ตอนที่ 430 ความริษยาและการหยั่งเชิง

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในชนเผ่าเมฆาคราม เมื่อเห็นจดหมายเชิญที่เลี่ยหยางส่งมา ทุกคนก็อดส่ายศีรษะเบาๆไม่ได้

“เป็นจริงอย่างที่อวี้โม่คิดไว้ไม่มีผิด เราต้องไปที่จวนเจ้าเมืองจริงๆ”

ซูน่าอดกล่าวอย่างจนปัญญาไม่ได้ นางไม่คาดคิดว่าสิ่งที่ฉินอวี้โม่คาดการณ์ไว้จะถูกต้องเช่นนี้

“ฮ่าๆๆ ฉินส่าวชิงน่าจะส่งข้อมูลของฉินอวี้โม่ไปให้คนพวกนั้นหลายเรื่องทีเดียว พวกเขาจึงสงสัยใคร่รู้เช่นนี้ ข้าเชื่อว่าผู้นำเลี่ยหยางพยายามขัดขวางไม่ให้พวกเขาพบกับอวี้โม่แล้ว ทว่าพวกเขาคงจะไม่ยินยอม”

ซูวั่งชวนกล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆ แม้ทราบดีว่าความแข็งแกร่งของคนเหล่านั้นไม่ธรรมดา เขาก็ไม่มีความหวาดหวั่นใดๆ เพราะตอนนี้เจ้าเมืองฉินก็คนของพวกเขาที่ปลอมตัวเข้าไป

และขุมกำลังต่างๆในเมืองเพลิงมายาล้วนจำนนต่อฉินอวี้โม่แล้ว เพราะฉะนั้นหากว่าคนเหล่านั้นคิดจะทำอะไรฉินอวี้โม่ พวกเขาไม่มีทางทำได้สำเร็จอย่างแน่นอน

“คาดการณ์ได้ว่าคนอื่นๆก็คงจะได้รับข่าวกันแล้ว หากมีโอกาส พวกเราก็ควรจะหารือกันถึงเรื่องการผนึกกำลังของเมืองเพลิงมายา”

ฉินอวี้โม่กล่าวอย่างสบายๆและไม่ทุกข์ร้อนใดๆ ครานี้นางจะได้ถือโอกาสเสนอความคิดเรื่องการผนึกกำลังขุมกำลังในเมืองเพลิงมายาอย่างเป็นทางการ

“เอาล่ะ เตรียมตัวกันก่อนเถอะ ถึงแม้ว่าอาจจะไม่เกิดปัญหาใดๆขึ้น ทว่าพวกเราก็ต้องเตรียมความพร้อมไว้”

ซูวั่งชวนกล่าวพร้อมพยักศีรษะให้ทุกคน แม้ว่ามีโอกาสน้อยมากที่จะเกิดปัญหาขึ้น พวกเขาก็ต้องเตรียมความพร้อมสำหรับทุกอย่าง

จากนั้นทุกคนก็แยกกันออกไปเตรียมตัวในส่วนของตนเอง

ฉินอวี้โม่เตรียมตัวเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและหล่อหลอมกริชที่แหลมคมขึ้นมาจากเขี้ยวของหมาป่าเขี้ยวยักษ์ที่ได้ครอบครองมาก่อนหน้านี้ เป็นจริงดังที่กล่าวไว้ เขี้ยวของหมาป่าทรงพลังนั้นแหลมคมอย่างที่สุดและกริชที่หลอมจากมันก็ดูจะแข็งแกร่งทนทานและมีพลังทำลายล้างที่เต็มเปี่ยม

เลี่ยหยางเองก็ต้องการให้ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆมีเวลาเตรียมความพร้อม เขาจึงกำหนดเวลานัดหมายเป็นอีกห้าวันข้างหน้า

ตลอดช่วงห้าวันนี้ เลี่ยหยางให้การต้อนรับผู้มีอิทธิพลทั้งห้าเป็นอย่างดีและเขาได้รู้ข่าวหลายเรื่องเกี่ยวกับเมืองมายาจากพวกเขาเหล่านั้น

