บทที่ 819 : กลับบ้าน!
  จัดการกับสัตว์นรกก็ต้องใช้วิธีการเยี่ยงสัตว์นรกที่โหดเหี้ยมไม่ต่างกัน..
  “เจ้าอย่าได้ทำรุนแรงนักเดี๋ยวมันจะตายซะก่อน!” หลิงหยุนร้องบอกในระหว่างที่มองภาพที่แสนโหดเหี้ยมนั้น
  “ข้าบอกเจ้าให้เอาบุญ..เครื่องบินลำนี้กำลังมุ่งหน้าสู่เมืองจิงฉู มณฑลเจียงหนาน ระหว่างที่ข้ายังไม่ฆ่าเจ้านั้น เจ้าก็ภาวนาให้ตระกูลเฉินส่งคนมาช่วยเจ้าก็แล้วกัน..”
  หลิงหยุนพูดทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชาก่อนจะหันหลังเดินกลับออกจากห้องไป..
  ด้วยคำพูดประโยคสุดท้ายของหลิงหยุนเขามั่นใจว่าเฉินเจี้ยนกุ่ยจะเพียงแค่ดูดเลือดเฉินเซิน และทำให้มันกลายเป็นแวมไพร์เท่านั้น แต่มันจะไม่ดูดเลือดเฉินเซินจนตายไปอย่างแน่นอน..
  และนี่คือวิธีการที่เฉินเจี้ยนกุ่ยใช้กับเกาเฉินเฉินเพื่อให้เธอมีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป และไม่ชิงฆ่าตัวตายไปเสียก่อน
  หลิงหยุนกำลังใช้วิธีการเดียวกับเฉินเจี้ยนกุ่ยเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับเกาเฉินเฉินแต่ต่อให้เฉินเซินต้องตายไปจริงๆ หลิงหยุนก็ไม่สนใจ เพราะเขายังมีไห่ซานอยู่อีกทั้งคน
  เมื่อหลิงหยุนกลับออกมา..เขาก็พบว่าเกาเฉินเฉินกำลังมองมาทางห้องยิมอยู่พอดี และใบหน้างดงามของเธอก็ปรากฏร่องรอยของความเคียดแค้นเกลียดชัง
  -เฉินเฉิน..เวลานี้ศัตรูอยู่ในเงื้อมือของเราแล้ว คุณไม่ต้องกังวลใจไป รอให้ผมสามารถปรุงยาสำหรับรักษาคนในครอบครัวของคุณให้ได้ก่อน เมื่อถึงเวลานั้น.. คุณอยากจะแก้แค้นกับมันยังไงก็เชิญ!-
  หลิงหยุนส่งกระแสจิตบอกเกาเฉินเฉินด้วยสีหน้าอ่อนโยนและเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยน และความเป็นห่วงเป็นใยจากหลิงหยุน เกาเฉินเฉินก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจขึ้นมาทันที และค่อยๆสงบลงในที่สุด
  จากนั้น..หลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตบอกกับเจสเตอร์ว่า
  -เจสเตรอ์..เจ้าไปจับตามองเฉินเจี้ยนกุ่ยอยู่ที่หน้าห้องยิม อย่าให้เกิดอะไรผิดพลาดขึ้นได้!–
  หากเฉินเจี้ยนกุ่ยได้ดื่มเลือดเข้าไปแล้วเกิดมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา และสามารถคลายจุดที่เขาสกัดไว้ได้แล้วล่ะก็ คงจะเป็นปัญหาใหญ่โตอย่างแน่นอน เพราะตอนนี้พวกเขากำลังอยู่บนเครื่องบินที่บินอยู่เหนือท้องฟ้าถึงหนึ่งหมื่นเมตร..
  “ครับเจ้านาย..”เจสเตอร์พยักหน้ารับคำสั่ง
  หลิงหยุนกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้โดยสารตัวเดิมจากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานกันวางไว้บนหลังศรีษะ พร้อมกับเอนกายลงนอนอย่างสบายอกสบายใจ ส่วนสายตาก็จ้องมองเหลียงเฟิงอี้อย่างเปิดเผย
  น่าแปลกที่ตั้งแต่ขึ้นมาบนเครื่องเหลียงเฟิงอี้ก็เอาแต่นั่งเงียบไม่พูดอะไร และไม่แม้แต่จะหันมามองหลิงหยุน อีกทั้งยังไม่มีปฏิกิริยาใดๆต่อสิ่งที่ได้พบเห็นและได้ยินได้ฟัง ทำให้หลิงหยุนนึกประหลาดใจไม่น้อย..
