บทที่ 817 : หลานสะใภ้!
ประวัติทั้งหมดของหลิงหยุนนั้นถูกเก็บบันทึกไว้ที่เมืองจิงฉูส่วนหนึ่งและการที่หลิงหยุนกลับไปจิงฉูครั้งนี้ เขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเก็บประวัติของตนเองในเมืองจิงฉูเท่านั้น แต่ยังตั้งใจจะไปเก็บประวัติของตนเองทั้งหมดที่อยู่ในมณฑลเจียงหนานอีกด้วย!
นอกจากนี้เขายังคิดถึงหนิงหลิงยู่ฉินตงเฉี่วย หลินเมิ่งหาน เหยาลู่ หนิงน้อย หลงหวู่ แล้วก็ไป๋เซียนเอ๋อมากด้วย..
เหล่ากุ่ยถึงกับมีสีหน้าลำบากใจเมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนคิดจะกลับจิงฉู..
“นายน้อยสี่..ถ้านายน้อยกลับไปเช่นนี้ แล้วเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับท่าน ข้าจะรับผิดชอบไหวได้อย่างไรกัน!”
เหล่ากุ่ยรู้ดีว่าหากหลิงหยุนกลับไปจิงฉูคงจะไม่ปลอดภัยนัก และอาจทำให้หลิงลี่เป็นห่วงมาก
เหล่ากุ่ยนั้นคิดอะไรลึกซึ้งกว่าหลิงหยุนมากเวลานี้หลิงหยุนขึ้นชื่อว่าเป็นคนของตระกูลฉิน และฉินจิวยื่อก็เป็นผู้ที่เลี้ยงดูเขามานานถึงสิบแปดปี จึงยากนักที่ใครจะตัดสายสัมพันธ์นี้ขาดได้!
เหล่ากุ่ยนั้นรู้ดีว่าการที่ฉินตงเฉี่วยยอมให้หลิงหยุนมาปักกิ่งเพื่อรับรู้บรรพบุรุษที่แท้จริงของตนเองนั้นไม่ใช่เพราะนางเห็นแก่หน้าตระกูลหลิง แต่เป็นเพราะนางรู้ว่าหลิงหยุนนั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่นางจะห้ามปรามได้ต่างหาก..
อีกทั้งเวลานี้..ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหลง หรือตระกูลเย่ ทั้งสองตระกูลต่างก็ส่งคนของตนเองไปผูกสัมพันธไมตรีกับตระกูลฉินเรียบร้อยแล้ว เมื่อเป็นเช่นนี้หลิงหยุนจึงไม่ใช่เด็กเล็กๆในสายตาของคนตระกูลฉินอีกต่อไป
และหากกลับไปจิงฉูครั้งนี้ตระกูลฉินเกิดต้องการรั้งตัวหลิงหยุนไว้ไม่ให้กลับมาปักกิ่งอีกเล่า เขาจะทำเช่นไร?
เมื่อคิดได้เช่นนี้เหล่ากุ่ยจึงไม่ต้องการให้หลิงหยุนกลับไปจิงฉูอีก..
หลิงหยุนได้ฟังคำพูดของเหล่ากุ่ยก็ได้แต่ยกมือขึ้นเกาศรีษะพร้อมพูดกับเหล่ากุ่ยว่า “ท่านจะให้ข้าทำเช่นไร! หรือจะให้ข้ากลับไปโดยที่ไม่บอกท่านปู่งั้นรึ?”
เหล่ากุ่ยรู้ตัวดีว่าไม่สามารถห้ามปรามหลิงหยุนได้จึงได้แต่ถามย้ำอีกครั้ง..
“นายน้อยสี่..ท่านต้องการที่จะกลับไปจิงฉูจริงๆงั้นรึ”
หลิงหยุนพยักหน้า“แน่นอน.. อีกอย่างจิงฉูกับปักกิ่งก็อยู่ใกล้กันแค่นี้ การเดินทางก็สะดวกสบาย บินแค่สองชั่วโมงก็ถึงแล้ว! ข้าจะบินกลับไปกลับมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้..”
เหล่ากุ่ยถึงกับถอนหายใจแล้วรีบกระวีกระวาดดึงเครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษออกมา พร้อมกับบอกวิธีใช้ให้กับหลิงหยุนทราบ แล้วย้ำว่า..
“นายน้อยสี่..ท่านใช้เครื่องสื่อสารนี้คุยกับนายผู้เฒ่าได้โดยตรงเลย!”
หลิงหยุนจ้องมองเครื่องมือสื่อสารครู่หนึ่งจึงร้องถามขึ้นด้วยความสงสัย“เหตุใดไม่ใช้โทรศัพท์มือถือเล่า มันน่าจะสะดวกกว่าไม่ใช่รึ?!”