ในวันที่หก ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปที่จวนเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายาตั้งแต่เช้าตรู่ ทันทีที่มาถึงเมืองเพลิงมายา ทุกคนก็พบกับสมาชิกของเมืองจำนวนมากภายในบริเวณเมือง

ฉินอวี้โม่และคณะเดินทางก็หยุดและกล่าวทักทายกับคนเหล่านั้นก่อนมุ่งหน้าเข้าสู่จวนเจ้าเมือง

ทันทีที่มาถึงจวน พวกนางก็พบว่าเลี่ยหยางรออยู่แล้ว

“ท่านเทพมายา ดูเหมือนว่าคนพวกนั้นจะได้รับข้อมูลเกี่ยวกับท่านมากมายและต้องการหยั่งเชิงท่าน หลังจากนี้ ข้าขอแนะนำให้ท่านเก็บตัวสงบเสงี่ยมเข้าไว้และอย่าสนิทสนมกับพวกเขามากจนเกินไป”

เลี่ยหยางสื่อสารกับฉินอวี้โม่ผ่านทางกระแสจิตและกล่าวเพียงสั้นๆ

“ข้าเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากที่เจ้าทำงานอย่างหนัก”

ฉินอวี้โม่ตอบกลับพร้อมรอยยิ้ม

“อีกอย่าง…หลายวันที่ผ่านมานี้ข้าได้ข่าวเกี่ยวกับเมืองมายามามากทีเดียว หลังจากที่พวกเขากลับไป ข้าจะเล่าทั้งหมดให้ท่านเทพมายาทราบ บางทีมันอาจมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์กับท่าน”

เลี่ยหยางกล่าวต่ออีกประโยค

เมื่อทราบเช่นนั้น ฉินอวี้โม่ก็พยักศีรษะเบาๆเป็นการรับทราบ นางเองก็มีเรื่องต้องการสนทนาหารือกับเลี่ยหยางและทุกคนเช่นกัน

เมื่อมาถึงห้องโถง ทุกคนก็ได้พบกับคนทั้งห้าซึ่งนั่งเรียงรายอยู่ด้านหน้า

อย่างไรก็ตาม ก่อนก้าวเข้าไป แรงกดดันทรงพลังก็แผ่ออกมาจากหนึ่งในคนเหล่านั้นเพื่อกดข่มฉินอวี้โม่และคนอื่นๆอย่างไม่ปิดบัง

เลี่ยหยางขมวดคิ้วมุ่นทันที ทว่าเขาก็ไม่ได้กระทำสิ่งใด เวลานี้เขาทำได้เพียงแสร้งทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและปล่อยให้คนเหล่านั้นทดสอบพลังของฉินอวี้โม่ต่อไป

“ฮ่าๆๆ ท่านจอมยุทธ์ทั้งหลายจะรังแกข้าไปทำไมกัน? ข้าเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ พวกท่านไม่กลัวรึว่าเรื่องนี้จะแพร่งพรายออกไปและทำให้ผู้คนภายนอกดูหมิ่นพวกท่าน?”

ฉินอวี้โม่ยังไม่ลงมือทำสิ่งใดในขณะที่ซูวั่งชวนและซูชิงซึ่งอยู่ข้างหลังนางรวมพลังกันขัดขวางแรงกดดันทรงพลังนั้นไว้

เมื่อได้ยินวาจาของสตรีจอมยุทธ์และเห็นสีหน้าเรียบเฉยของนางรวมถึงท้องที่โตชัดเจน บุรุษผู้นั้นก็ถอนแรงกดดันของตนเอง

“ท่านคือผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะนามว่าอวี้โม่ผู้นั้นรึ?”