  ‘ก็ดี!ข้าจะได้มองเจ้าอย่างนี้จนกว่าพอใจ..’
  สายตาของหลิงหยุนกวาดขึ้นกวาดลงอยู่ที่เรือนร่างของเหลียงเฟิงอี้และกำลังดื่มด่ำกับรูปร่างที่สมส่วนไร้ที่ติของเธอ
  ในบรรดาสาวสวยทั้งสี่คนบนห้องโดยสารของเครื่องบินลำนี้เหลียงเฟิงอี้นับว่าเป็นผู้ที่มีรูปร่างสมส่วนไร้ที่ติที่สุด อีกทั้งยังเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์มาก แต่ละท่วงท่าของการก้าวเดินนั้น แม้แต่ผู้หญิงด้วยกันเห็นยังต้องกลืนน้ำลาย..
  เมื่อสัมผัสได้ว่าสายตาของหลิงหยุนกำลังจ้องมองมาทางตนเองนั้นเหลียงเฟิงอี้ที่กำลังนั่งจิบไวน์แดง ก็ถึงกับหัวใจเต้นระรัวขึ้นมาพร้อมกับหน้าแดงขึ้นมาทันที
  กงเสี่ยวลู่กับเหลียงเฟิงอี้นั้นอายุไล่เลี่ยกันและขณะนี้เธอกำลังนั่งอยู่ข้างเหลียงเฟิงอี้ จึงรู้สึกกระอักกระอ่วนทำสีหน้าไม่ถูก..
  หลังจากที่จ้องมองเรียวขาคู่งามของเหลียงเฟิงอี้ครู่หนึ่งแล้วหลิงหยุนก็ต้องพยายามฝืนความรู้สึกที่ต้องการใช้เนตรหยิน-หยางของตนเอง จนต้องแกล้งหาวออกมาพร้อมกับรำพึงรำพันว่า
  “วันนี้ทั้งเหนื่อยทั้งปวดหลังไม่รู้ว่าต้องนั่งบนเครื่องนี่อีกนานแค่ใหน!”
  “ฉางหลิง..ตามเข้าไปช่วยนวดหลังให้ผมหน่อยสิ!”
  พูดจบ..หลิงหยุนก็ลุกขึ้นเดินตรงไปยังห้องนอนที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม และเป็นพื้นที่ส่วนตัว
  “เอ่อ..”
  ฉางหลิงได้ยินถึงกับหน้าแดงก่ำไปจนถึงใบหูมือทั้งสองข้างถูกับหน้าตักของตนเองไปมา และดูจากท่าทางของฉางหลิงแล้ว ดูเหมือนเธอเองก็ไม่อยากจะปฏิเสธ..
  “ตาบ้า!ชอบพูดให้คนอื่นทำหน้าไม่ถูกตลอดเลย..”
  ฉางหลิงทั้งเขินอายและมีท่าทีกระอักกระอ่วน แต่ในใจนั้นแทบอยากจะวิ่งตามหลิงหยุนไปในทันที..
  ถังเมิ่งดูเหมือนจะมีท่าทีปกติที่สุดเขาแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอด แล้วหันไปมองวิวนอกหน้าต่างที่มีแต่ความมืดมิดด้วยความสนอกสนใจ..
  ‘พี่หยุนนี่นะปวดหลัง’ถังเมิ่งไม่มีทางเชื่ออย่างเด็ดขาด!
  เกาเฉินเฉินเองก็ได้แต่ยิ้มหลังจากที่เหลือบมองครูประจำชั้นแล้ว เธอก็รีบใช้ข้อศอกกระทุ้งสีข้างของฉางหลิงพร้อมกับกระซิบว่า
  “หลิงหยุนเรียกเธอ..ยังไม่รีบไปอีก!”
  ฉางหลิงสูดลมหายใจเพื่อสงบสติอารมณ์แล้วรีบตอบกลับไปอย่างยากลำบาก “เขาพูดเล่นน่ะ.. ฉันไม่ไปหรอก เธอไปสิ!”
  เกาเฉินเฉินยิ้มมุมปากก่อนที่จะกระซิบบอกฉางหลิงว่า “ไม่ไปแล้วเธอจะเสียใจ! ฉันจะบอกอะไรให้.. หลายวันมานี้หลิงหยุนต้องเผชิญหน้าระหว่างความเป็นความตายหลายต่อหลายครั้ง ผ่านการต่อสู้มาครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคงจะเหนื่อยล้ามากจริงๆนั่นล่ะ..”