เหล่ากุ่ยตอบกลับยิ้มๆ“เรื่องนี้ก็คล้ายๆกับเรื่องบัตรประชาชนนั่นล่ะ.. โทรศัพท์มือถือพวกนี้ สำนักงานรักษาความมั่นคง หรือองค์กรพิเศษอย่างหน่วยเทพอินทรีย์สามารถดักฟังการพูดคุย หรือแม้แต่ข้อความที่ส่งหากันได้อย่างง่ายดาย..”
หลิงหยุนถึงกับงุนงง“แล้วเครื่องมือนี้ปลอดภัยงั้นรึ!”
จู่ๆหลิงหยุนก็นึกถึงเครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษที่องค์กรนักฆ่าและหน่วยเทพอินทรีย์ใช้ ทั้งหมดล้วนแตกต่างจากที่คนธรรมดาทั่วไปใช้
“มันเป็นระบบสื่อสารคนละชนิดกันเครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษนี้ตั้งแต่ผู้นำระดับมณฑลไปถึงระดับรัฐมนตรี พวกเขาต่างก็ใช้เครื่องมือสื่อสารชนิดพิเศษนี้ และไม่มีทางที่ใครจะสามารถดักฟังได้..”
หลิงหยุนฟังแล้วแทบอยากโยนโทรศัพท์มือถือที่อยู่ในแหวนพื้นที่ของตนเองทิ้งไปทันทีและได้แต่คิดว่าเทคโนโลยีชั้นสูงของโลกใบนี้สะดวกก็จริง แต่ก็เป็นอันตรายถึงตายได้เลยทีเดียว!
บัตรประชาชนโทรศัพท์มือถือ ใบขับขี่ ทะเบียนรถ หรือแม้แต่ IP address ของผู้คนในยุคนนี้ หากใครตกเป็นเป้าหมายแล้วล่ะก็ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากเครื่องมือให้พวกเขาตามสืบค้นได้อย่างง่ายดาย
“นับว่าโชคดีที่ข้าเองก็ไม่ค่อยได้ใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยนักแล้วก็ไม่ค่อยเล่นอินเทอร์เน็ตด้วย! นี่ข้ามีญาณรู้ล่วงหน้าด้วยหรือนี่.. ฮ่า.. ฮ่า..”
พูดจบหลิงหยุนก็หยิบเครื่องมือสื่อสารขึ้นมาติดต่อหาชายชราทันที..
“ท่านปู่..นี่ข้าเอง – หลิงหยุน!”
“หลิงหยุนงั้นรึ!นี่เจ้าใช้เครื่องมือสื่อสารของเหล่ากุ่ยได้อย่างไรกัน?” น้ำเสียงของชายชราเต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจอย่างเห็นได้ชัด
“ท่านปู่..ข้าต้องรีบกลับไปจิงฉูแล้ว คงไม่ได้ไปลาท่านปู่ด้วยตัวเอง ข้าลาท่านปู่เลยก็แล้วกัน”
หลิงลี่ได้ยินถึงกับกระโจนลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันที“อะไรนะ! เจ้าจะกลับจิงฉูงั้นรึ? มีเรื่องด่วนอะไรหรือไม่? หรือเป็นเพราะเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์นั่น?!”
หลิงหยุนเข้าใจความรู้สึกของชายชราดีเขาเอาใจใส่หลิงหยุนถึงเพียงนี้ มีหรือที่จะไม่รู้ว่าผลการสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเป็นศูนย์..
หลิงหยุนถึงกับถอนหายใจเมื่อได้ยินหลิงลี่พูดต่อว่า..“หากเป็นเรื่องเล็กน้อยแค่นั้น เจ้าก็ไม่จำเป็นจะต้องกลับจิงฉู เจ้าบอกข้ามาว่าอยากจะเข้ามหาวิทยาลัยใหน ข้าจะจัดการเรื่องนี้ให้เจ้าเอง!”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า‘มันเป็นความต้องการของท่านแม่กับหลิงยู่ต่างหากเล่า.. ตัวข้าไม่ต้องการเรียนที่ใดทั้งนั้น..’
“ท่านปู่..ข้าไม่ได้กลับจิงฉูเพราะเรื่องผลสอบเอนทรานซ์ เรื่องนั้นข้าไม่ใส่ใจด้วยซ้ำไป! ข้ากลับไปเพื่อทำธุระบางอย่าง..”
หลิงลี่ถึงกับกระวนกระวายใจอย่างมากจนต้องร้องถามออกมา“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็บอกปู่มาว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แล้วปู่จะจัดการให้กับเจ้าเอง!”
หลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออกเขามองเหล่ากุ่ยแล้วก็ได้แต่ยิ้ม จากนั้นจึงตอบหลิงลี่ไปว่า “ท่านปู่.. มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรอย่างที่ท่านกังวลหรอก ข้าก็แค่จะกลับไปพาหลานสะใภ้มาคาราวะท่านปู่เท่านั้นเอง..”
แน่นอนว่าหลิงหยุนไม่ได้กลับไปด้วยเหตุผลเพียงแค่นี้แน่!เพียงแต่นั่นเป็นข้ออ้างที่ดีที่สุดที่เขาคิดได้ในเวลานี้!
“ฮ่า..ฮ่า.. ฮ่า..”
หลิงลี่ได้ฟังถึงกับหัวเราะเสียงดังออกมาจากนั้นจึงทำเสียงล้อเลียนหลานชาย “ฮ่า.. ฮ่า.. แต่เจ้าต้องรับปากปู่ว่าจะพาหลานสะใภ้มาพบปู่พร้อมๆกันทุกคน ไม่เช่นนั้นปู่ก็ไม่อนุญาตให้เจ้ากลับไป!”
“เอ่อ..!”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่าหากเขาพามาทั้งหมดจริงๆ ห้องรับแขกของหลิงลี่คงจะไม่พอต้อนรับแน่
“ครับท่านปู่..ข้าจะพยายาม..”
หลิงหยุนทำอะไรไม่ได้นอกจากต้องโกหกหลิงลี่คำโตต่อไป..
หลิงลี่หัวเราะเสียงดังอีกครั้งและหลังจากหยอกล้อหลิงหยุนต่ออีกสองสามคำ เขาก็ขอคุยกับเหล่ากุ่ยต่อ..
“นายน้อยสี่..จะให้ข้าติดตามท่านไปด้วยหรือไม่!” เหล่ากุ่ยร้องถาม
หลิงหยุนรีบโบกมือห้าม..“ไม่จำเป็น.. เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ข้ากลับไปจัดการคนเดียวได้ ที่นี่ยังมีเรื่องต้องสะสางอีกมากมาย ท่านต้องอยู่ที่นี่ดูแลท่านปู่ และคอยช่วยท่านปู่สะสางเรื่องต่างๆจะดีกว่า”
เหล่ากุ่ยเห็นว่าคำพูดของหลิงหยุนฟังดูมีเหตุผลจึงไม่ต้องการเซ้าซี้อีก แต่ได้จัดการส่งเครื่องมือสื่อสารของตนเองให้หลิงหยุนแทน
“ถ้าเช่นนั้นท่านก็เอาเครื่องนี่ไปใช้กลับไปจิงฉูจะได้ติดต่อท่านได้ง่ายขึ้น!”
หลิงหยุนไม่รีรอรีบเรียกเครื่องมือสื่อสารของเหล่ากุ่ยเข้าไปเก็บไว้ในแหวนพื้นที่ทันที..
เหล่ากุ่ยทำหน้าพยักเพยิดไปทางโกดังเก็บของพร้อมกับถามหลิงหยุนว่า“นายน้อยสี่.. แล้วสามคนที่อยู่ในห้อง ท่านคิดจะจัดการกับพวกมันอย่างไร”
หลิงหยุนตอบกลับไปว่า“ข้าฝากขังพวกมันไว้ที่นี่ก่อน รอถังเมิ่งจัดการเรื่องเครื่องบินให้เรียบร้อยก่อน ไม่แน่ว่าข้าอาจจะพาพวกมันกลับไปจิงฉูด้วย!”
“อ่อ..เกาเทียนหลงจะแอบปฏิบัติภารกิจในปักกิ่งอย่างเงียบๆ ท่านช่วยส่งคนไปคุ้มครองความปลอดภัยให้เขากับคนตระกูลเกาด้วย แต่ให้ไปเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้นนะ..”
ตามที่หลิงหยุนคาดการณ์ในช่วงเวลากลางคืนทั้งเกาจิ้นสง และเกาซิงฉางจะต้องออกมาดูแลความปลอดภัยให้กับเกาเทียนหลงด้วยตัวเองอย่างแน่นอน..
“เรื่องนั้นนายน้อยสี่ไม่ต้องเป็นห่วงข้าว่าตระกูลเฉินเวลานี้แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คงไม่มีเวลามาสนใจเกาเทียนหลงแน่..”
หลิงหยุนถึงกับหัวเราะเสียงดัง“ฮ่า.. ฮ่า.. ข้าเองก็คิดเช่นนั้น.. แล้วข้าก็คิดว่าตระกูลเฉินน่าจะส่งคนไปหาเรื่องข้าถึงจิงฉูเสียมากกว่า คงไม่สนใจจะยุ่งกับเกาเทียนหลงหรอก..”