หลังจากมองฉินอวี้โม่อย่างพินิจพิจารณา บุรุษคนนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ

จากข้อมูลที่ได้รับจากฉินส่าวชิงก่อนหน้านี้ เขาก็นึกว่าฉินอวี้โม่จะเป็นผู้ที่แกร่งกล้าทรงพลัง ไม่คิดเลยว่านางจะกลับกลายเป็นสตรีท้องโตคนหนึ่ง แม้ว่ารูปลักษณ์ของนางจะงดงามอย่างไร้ที่ติ ทว่าสภาวะพลังที่แผ่ออกมานั้นก็มิได้แกร่งกล้าอย่างที่เขาคิดไว้เลย

“ฮ่าๆๆ ข้าเคยเป็นเช่นนั้น ทว่าตอนนี้ข้าเป็นแค่แม่คนหนึ่งที่กำลังจะให้กำเนิดลูกน้อยเท่านั้น”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างไร้เดียงสาดุจดั่งสตรีบอบบางธรรมดาคนหนึ่ง

นางสัมผัสได้ว่าคนเหล่านี้รับมือได้ยากพอสมควรและพวกเขามีเจตนาที่ไม่ดี ด้วยสภาวะร่างกายในตอนนี้ นางจึงไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางกับพวกเขา ฉินอวี้โม่ไม่รังเกียจที่จะแสดงอากัปกิริยาของสตรีที่อ่อนแอ หากว่านั่นหมายความว่านางจะส่งคนเหล่านี้กลับไปได้

เมื่อมองดูอากัปกิริยาของฉินอวี้โม่และฟังวาจาของนาง คนทั้งห้าก็มองหน้ากันและขมวดคิ้วเล็กน้อย

สตรีผู้นี้มิใช่สตรีโอหังดังที่ฉินส่าวชิงกล่าวไว้ หากแต่เป็นเพียงสตรีบอบบางคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านทั้งหลาย เรื่องที่ข้ากล่าวไว้ก่อนหน้านี้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดกัน ข้าคิดไปเองว่าจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นคนไม่ดีและมีเรื่องบาดหมางกับนาง เวลานี้ความเข้าใจผิดทั้งหมดนั้นกระจ่างแล้ว แน่นอนว่าเราไม่ผิดใจกันอีกต่อไป การที่ข้าทำให้ท่านทั้งหลายเสียเวลามาที่นี่โดยเปล่าประโยชน์ ข้าคงต้องขออภัยด้วย”

เลี่ยหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงและท่าทางนอบน้อมเพื่อแสดงทัศนคติของตนเอง

“โอ้ งั้นรึ? แต่ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินเจ้าเมืองฉินกล่าวว่าอวี้โม่ผู้นี้วางท่าและโอหังยิ่งนักและท่านต้องการให้พวกเราช่วยกำจัดนางมิใช่รึ?”

ทันทีที่สิ้นเสียงของเลี่ยหยาง สตรีสวมผ้าคลุมหน้าก็กล่าวขึ้น แววตาของนางฉายแววความริษยาให้เห็นอย่างชัดเจน

อวี้โม่ผู้นี้…ไม่คิดเลยว่าจะเป็นโฉมนารีงดงามถึงเพียงนี้ แม้ว่ากำลังตั้งครรภ์และทำให้ดูมีน้ำมีนวลกว่าก่อน ทว่าด้วยกลิ่นอายความเย็นชาที่แผ่ออกมากอปรกับรูปลักษณ์ใบหน้าที่งดงามอย่างที่สุดทำให้นางซึ่งเป็นสตรีด้วยกันก็อดอิจฉาริษยาไม่ได้

“ฮ่าๆๆ ท่านเซวียเม่ย ทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แม้ว่าจอมยุทธ์อวี้โม่จะเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ นางก็อ่อนน้อมถ่อมตนมาก ข้าเคยกระทำการอุกอาจรุนแรงกับนาง นางจึงต้องตอบโต้กลับ ทว่าบัดนี้เมื่อได้คลายข้อสงสัยและความบาดหมางทั้งหมด ข้าก็เข้าใจจอมยุทธ์อวี้โม่มากขึ้น และก่อนหน้านี้ที่เข้าไปสำรวจในซากปรักหักพัง หากไม่ใช่เป็นเพราะจอมยุทธ์อวี้โม่ที่ช่วยชีวิตข้าไว้ เกรงว่าข้าคงต้องตายไปแล้ว”

เลี่ยหยางยิ้มด้วยความซาบซึ้งใจเมื่อกล่าวถึงเรื่องที่กุขึ้นมา

“โอ้ ไม่คิดเลยว่าอวี้โม่ผู้นั้นจะเป็นสตรีที่ให้ความสำคัญกับความผิดชอบชั่วดีเช่นนี้”

สตรีผู้มีนามว่า ‘เซวียเม่ย’ มองฉินอวี้โม่และกล่าว “ไม่ทราบว่าจอมยุทธ์อวี้โม่เรียนรู้วิชามาจากที่ใดรึ? แล้วพัฒนาตนเองจนกลายเป็นผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะทั้งที่ยังเยาว์วัยเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?”