  ที่เกาเฉินเฉินอธิบายออกมาอย่างยืดยาวนั้นก็เพื่อจะบอกกับฉางหลิงว่าหลิงหยุนนั้นคงจะเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าอย่างมากจริงๆ
  “ถ้าเธอไม่ไปฉันไปเองนะ” เกาเฉินเฉินพูดพร้อมกับทำท่าจะลุกขึ้นยืน..
  ฉางหลิงที่หน้าแดงก่ำรีบคว้าแขนเกาเฉินเฉินไว้ก่อนจะลุกขึ้นพร้อมตอบกลับด้วยความเขินอาย “ฉันไปเองก็ได้..”
  พูดจบ..ฉางหลิงก็ลุกขึ้นเดินก้มหน้าไปอย่างอายๆ แล้วรีบวิ่งตามหลิงหยุนเข้าไปในห้องนอนทันที
  การที่ฉางหลิงทำเช่นนี้..เธอไม่ได้ต้องการที่จะแย่งหลิงหยุนมาจากเกาเฉินเฉิน แต่เธอทำเพราะเหตุผลสองข้อ..
  เหตุผลข้อแรกคือ..เธอคิดถึงหลิงหยุนมาก คิดถึงจากเบื้องลึกของหัวใจ เมื่อได้ยินว่าหลิงหยุนผ่านความเป็นความตายมาหลายครั้ง เธอจึงรู้ว่าหลิงหยุนนั้นเหนื่อยล้ามากจริงๆ
  เหตุผลข้อที่สอง..เมื่อคืนที่ฉางหลิงกับเกาเฉินเฉินได้มีโอกาสอยู่ด้วยกันตามลำพังนั้น ความเป็นเพื่อนสนิทก็กลับมาเหมือนเดิม ทั้งคู่ต่างก็เปิดใจบอกเล่าความรู้สึกของตนเองที่มีต่อหลิงหยุนให้อีกฝ่ายล่วงรู้ และหลังจากที่ทั้งคู่ได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกันแล้ว ต่างคนต่างก็รู้ว่าความสัมพันธ์ของอีกฝ่ายกับหลิงหยุนได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้นแล้ว..
  นอกจากนี้..ฉางหลิงยังได้รู้ว่าเกาเฉินเฉินกับหลิงหยุนอยู่ในห้องเพรสซิเดนท์สูทของโรงแรมโกลเดนท์เซ็นจูรี่เมื่อคืนก่อนหน้านี้ตามลำพังสองคนอีกด้วย
  ในบรรดาหญิงสาวทั้งสี่คนในห้องโดยสารนี้เหลียงเฟิงอี้ก็เป็นน้าของฉางหลิง กงเสี่ยวลู่ก็เป็นครูประจำชั้นของพวกเธอทั้งสองคน ส่วนเกาเฉินเฉินก็ยังต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย ในเมื่อตอนนี้หลิงหยุนต้องการ ‘การนวด’ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าแล้ว หากไม่เรียกฉางหลิงไปช่วยแล้ว จะให้เขาเรียกหาใครได้เล่า!
  และถึงแม้พอลที่นั่งอยู่ตรงนั้นอยากจะเสนอตัวช่วยนวดให้ แต่มันก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมาอย่างแน่นอน เพราะรู้ตัวดีว่าหากมันพูดออกไปเช่นนั้นจริงๆ คงจะถูกหลิงหยุนจับโยนออกนอกเครื่องบินอย่างแน่นอน!
  -ปิดประตูด้วย..-
  เมื่อเห็นฉางหลิงวิ่งตามเข้ามาในห้องแล้วหลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตสั่งให้ฉางหลิงปิดประตูห้อง ฉางหลิงตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจ..
  ฉางหลิงเดินบิดเอวเข้าไปปิดประตูห้องนอนอย่างว่าง่ายพร้อมกับล็อคประตูจากด้านในหัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้งระหว่างที่ร้องถามว่า..
  “หลิงหยุน..อย่าบอกนะว่านายต้องการจะ..”
  เดิมทีหลิงหยุนไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปจิงฉูในคืนนี้และได้แอบกระซิบบอกฉางหลิงให้อาบน้ำรอเขาอยู่ที่ห้อง ฉางหลิงเองก็เฝ้ารอว่าหลิงหยุนจะกลับมาอยู่กับเธอที่โรงแรม และมีคืนที่ไม่อาจลืมเลือนด้วยกันกับหลิงหยุน แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เมื่อหลิงหยุนต้องเตรียมการเพื่อกลับจิงฉูแทน
  ฉางหลิงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหลิงหยุนจะกล้าเรียกเธอให้ไปนวดต่อหน้าน้าเล็ก แล้วก็เพื่อนๆ!
  นี่ไม่ต่างจากการที่หลิงหยุนเรียกฉางหลิงเข้ามานอนด้วยหรอกหรือ
  แต่ความจริงแล้วฉางหลิงนั้นคิดมากเกินไป!
  เวลานี้หลิงหยุนใกล้จะเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วหากเขาบ่มเพาะเคียงคู่กับใครสักคนในเวลานี้ เขาจะต้องเข้าสู่ขั้นพลังชี่อย่างแน่นอน!
  และการที่หลิงหยุนเลือกที่จะไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ในเวลานี้ก็เพราะเกรงว่าจะเกิดบททดสอบจากสวรรค์ขึ้น!
  เพราะเมื่อครั้งที่อยู่บนเกาะเตียวหยูนั้นหลังจากที่เขาเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 ก็ได้เกิดบททดสอบจากสวรรค์ที่น่าสยดสยองขึ้นกับเขาเช่นกัน และบททดสอบนั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก จนหลิงหยุนต้องใช้ของวิเศษทั้งหมดที่มีเพื่อต้านทานพลังอสุนีบาตที่รุนแรงจากเมฆหลากสี จึงสามารถรอดกลับมาได้..
  เมื่อเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8และขั้นปรับร่างกาย-9 นั้น หลิงหยุนไม่ต้องเผชิญกับบททดสอบใดๆ แต่ครั้งนี้คือการเข้าสู่ขั้นพลังชี่ซึ่งไม่ใช่การข้ามผ่านระดับขั้นเล็กๆ แต่เป็นการข้ามเข้าสู่ขั้นใหญ่!
  ความจริงหลิงหยุนพอจะคาดเดาได้ว่าบททดสอบจากสวรรค์ชุดเล็กนั้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของด่านกลางในแต่ละขั้น ซึ่งในขั้นพลังชี่นี้ก็คือขั้นจตุพลังชี่ (ขั้นพลังชี่-4) นั่นเอง
  แต่จากประสบการณ์บนเกาะเตียวหยูทำให้หลิงหยุนไม่กล้าเสี่ยง เพราะบททดสอบจากสวรรค์ของเขานั้นค่อนข้างแปลกประหลาด..
  ดังนั้นแม้ว่าหลิงหยุนจะเรียกฉางหลิงมานวดจริง แต่ก็ไม่ได้ต้องการจะมีอะไรกับฉางหลิงบนเครื่องบินเช่นกัน..
  ฉางหลิงได้แต่ยืนหลับตาไม่กล้ามองกลับไปด้านหลังเธอยังคงยืนนิ่งหน้าแดง หายใจถี่ ตัวสั่นเทิ้ม..
  และจู่ๆฉางหลิงก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนทรงพลังที่โอบกอดเธอมาจากด้านหลัง..
  “บอกผมมาตามตรงว่าคิดถึงผมมั๊ย”
สูทของโรงแรมโกลเดนท์เซ็นจูรี่เมื่อคืนก่อนหน้านี้ตามลำพังสองคนอีกด้วย
  ในบรรดาหญิงสาวทั้งสี่คนในห้องโดยสารนี้เหลียงเฟิงอี้ก็เป็นน้าของฉางหลิง กงเสี่ยวลู่ก็เป็นครูประจำชั้นของพวกเธอทั้งสองคน ส่วนเกาเฉินเฉินก็ยังต้องฟื้นฟูสภาพร่างกาย ในเมื่อตอนนี้หลิงหยุนต้องการ ‘การนวด’ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าแล้ว หากไม่เรียกฉางหลิงไปช่วยแล้ว จะให้เขาเรียกหาใครได้เล่า!
  และถึงแม้พอลที่นั่งอยู่ตรงนั้นอยากจะเสนอตัวช่วยนวดให้ แต่มันก็ไม่กล้าที่จะพูดออกมาอย่างแน่นอน เพราะรู้ตัวดีว่าหากมันพูดออกไปเช่นนั้นจริงๆ คงจะถูกหลิงหยุนจับโยนออกนอกเครื่องบินอย่างแน่นอน!