เหล่ากุ่ยร้องเตือนด้วยความเป็นห่วงเป็นใย“นายน้อยสี่.. ท่านต้องระมัดระวังตระกูลซันกับตระกูลเฉินให้มากด้วย!”
แววตาของหลิงหยุนเปลี่ยนเป็นเย็นชาทันทีพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน “เหล่ากุ่ย.. ข้าจะระมัดระวังตัวให้มาก!”
อุปนิสัยของหลิงหยุนเป็นเช่นไรมีหรือที่เหล่ากุ่ยจะไม่รู้..
“ส่วนเรื่องสุดท้าย..เวลานี้คนตระกูลเกาต่างก็ซ่อนตัวอยู่ที่บ้านหลังนั้น ท่านช่วยสั่งการให้แวมไพร์สองตนไปคอยเฝ้าดูแลด้วย..”
“นายน้อยสี่..ท่านจะให้ข้าส่งใครไปดีล่ะ”
“จ๊อยซ์กับเพียร์ซก็น่าจะดี..ความแข็งแกร่งของพวกมันทั้งคู่น่าจะรับมือยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 ได้!”
แต่หลิงหยุนเองก็ไม่มั่นใจในจุดนี้มากนักเพราะนี่เป็นการคาดเดาของเขาเอง เพราะพอลกับเจสเตอร์เป็นแวมไพร์ขั้นไวส์เคานต์ พวกมันสามารถรับมือนินจาขั้นเซียงเทียน-7 ได้ ส่วนเพียร์ซกับจอยซ์เป็นแวมไพร์ขั้นเคานต์ ก็น่าจะรับมือยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 ได้..
“แล้วเอ็ดเวิร์ดล่ะ”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อย“ให้เอ็ดเวิร์ดเฝ้าอยู่ที่บ้านตระกูลหลิง และคอยฟังคำสั่งจากท่านปู่”
เอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์ขั้นมาร์ควิสหลังจากที่รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไปแล้ว ถึงแม้จะไม่พัฒนาขั้น แต่ความแข็งแกร่งของเอ็ดเวิร์ดก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เรื่องนี้หลิงหยุนเองก็ยังไม่เข้าใจ..
แต่ถึงกระนั้นเขาก็มั่นใจว่าความแข็งแกร่งของเอ็ดเวิร์ดน่าจะเทียบเท่ายอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8ได้..
หากเป็นเช่นนี้ก็เท่ากับว่าตระกูลหลิงมียอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-8 ถึงสองคน อีกทั้งเอ็ดเวิร์ดก็ยังไม่ใช่มนุษย์ เขาจึงมั่นใจว่าตระกูลหลิงจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย..
เหล่ากุ่ยยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“นายน้อยสี่ หากเป็นเช่นนี้ท่านก็ไม่ต้องห่วงตระกูลหลิงอีกแล้ว!”
หลิงหยุนยิ้มบางขณะเดินไปตามทางภายในโกดังเหล่ากุ่ยเองก็เดินตามหลังหลิงหยุนไป ส่วนหลิงสือชีก็รีบมาเปิดประตูให้ด้วยความตื่นเต้น แล้วทั้งคู่ก็เข้าไปภายในคลังอาวุธตระกูลหลิง..
“คันธนูกับลูกธนูที่ข้าสั่งเจ้าทำเสร็จแล้วหรือยัง”
หลิงหยุนใช้ลูกธนูสังหารแวมไพร์ไปจำนวนมากเขาจึงต้องการลูกธนูเพิ่ม..
“นายน้อยสี่..เวลานี้แร่เงินที่ท่านนำมาทั้งหมด ได้นำมาผลิตเป็นลูกธนูเงินตามที่ท่านสั่งทั้งหมดแล้ว!”
“เยี่ยมมาก!”
หลิงหยุนเดินไปยังตำแหน่งที่วางลูกธนูเงินและจัดการเรียกลูกธนูทั้งหมดกลับเข้าไปไว้ในแหวนพื้นที่ซึ่งแออัดอย่างมากในเวลานี้!
บทที่ 818 : ดื่มเลือดพี่น้อง!
เวลาสองทุ่มตรงในวันต่อมา..
เครื่องบินเจ็ทหรูหราส่วนตัวจอดนิ่งอยู่ที่สนามบินนานาชาติปักกิ่งรอคอยเวลาที่จะเหินออกจากสนามบิน..
นี่คือเครื่องBombardier Challanger 850 เป็นรุ่นที่ไม่ใหญ่โตมากนัก แต่ภายในห้องโดยสารนั้นหรูหรา และมีอุปกรณ์ต่างๆครบครัน
“ไงล่ะพี่หยุน..เครื่องบินเช่าส่วนตัวนี่เป็นไงบ้างล่ะ!”