เซวียเม่ยเอ่ยถามฉินอวี้โม่ด้วยแววตายั่วยุและจงใจเอ่ยถามลองเชิง

“ฮ่าๆๆ ข้าเพียงฝึกยุทธ์กับผู้แข็งแกร่งที่เก็บตัวไม่สุงสิงกับผู้ใด อีกทั้งพรสวรรค์โดยกำเนิดของข้าในด้านการสยบอสูรมายานั้นก็แตกต่างจากคนทั่วไป นั่นคือสาเหตุที่ข้าฝึกฝนจนมีความสามารถเหมือนในทุกวันนี้ได้ สำหรับชื่อแซ่ของอาจารย์นั้น ท่านอาจารย์ของข้ากำชับไว้ว่าจะเปิดเผยให้ผู้ใดล่วงรู้ไม่ได้เด็ดขาด”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและตอบกลับไป แน่นอนว่านางไม่มีทางเปิดเผยความจริง

เมื่อได้ยินคำตอบดังกล่าว เซวียเม่ยก็ไม่พึงพอใจนัก สีหน้าเรียบเฉยของฉินอวี้โม่ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

“เหอะ นี่คือการตอบคำถามของเจ้างั้นรึ? เจ้าไม่กล้าเอ่ยชื่อแซ่ของอาจารย์ด้วยซ้ำ นั่นเป็นเพราะอาจารย์ของเจ้าไร้ชื่อและไม่เป็นที่รู้จักสินะ!”

เซวียเม่ยแค่นเสียงอย่างเย็นชาและมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาไม่พอใจ

สีหน้าของฉินอวี้โม่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม นางไม่โกรธเคืองใดๆและหัวเราะเบาๆก่อนกล่าว “ท่านเซวียเม่ย ข้ากล่าวไปอย่างชัดเจนแล้ว อาจารย์ของข้ากำชับว่าห้ามเปิดเผยชื่อให้ผู้ใดรับรู้โดยเด็ดขาด ข้าคิดว่าท่านน่าจะเข้าใจ”

คำพูดที่เจือความถากถางของฉินอวี้โม่ทำให้สีหน้าของเซวียเม่ยเหยเกทันที นางลุกพรวดและแทบจะพุ่งตัวออกไป ทว่าบุรุษชุดดำที่น่าจะเป็นหัวหน้าเอ่ยปรามนางไว้ได้ทัน

“เซวียเม่ย!”

เมื่อถูกตะโกนเชิงตำหนิเช่นนั้น เซวียเม่ยก็ไม่กล้ากล่าวสิ่งใดอีกและนั่งลงอย่างเงียบๆ

“ข้าต้องขออภัยด้วย เซวียเม่ยคงจะใจร้อนและสงสัยใคร่รู้จึงกล่าวเช่นนั้นออกไป โปรดอย่าถือสานางเลย”

บุรุษชุดดำยิ้มให้ฉินอวี้โม่พร้อมกล่าวอธิบายเพื่อไม่ให้นางถือโทษโกรธเคือง

“แน่นอนว่าข้าไม่ถือสาหรอก”

ฉินอวี้โม่เองก็ยิ้มตอบเช่นกัน ทว่าเมื่อมองใบหน้าของอีกฝ่าย เขาก็ดูใจเย็นและสงบนิ่งอย่างยิ่ง

บุรุษผู้นี้ยากเกินหยั่งถึงที่สุดในทั้งห้าคน และเขายังเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย

“ฮ่าๆๆ จอมยุทธ์อวี้โม่ไม่ต้องพิธีรีตองอะไรหรอก นั่งลงเถิด ท่านน่าจะมีความสัมพันธ์อันดีกับส่าวชิงแล้ว ทำตัวตามสบายเถอะ”