  -ปิดประตูด้วย..-
  เมื่อเห็นฉางหลิงวิ่งตามเข้ามาในห้องแล้วหลิงหยุนก็ส่งกระแสจิตสั่งให้ฉางหลิงปิดประตูห้อง ฉางหลิงตื่นเต้นจนแทบลืมหายใจ..
  ฉางหลิงเดินบิดเอวเข้าไปปิดประตูห้องนอนอย่างว่าง่ายพร้อมกับล็อคประตูจากด้านในหัวใจของเธอเต้นแรงอีกครั้งระหว่างที่ร้องถามว่า..
  “หลิงหยุน..อย่าบอกนะว่านายต้องการจะ..”
  เดิมทีหลิงหยุนไม่ได้วางแผนที่จะกลับไปจิงฉูในคืนนี้และได้แอบกระซิบบอกฉางหลิงให้อาบน้ำรอเขาอยู่ที่ห้อง ฉางหลิงเองก็เฝ้ารอว่าหลิงหยุนจะกลับมาอยู่กับเธอที่โรงแรม และมีคืนที่ไม่อาจลืมเลือนด้วยกันกับหลิงหยุน แต่แล้วเธอก็ต้องผิดหวัง เมื่อหลิงหยุนต้องเตรียมการเพื่อกลับจิงฉูแทน
  ฉางหลิงคิดไม่ถึงว่าจู่ๆหลิงหยุนจะกล้าเรียกเธอให้ไปนวดต่อหน้าน้าเล็ก แล้วก็เพื่อนๆ!
  นี่ไม่ต่างจากการที่หลิงหยุนเรียกฉางหลิงเข้ามานอนด้วยหรอกหรือ
  แต่ความจริงแล้วฉางหลิงนั้นคิดมากเกินไป!
  เวลานี้หลิงหยุนใกล้จะเข้าสู่ขั้นพลังชี่แล้วหากเขาบ่มเพาะเคียงคู่กับใครสักคนในเวลานี้ เขาจะต้องเข้าสู่ขั้นพลังชี่อย่างแน่นอน!
  และการที่หลิงหยุนเลือกที่จะไม่เข้าสู่ขั้นพลังชี่ในเวลานี้ก็เพราะเกรงว่าจะเกิดบททดสอบจากสวรรค์ขึ้น!
  เพราะเมื่อครั้งที่อยู่บนเกาะเตียวหยูนั้นหลังจากที่เขาเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-7 ก็ได้เกิดบททดสอบจากสวรรค์ที่น่าสยดสยองขึ้นกับเขาเช่นกัน และบททดสอบนั้นก็น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก จนหลิงหยุนต้องใช้ของวิเศษทั้งหมดที่มีเพื่อต้านทานพลังอสุนีบาตที่รุนแรงจากเมฆหลากสี จึงสามารถรอดกลับมาได้..
  เมื่อเข้าสู่ขั้นปรับร่างกาย-8และขั้นปรับร่างกาย-9 นั้น หลิงหยุนไม่ต้องเผชิญกับบททดสอบใดๆ แต่ครั้งนี้คือการเข้าสู่ขั้นพลังชี่ซึ่งไม่ใช่การข้ามผ่านระดับขั้นเล็กๆ แต่เป็นการข้ามเข้าสู่ขั้นใหญ่!
  ความจริงหลิงหยุนพอจะคาดเดาได้ว่าบททดสอบจากสวรรค์ชุดเล็กนั้นน่าจะเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นของด่านกลางในแต่ละขั้น ซึ่งในขั้นพลังชี่นี้ก็คือขั้นจตุพลังชี่ (ขั้นพลังชี่-4) นั่นเอง
  แต่จากประสบการณ์บนเกาะเตียวหยูทำให้หลิงหยุนไม่กล้าเสี่ยง เพราะบททดสอบจากสวรรค์ของเขานั้นค่อนข้างแปลกประหลาด..
  ดังนั้นแม้ว่าหลิงหยุนจะเรียกฉางหลิงมานวดจริง แต่ก็ไม่ได้ต้องการจะมีอะไรกับฉางหลิงบนเครื่องบินเช่นกัน..
  ฉางหลิงได้แต่ยืนหลับตาไม่กล้ามองกลับไปด้านหลังเธอยังคงยืนนิ่งหน้าแดง หายใจถี่ ตัวสั่นเทิ้ม..
