบดบังใบหน้าโดยเผยให้เห็นเพียงส่วนเล็กๆของดวงตาและคิ้วเท่านั้น จากที่เห็นภายนอก นางดูบอบบางพอสมควร

“ฮ่าๆๆ เจ้าเมืองฉินส่าวชิง เหตุใดไม่เชิญจอมยุทธ์อวี้โม่และจอมยุทธ์ฝีมือดีคนอื่นๆของเมืองเพลิงมายามาที่จวนเจ้าเมืองล่ะ พวกเราอยากเห็นความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเมืองเพลิงมายา”

เสียงนั้นดังมาจากบุรุษผู้สวมเสื้อคลุมสีดำที่ดูจะอาวุโสที่สุดในกลุ่มและเขาก็เป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเช่นกัน

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉินส่าวชิงก็ชะงักไปเล็กน้อยทว่าก็พยักศีรษะเบาๆ เห็นทีว่าหากฉินอวี้โม่ไม่มาที่นี่ เขาจะส่งคนเหล่านี้กลับไปไม่ได้เสียแล้ว!

.