บุรุษชุดดำยิ้มอย่างเป็นมิตรและกล่าวเพื่อให้ฉินอวี้โม่ทำตัวตามสบาย

“อ้อ ข้ายังไม่ได้แนะนำตัวเองสินะ ข้ามีนามว่าฉินหวยและข้าเป็นผู้อาวุโสสี่แห่งจวนเจ้าเมืองของเมืองมายา คนเหล่านี้คือน้องชายของข้าและเซวียเม่ยเป็นญาติของข้า”

บุรุษชุดดำกล่าวแนะนำตัวกับฉินอวี้โม่ด้วยท่าทางสุภาพ

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะเบาๆและทักทายทุกคนอย่างสุภาพเช่นกันก่อนนั่งลง

เลี่ยหยางนั่งลงบนบัลลังก์หลัก แม้ว่าฉินหวยและคนอื่นๆจะมีสถานะสูงพอสมควร เขาก็เป็นถึงเจ้าเมืองแห่งเมืองเพลิงมายาและตำแหน่งที่นั่งควรเป็นบัลลังก์หลัก

“ฮ่าๆๆ หลังจากที่ได้รับจดหมายจากส่าวชิงก่อนหน้านี้ พวกเราก็รีบเดินทางมาที่เมืองเพลิงมายาทันที ทว่าบัดนี้เมื่อเห็นว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับส่าวชิงเป็นไปด้วยดี ข้าก็คิดว่าทุกอย่างคงจะได้รับการสะสางแล้ว แม้ว่าการเดินทางมาครานี้จะสูญเปล่า มันก็คุ้มค่ายิ่งนักที่ได้พบคนที่ยอดเยี่ยมอย่างท่าน”

ต้องยอมรับเลยว่าฉินหวยผู้นี้ยากเกินหยั่งถึงอย่างแท้จริง สีหน้าของเขาเรียบเฉยไม่บ่งบอกความคิดใดๆและวาจาของเขาก็สุภาพอย่างยิ่งซึ่งทำให้ฉินอวี้โม่สับสนงุนงง

“ผู้อาวุโสฉินหวยสุภาพเกินไปแล้ว ตอนนั้นข้าออกมาหาประสบการณ์และบังเอิญผ่านชนเผ่าเมฆาคราม อีกอย่างก็มีเรื่องเกิดขึ้นในตอนนั้นพอดิบพอดี ข้าจึงพักอยู่ที่นั่น เป็นเพราะความเข้าใจผิดระหว่างข้าและเจ้าเมืองฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเราในตอนนั้นจึงตึงเครียดมาก ตอนนี้เมื่อทุกอย่างคลี่คลายแล้วก็ไม่มีสิ่งใดที่ต้องกังวลอีก”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและเอ่ยตอบอย่างนอบน้อมซึ่งอาจจุดประกายความสงสัยได้เช่นกัน

เมื่อเห็นสีหน้าท่าทางของฉินอวี้โม่ ผู้อาวุโสฉินหวยก็พยักหน้าเบาๆพร้อมถอนหายใจอยู่ในใจ สตรีผู้นี้มีท่าทางที่หนักแน่นมั่นคงยิ่งนักและนางไม่โอหังหรือใจร้อน ด้วยความแข็งแกร่งปัจจุบันทั้งที่เยาว์วัยเช่นนี้และยังเป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรในระดับเทวะ อาจารย์ผู้สั่งสอนวิชาให้กับนางจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“ฮ่าๆๆ ในเมื่อจอมยุทธ์อวี้โม่เป็นถึงผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับเทวะ ไม่ทราบว่าท่านสนใจไปที่เมืองมายาของเราและเข้ารับตำแหน่งประธานสมาคมผู้ฝึกสัตว์อสูรของเรารึไม่? ตอนนี้เรากำลังขาดคนมีฝีมืออย่างท่าน”

ฉินหวยกล่าวพร้อมรอยยิ้มและเชื้อเชิญฉินอวี้โม่โดยตรง

เขาต้องการดูว่านางจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อคำเชิญนี้อย่างไร

เมื่อได้ยินวาจาของฉินหวย สายตาของคนอื่นๆก็จับจ้องมาที่ฉินอวี้โม่เป็นตาเดียวและตั้งตารอคำตอบของนาง

.