  และจู่ๆฉางหลิงก็สัมผัสได้ถึงอ้อมแขนทรงพลังที่โอบกอดเธอมาจากด้านหลัง..
  “บอกผมมาตามตรงว่าคิดถึงผมมั๊ย”
บทที่ 820 : แวมไพร์กับผู้บ่มเพาะกำลัง!
  ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิดในระดับความสูงกว่าหนึ่งหมื่นเมตรนี้ทำให้เห็นดวงดาวนับพันล้านดวงเปล่งประกายระยิบระยับอยู่เต็มท้องฟ้าไปหมด..
  ถังเมิ่งลิ้มรสไวน์แดงที่พอลรินให้ส่วนดวงตาก็จับจ้องอยู่ที่ดวงดาวพร่างพราวท่ามกลางความมืดมิดด้วยความรู้สึกเบื่อหน่าย..
  “เฮ้อ..อากาศด้านล่างในเมืองจิงฉูเป็นยังไงบ้างนะ!”
  เวลานี้เครื่องบินกำลังบินอยู่ท่ามกลางเมฆหนาแน่นอากาศด้านบนนี้จึงมีอุณหภูมิต่ำกว่าอากาศบนภาคพื้นดิน..
  เวลาผ่านไปครู่ใหญ่..ใบหน้างดงามของเกาเฉินเฉินเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำขึ้นเรื่อยๆ เธอเม้มริมฝีปากแน่นพร้อมกับแอบมองไปทางประตูห้องนอนด้วยความรุ้สึกกระวนกระวายใจอยู่เรื่อยๆ
  กงเสี่ยวลู่ดูเหมือนจะสงบนิ่งที่สุดหลังจากที่หลิงหยุนกับฉางหลิงหายเข้าไปในห้องนอนด้วยกันนานกว่ายี่สิบนาทีเธอหยิบนิตยสารบนโต๊ะขึ้นมาอ่านเงียบๆ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น..
  ส่วนเหลียงเฟิงอี้ก็ดูเหมือนจะมีความสุขมากเธอดื่มไวน์แดงเข้าไปมากมายหลายแก้ว และเริ่มชวนพอลคุยเป็นภาษาอังกฤษ ทั้งคู่พูดคุยเรื่องสัพเพเหระระหว่างยุโรปกับอเมริกา..
  แม้พอลจะเป็นแวมไพร์ที่แข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถต่อสู้กับศัตรูในเวลากลางวันได้ อีกทั้งยังต้องคอยดื่มเลือดเพื่อหล่อเลี้ยงชีวิตอีกด้วย
  แต่นั่นก็ทำให้แวมไพร์ทุกตนมีชีวิตที่ยืนยาวพวกมันจึงมีเวลาเหลือเฟือที่จะสนุกกับชีวิต และเดินทางไปทุกหนทุกแห่งทั่วโลกที่พวกมันอยากจะไป..
  อำนาจและเงินทองไม่ใช่สิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่มีชีวิตนิรันดร์เช่นแวมไพร์ แต่กลับเป็นสิ่งไร้ค่าด้วยซ้ำไป!
  สิ่งที่เหล่าแวมไพร์ปรารถนาคือการไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในความมืดและความรู้สึกหิวโหยอาหาร มากกว่าที่จะใช้ชีวิตอยู่เพียงแค่โลงศพในห้องใต้ดิน
  เหล่าแวมไพร์กับผู้บ่มเพาะพลังนั้นก็มีความคล้ายคลึงกันซึ่งเมื่อฝึกมาถึงจุดหนึ่ง จะมีชีวิตที่ยืนยาว ไร้ซึ่งตัณหา และมีพลังเหนือธรรมชาติเช่นกัน!
  แต่หากจะเปรียบเทียบระหว่างแวมไพร์กับผู้บ่มเพาะพลังแล้วความสามารถของเหล่าแวมไพร์นั้นจะพัฒนาเพิ่มขึ้นตามอายุที่ยืนยาว พวกมันไม่สามารถฝึกฝนพัฒนาขั้นได้ดังเช่นผู้บ่มเพาะพลัง
  และนี่คือเหตุผลที่หลิงหยุนไม่เห็นแวมไพร์อยู่ในสายตาและค่อนข้างดูถูกเหล่าแวมไพร์ด้วยซ้ำไป!