ทันทีที่ถังเมิ่งก้าวขึ้นไปบนเครื่องบินส่วนตัวที่เช่ามาหลังจากที่มีการเปลี่ยนแผนอย่างกะทันหันนั้นเขาก็ตื่นเต้นอย่างมากจนถึงกับร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายอยู่ภายในห้องโดยสารสุดหรู..
แม้ว่าถังเมิ่งจะเป็นหนุ่มเพลย์บอยในจิงฉูแต่เขาก็ยังไม่เคยโดยสารเครื่องบินส่วนตัวเช่นนี้ เขาจึงรู้สึกตื่นเต้นไม่ต่างจากเด็กสาวบ้านนอกที่เพิ่งจะเข้าเมืองเป็นครั้งแรก
เครื่องChallanger 850 ที่ภายในยาวกว่าสิบห้าเมตร กว้างกว่าสองเมตรครึ่ง และสูงเกือบสองเมตรนั้น ได้ถูกตกแต่งใหม่ทั้งหมด และแบ่งพื้นที่ใช้งานออกเป็นสามส่วน
ความจริงแล้วภายในห้องโดยสารนั้นสามารถติดตั้งเก้าอี้โดยสารได้ถึงสิบหกที่นั่งแต่เครื่องบินส่วนตัวลำนี้กลับติดตั้งเก้าอี้โดยสารไว้เพียงแปดที่นั่งเท่านั้น เพื่อให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางยิ่งขึ้น และนำพื้นที่ส่วนที่เหลือปรับเปลี่ยนเป็นบาร์สำหรับนั่งดื่ม ห้องนอนที่หรูหรา และห้องทำงานที่แสนสะดวกสบาย..
นอกเหนือจากนั้นก็ยังมีห้องอาบน้ำแล้วก็ห้องครัวที่มีเครื่องครัวค่อนข้างครบครันอีกด้วย
ภายในห้องโดยสารตกแต่งด้วยสีทองไฟสิบกว่าดวงที่เปิดสว่างไสว อยู่นั้น ช่วยสะท้อนสีทองให้ระยิบระยับสู่สายตาของผู้ที่ได้พบเห็น
ถังเมิ่งและหลิงหยุนคิดว่าราคาเครื่องบินส่วนตัวลำนี้น่าจะราวสามร้อยล้านหยวนซึ่งนับว่าแพงกว่าเครื่องบินส่วนตัวของนักแสดงชื่อดังอย่างจ้าวเปิ่นชานเสียอีก
คงจินตนาการได้ไม่ยากว่าผู้ที่ได้โดยสารด้วยเครื่องบินส่วนตัวที่หรูหราเช่นนี้จะมีควาสุขมากเพียงใด..
ในเมื่อหลิงหยุนต้องการซื้อเครื่องบินส่วนตัวอยู่แล้วการเช่ามาลองนั่งก็ไม่น่าจะมีอะไรเสียหาย..
ส่วนนักบินและผู้ช่วยนักบินที่มาขับเครื่องบินให้กับหลิงหยุนนั้น ก็ไม่ใช่คนของบริษัทให้เช่า แต่เป็นนักบินของตระกูลหลิงที่หลิงลี่เป็นผู้จัดหาให้ด้วยตัวเอง นักบินทั้งคู่ก็ไม่ใช่นักบินธรรมดา แต่ยังเป็นนักบินของกองกำลังพิเศษอีกด้วย..
ถังเมิ่งร้องตะโกนโหวกเหวกอย่างมีความสุขจนหลิงหยุนถึงกับขมวดคิ้วพร้อมกับสั่งถังเมิ่งว่า
“ถังเมิ่ง..นี่นายหยุดตะโกนโหวกเหวกสักทีจะได้มั๊ย ให้ฉันอยู่สงบๆบ้าง!”
ในเวลานั้นเกาเฉินเฉินฉางหลิง กงเสี่ยวลู่ และเหลียงเฟิงอี้ต่างก็เดินตามเข้าไปในห้องโดยสารเรียบร้อยแล้ว นอกจากเกาเฉินเฉิน.. หญิงสาวอีกสามคนก็มีสีหน้าตื่นเต้นตกใจอย่างมาก พวกเธอเพิ่งจะรู้ว่าบรรดาเศรษฐีร่ำรวยจริงๆนั้น พวกเขาใช้ชีวิตหรูหรากันอย่างไร
สำหรับพวกเธอทั้งสามคนแม้แต่การเดินทางด้วยชั้นธุรกิจยังเป็นเรื่องที่พวกเธอไม่เคยคิด ในใจจึงรู้สึกตื่นเต้นอย่างที่สุด แต่ก็พยายามเก็บความรู้สึกทั้งหมดไว้ไม่แสดงออกมา..