  นอกจากจะไม่สามารถสู้แสงสว่างได้แล้วยังต้องคอยกระหายเลือด อีกทั้งยังไม่สามารถฝึกฝนพัฒนาขั้นด้วยตนเองได้เช่นนี้ จะสามารถเทียบกับหลิงหยุนได้อย่างไรกัน!
  พอลเป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่ใบหน้าหล่อเหลา สุภาพ และสง่างาม เขาเดินทางไปที่ต่างๆมามากมายหลายที่ และมีความรอบรู้ในเรื่องต่างๆมากมาย ไม่ว่าเหลียงเฟิงอี้จะคุยเรื่องอะไร พอลก็สามารถพูดคุยด้วยได้ทุกเรื่อง และมักเป็นเรื่องที่คนธรรมดายากที่จะพบเห็นได้ ทำให้เหลียงเฟิงอี้ซึ่งจบจากอังกฤษถึงกับทึ่งในตัวพอลอย่างมาก
  แล้วเพราะอะไรคนอย่างพอลจึงต้องมาเป็นบริวารของหลิงหยุนและยังเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีมากอีกด้วย!
  หลิงหยุนเพิ่งจะมาถึงปักกิ่งได้ไม่กี่วันเองไม่ใช่หรือ!
  ‘ไว้มีโอกาสได้อยู่ตามลำพังกับเด็กนั่นเมื่อไหร่คงจะต้องถามดูหน่อย ดูเหมือนจะมีความลับมากมายเหลือเกิน..”
  เหลียงเฟิงอี้คุยกับพอลแต่กลับครุ่นคิดเรื่องของหลิงหยุนอยู่ในใจ..
  หลังจากผ่านไปราวยี่สิบนาที..หลิงหยุนที่อยู่ในสภาพสวมเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็เดินยิ้มกริ่มออกมาจากห้องนอน สีหน้าของเขาบ่งบอกว่ารู้สึกสบาย และมีความสุขอย่างมาก
  “อีกนานมั๊ยกว่าเครื่องจะลงจอด”
  ทันทีที่หลิงหยุนกลับไปนั่งประจำที่เขาก็หันไปถามถังเมิ่ง..
  “น่าจะอีกราวสิบนาทีก็จะลงจอดแล้วล่ะ..”
  ในที่สุดก็มีคนพูดคุยกับถังเมิ่งแล้วหลังจากที่เขาต้องทนฟังเหลียงเฟิงอี้กับพอลพูดคุยกันด้วยภาษาอังกฤษด้วยความรู้สึกเบื่อหน่ายมาเป็นเวลานาน..
  ถังเมิ่งจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตารู้ทันพร้อมกับถามขึ้นอย่างล้อเลียน..
  “พี่หยุน..พี่กับฉางหลิงอยู่ในห้องสองต่อสองกันตั้งนาน พวกพี่สองคนทำอะไรกันเหรอ!”
  หลังจากที่หลิงหยุนถามถังเมิ่งไปแล้วเขาก็ไม่สนใจกับหนุ่มช่างนินทาอย่างถังเมิ่งอีกเลย แต่หันไปพูดกับเกาเฉินเฉินแทน
  “เฉินเฉิน..ฉางหลิงนวดให้ผมอยู่นาน ตอนนี้คงจะเหนื่อยมาก คุณช่วยไปดูเธอที่ห้องนอนหน่อยสิ!”
  หลิงหยุนจงใจไม่สื่อสารผ่านทางกระแสจิตแต่กลับพูดด้วยเสียงที่ดังฟังชัด..
  “อืมม..”
  เกาเฉินเฉินไม่กล้ามองหน้าหลิงหยุนแต่ก็ลุกขึ้นยืน แล้วรีบเดินตรงไปยังห้องนอนทันที..
  ในใจได้แต่คิดว่า‘ฉางหลิงนวดให้นายตลอดเวลางั้นรึ เชอะ.. ใครจะเชื่อว่าแค่นวดกันแน่!’
  เกาเฉินเฉินเดินไปถึงหน้าห้องนอนแล้วค่อยๆผลักประตูเดินเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เธอสำรวจคือผ้าปูที่นอนที่ฉางหลิงนอนอยู่ แต่กลับไม่พบร่องรอยของคราบเลือดบนผ้าปูที่นอนเลยแม้แต่น้อย เกาเฉินเฉินถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยควาโล่งอก..
  เธอมั่นใจว่าฉางหลิงเพื่อนสนิทของเธอนั้นยังคงบริสุทธิ์ผุดผ่อง..