ความจริงแล้วหลิงหยุนเองก็ตื่นเต้นตกใจอย่างมากเช่นกันเขาเองก็รู้สึกไม่ต่างจากเด็กสาวบ้านนอกที่เพิ่งเข้าเมือง แต่ก็ทำตัวสงบเสงี่ยม และใช้จิตหยั่งรู้สำรวจโดยรอบแทน
หลิงหยุนถึงกับตกใจในความโอ่อ่าใหญ่โตภายเครื่องบินลำนี้ไม่ได้มีเพียงห้องโดยสาร แต่ยังมีห้องทำงาน ห้องรับประทานอาหาร เคาน์เตอร์บาร์ ห้องนอน แม้แต่ยิมเล็กๆก็มี แล้วก็ยังมีโต๊ะสำหรับเล่นไพ่นกกระจอกอีกด้วย
‘น่าตื่นเต้นดี..!’
เครื่องบินยังคงจอดนิ่งเพราะกำลังรอคอยผู้โดยสารที่ยังมาไม่ถึง แต่เหล่ากุ่ยก็ไม่ปล่อยให้หลิงหยุนคอยนานนัก เพียงแค่สิบนาทีต่อมาก็มีรถตู้สีดำมาจอดเทียบเครื่องบินลำนี้
แล้วเหล่ากุ่ยพอล เจสเตอร์ ก็นำตัวเฉินเจี้ยนกุ่ย เฉินเซิน และไห่ซานขึ้นมาบนเครื่อง..
“ห้องยิมคงไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร..โยนพวกมันเข้าไปในห้องนั้นก็แล้วกัน!” หลิงหยุนร้องสั่งด้วยน้ำเสียงราบเรียบโดยไม่สนใจหญิงสาวทั้งสามคนที่กำลังยืนตกใจ..
แล้วผู้โชคร้ายทั้งสามคนก็ถูกนำตัวไปขังไว้ในห้องยิมเล็กๆทันที..
ที่เหลียงเฟิงอี้กงเสี่ยวลู่ และฉางหลิงตกใจนั้น ไม่ใช่เพราะเฉินเซินที่หน้าบวมเป็นซาลาเปา หรือเพราะไห่ซานที่อยู่ในสภาพจวนเจียนจะสิ้นใจ ทั้งสามคนต่างก็ตกใจเพราะเฉินเจี้ยนกุ่ย และชาวต่างชาติที่แต่งตัวอย่างสุภาพบุรุษทั้งสองคน
หลิงหยุนรู้ไปจักกับชาวต่างชาติตั้งแต่เมื่อไหร่อีกทั้งสองคนนั่นก็แข็งแรงอย่างมากด้วย ทั้งคู่ใช้มือเพียงข้างเดียวหิ้วร่างของคนหนึ่งคนได้สบายๆราวกับตุ๊กตา
“ผมขอแนะนำให้คุณรู้จักกับเพื่อนต่างชาติของผมนี่คือพอล.. ส่วนนี่ก็เจสเตอร์..” หลิงหยุนเอ่ยแนะนำพอลกับเจสเตอร์ให้ทุกคนรู้จัก
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี..พวกเราสองคนไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเป็นเพื่อนกับพวกท่าน เพราะพวกเราเป็นเพียงแค่บริวารที่จงรักภักดีของเจ้านายเท่านั้น..”
พอลโค้งคำนับด้วยความสุภาพอ่อนน้อมพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพบุรุษหลิงหยุนถึงกับพูดไม่ออก..
ถังเมิ่งได้แต่ตกตะลึง..เขากำลังนึกถึงเรื่องที่หลิงหยุนเคยเล่าให้ฟังว่า หลิงหยุนได้ถ่ายเลือดของตนเองลงในร่างของแวมไพร์ และทำให้พวกมันกลายเป็นบริวารของเขา และหากเขาเดาไม่ผิด สองคนนี้ก็น่าจะเป็นสองในบริวารทั้งหมดของหลิงหยุน
“แม่เจ้าโว้ย..ทั้งหล่อ แถมยังเป็นสุภาพบุรุษอีกด้วย!” ถังเมิ่งร้องอุทานออกมาเสียงดัง
จากนั้นหลิงหยุนจึงรีบลุกขึ้นยืนพร้อมกับดึงตัวเหล่ากุ่ยเข้ามา และทำการแนะนำให้ทุกคนได้รู้จักอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
“นี่คือเหล่ากุ่ยทุกคนน่าจะเคยเห็นหน้าคร่าตากันมาบ้างแล้ว!”
เหล่ากุ่ยเองก็ไปร่วมในงานวันเปิดคลินิกของหลิงหยุนเช่นกันทั้งเหลียงเฟิงอี้ กงเสี่ยวลู่ แล้วก็ฉางหลิงต่างก็น่าจะเคยพบเห็นเหล่ากุ่ยมาก่อน
หลังจากร่ำลากันเรียบร้อยแล้วในเวลาสองทุ่มครึ่ง เครื่องบินส่วนตัวก็เริ่มทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้ายามค่ำคืน และค่อยๆไต่เพดานบินขึ้นไปเรื่อยๆ
“เจ้านาย..ไวน์แดงบนเครื่องนี้รสชาติใช้ได้เลยทีเดียว ต้องการสักแก้วมั๊ยครับ”
หลังจากที่เครื่องบินบินนิ่งอยู่บนท้องฟ้าเรียบร้อยแล้วพอลก็ร้องถามหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงและท่าทางที่สุภาพมาก
“มีใครต้องการไวน์บ้างมั๊ย..”
หลิงหยุนร้องถามทุกคนด้วยน้ำเสียงสบายๆและเวลานี้เขาก็กำลังคิดว่าอยู่บนเครื่องบินส่วนตัวเช่นนี้ หากเกาเฉินเฉินกับฉางหลิงมานั่งอยู่บนตักของข้างละคน ก็คงจะดีไม่น้อย..
ความจริงแล้วเกาเฉินเฉินเองก็ตั้งใจไว้ว่าเมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าแล้ว เธอก็จะไปนั่งดื่มไวน์กับหลิงหยุนอย่างมีความสุข แต่เมื่อเห็นเฉินเจี้ยนกุ่ยขึ้นเครื่องมาด้วย ความเคียดแค้นทั้งหมดก็ปะทุขึ้นมาในใจอีก..
หลังจากผ่านไปสิบนาทีเครื่องบินก็บินขึ้นสู่ระดับหนึ่งหมื่นเมตร และกำลังบินอยู่ท่ามกลางเมฆหนา หลิงหยุนมองลงไปด้านล่างก็เห็นแต่แสงไฟระยิบระยับของเมืองด้านล่าง..
กงเสี่ยวลู่ที่เริ่มจะปรับตัวได้กำลังค่อยๆจิบไวน์แดง แล้วหันไปพูดกับหลิงหยุน “หลิงหยุน.. กลับไปถึงจิงฉูแล้ว เธอจะทำอะไรงั้นเหรอ”
กงเสี่ยวลู่ดูเหมือนเจะเป็นห่วงเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์ของหลิงหยุนเป็นพิเศษ..
หลิงหยุนยิ้มสดใสพร้อมตอบกลับไปว่า“อ่อ.. ผมก็จะกลับไปอ่านหนังสือปรัชญาของขงจื๊อไงล่ะ!”
กงเสี่ยวลู่จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพูดต่อว่า“เธอจะใช้วิธีแก้ปัญหาอย่างคนปกติได้มั๊ย”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับแอบหัวเราะอยู่ในใจแต่ก็ตอบไปว่า “วิธีแบบคนปกติทั่วไปงั้นเหรอ! ถ้าผมทำแบบนั้น เรื่องนี้คงต้องใช้เวลาเนิ่นนานมาก แล้วตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาแห่งจิงฉู ก็จะไม่เป็นของครูสักทีน่ะสิ!”
แต่แล้วจู่ๆก็มีเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังออกมาจากห้องยิม หลิงหยุนจำได้ว่ามันคือเสียงร้องของเฉินเจี้ยนกุ่ย
“หึ..คงจะทนไม่ได้แล้วสินะ!”
หลิงหยุนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันก่อนจะเดินยิ้มออกไปด้านหลังห้องโดยสารด้วยสีหน้าสบายอกสบายใจ
ในยามค่ำคืนที่อยู่เหนือพื้นดินในระยะหนึ่งหมื่นเมตรนี้เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่ได้ดื่มเลือดมานานหลายคืน อีกทั้งยังถูกจี้จุดทำให้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ แม้แต่พูดก็ยังยากเย็นแสนเข็ญ
เวลานี้ดวงตาของเฉินเจี้ยนกุ่ยทั้งสองข้างแดงก่ำเขี้ยวทั้งสองข้างก็งอกยาวออกมา และกลายเป็นสัตว์ประหลาดที่น่าสยดสยองยิ่งนัก
นี่คือสภาพของแวมไพร์ที่กำลังกระหายเลือดอย่างที่สุด..
เฉินเจี้ยนกุ่ยมองหลิงหยุนด้วยดวงตาแดงก่ำและดุร้ายหากสายตาของมันสามารถฆ่าหลิงหยุนได้ หลิงหยุนคงตายไปหลายครั้งแล้ว..
ในที่สุดเฉินเจี้ยนกุ่ยก็ได้รู้ว่ายอดฝีมือที่มาช่วยเกาเฉินเฉินและลงมือสังหารพี่ชายคนที่สองของมัน ก็คือเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ และเป็นคนที่มันคาดเดาไว้ตั้งแต่แรกซึ่งก็คือหลิงหยุน – แฟนของเกาเฉินเฉิน!
มันไม่เพียงเห็นพอลกับเจสเตอร์แต่ยังเห็นเกาเฉินเฉินด้วย..
หากเฉินเจี้ยนกุ่ยรู้ว่าหลิงหยุนจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มันจะไม่ประมาทเลย แต่น่าเสียดายที่ทุกอย่างสายเกินไปแล้ว นึกเสียใจตอนนี้ก็เปล่าประโยชน์!
“เจ้าคงกระหายเลือดมากแล้วสินะได้.. คอของเฉินเซินอยู่ใกล้แค่เอื้อม หากเขี้ยวของเจ้ายาวพอ ก็จัดการดูดเลือดของมันได้เลย?”
หลิงหยุนจำเป็นต้องคิดหาสูตรยาที่จะช่วยคนตระกูลเกาเขาจำเป็นต้องทำการทดสอบซ้ำหลายๆครั้งเพื่อให้มั่นใจ แต่เขาไม่อยากทดลองกับคนตระกูลเกาทั้งสิบคน..
และหากต้องหาคนมาทำการทดสอบแทนหลิงหยุนก็ไม่เห็นว่าจะมีใครเหมาะสมไปกว่าเฉินเซินกับไห่ซานแล้ว
หากเฉินเจี้ยนกุ่ยพูดได้มันก็คงจะสาปแช่งหลิงหยุนไปนานแล้ว แต่นี่มันไม่สามารถพูดได้..
“ข้ารู้ว่าเจ้าดื่มเลือดเด็กสาวบริสุทธิ์มากมายเพื่อพัฒนาขั้นของตนเอง..”
“เมื่อครั้งที่ข้าเข้าไปในถ้ำของเจ้าข้าได้รับปากกับดวงวิญญาณเหล่านั้นว่า จะสังหารเจ้าเป็นการแก้แค้นให้กับพวกนาง แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้..”
น้ำเสียงของหลิงหยุนเย็นยะเยือกไม่ต่างจากน้ำแข็งแววตาไร้ซึ่งความปราณี และสำหรับคนชั่วช้าอย่างเฉินเจี้ยนกุ่ย เขาแทบรอคอยที่จะสังหารมันไม่ได้ด้วยซ้ำไป..
หลิงหยุนเลือกที่จะไม่พูดถึงคนตระกูลเกาเพราะเกรงว่าจะกระทบกระเทือนจิตใจของเกาเฉินเฉิน
“โอย..”เฉินเจี้ยนกุ่ยคำรามอยู่ในลำคอ และดูเหมือนว่ามันจะทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
เฉินเจี้ยนกุ่ยหันหน้าไปมองลำคอของเฉินเซินทันที..
เฉินเซินอยู่ในอาการหวาดกลัวแม้ว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะถูกจี้จุดไว้ แต่เขี้ยวทั้งสองข้างของมันก็งอกยาว และอยู่ใกล้กับลำคอของเฉินเซินอย่างมาก
ร่างของเฉินเซินสั่นด้วยความหวาดผวาพร้อมกับอ้าปากกว้าง และพยายามที่จะร้องออกมา แต่ก็ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากปากของมันเลยแม้แต่น้อย
หลิงหยุนแสยะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“เฉินเซิน.. เจ้าเองก็อยากให้เฉินเจี้ยนกุ่ยทำให้เจ้าเป็นแวมไพร์ไม่ใช่รึ ตอนนี้โอกาสของเจ้ามาถึงแล้ว อย่าได้หวาดกลัวไปสิ!”
หลิงหยุนหันไปพูดกับเฉินเจี้ยนกุ่ยที่กำลังกระหายเลือดอย่างมาก“ดูดเลือดสิ.. แล้วก็ทำให้มันกลายเป็นแวมไพร์ด้วย แต่อย่าทำให้มันตายไปล่ะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะไม่มีเลือดดื่มอีกเลย..”
หลิงหยุนได้แต่แอบคิดในใจว่า..พี่น้องตระกูลเฉินล้วนแล้วแต่ไม่ต่างจากสัตว์นรก!
เฉินเจี้ยนกุ่ยไม่อาจต้านทานแรงกระหายได้มันยื่นเขี้ยวยาวเข้าไปที่ลำคอของเฉินเซินพร้อมกับกัดลงไปทันที..