  “พระเจ้า!นี่หลิงหยุนทำอะไรกับเธอกันแน่! เธอถึงอยู่ในสภาพนี้!”
  เกาเฉินฉินได้แต่รีบวิ่งกลับไปล็อคประตูห้องแล้วค่อยวิ่งกลับไปดูฉางหลิง
  “เฉินเฉิน..หลิงหยุนช่าง.. ครั้งหน้า.. ครั้งหน้าเธอต้องช่วยฉันด้วยนะ..”
  ฉางหลิงระล่ำระลักบอกกับเกาเฉินเฉินด้วยน้ำเสียงที่เหนื่อยล้าอย่างแสนสาหัส
  “จะบ้าเหรอ!เธอพูดบ้าอะไรกันฉางหลิง! ใครจะทำอะไรแบบนี้พร้อมกับเธอเล่า..”
  แก้มของเกาเฉินเฉินแดงก่ำขณะที่เอื้อมมือไปช่วยเก็บเสื้อผ้าของฉางหลิงที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นพร้อมกับบ่นพึมพำ
  “เธอนี่โง่จริงๆปล่อยให้หลิงหยุนรังแกแบบนี้ได้ยังไงกัน!”
  “ในเมื่อคนอย่างหลิงหยุนต้องการเธอยังจะรออะไรอีกล่ะ! แต่มันก็เป็นความรู้สึกที่ตื่นเต้นจริงๆ!”
  ฉางหลิงสูดลมหายใจเข้าไปลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อฟื้นเรี่ยวแรงทั้งหมดของตนเอง และพยายามช่วยพูดแก้ตัวให้หลิงหยุน
  “นี่อย่าพูดเสียงดังไป..ดูสภาพเธอตอนนี้สิ! โชคดีนะที่เป็นฉันเข้ามา.. นี่ถ้าเป็นครูกงหรือน้าเล็กเข้ามาแล้วล่ะก็ คงต้องเป็นเรื่องใหญ่โตแน่!”
  “รีบแต่งตัวเร็วเข้า..เครื่องบินกำลังจะลงจอดแล้ว!”
  ฉางหลิงพูดอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง“ฉันลุกขึ้นนั่งไม่ไหวเฉินเฉิน เธอช่วยฉันหน่อยสิ!”
  หลังจากช่วยฉางหลิงสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วทั้งคู่ก็นั่งเคียงข้างกันอยู่บนเตียงพร้อมกับกระซิบกระซาบกันเสียงเบา..
  “นี่บอกฉันมาตามตรงนะว่าเมื่อครู่เธอกับหลิงหยุนทำอะไรกันถ้ากล้าโกหกฉันแม้แต่นิดเดียว ฉันจะไม่ช่วยเธอ แล้วก็เดินออกไปจากห้องนี้ทันที..”
  “ก็..ทำทุกอย่างที่เขาต้องการล่ะ เว้นเพียงแค่เรื่องนั้น!”
  แม้ว่าฉางหลิงจะเป็นเด็กสาวใจกล้าแต่นี่เป็นครั้งแรกที่หลิงหยุนทำอะไรเกินเลยมากมายเช่นนี้กับเธอ และหลังจากแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เธอก็เริ่มรู้สึกเขินอาย..
  เกาเฉินเฉินมองด้วยสีหน้าแปลกใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า“อ่อ.. น่าจะเกี่ยวกับการฝึกวิชาอะไรบางอย่างของเขามั๊ง!”
  ฉางหลิงตอบเอียงอาย“ใช่.. หลิงหยุนบอกว่าเกี่ยวกับการฝึกที่ใกล้จะเข้าสู่ขั้นใหญ่อะไรนี่ล่ะ!”
  เกาเฉินเฉินกัดริมฝีปากแน่นก่อนจะพึมพำออกมาว่า “เพียงแค่นี้กำลังภายในของเขาก็สูงส่งมากแล้ว ยังต้องฝึกอะไรกันอีกนะ!”
  ฉางหลิงถามกลับยิ้มๆ“ทำไมเหรอเฉินเฉิน! หรือว่าเธอรีบร้อนที่จะมีอะไรกับหลิงหยุนงั้นเหรอ ?!”
  เกาเฉินเฉินทำตาเขียวใส่ฉางหลิงพร้อมกับเหน็บว่า“นี่.. ใครกันแน่ที่รีบร้อน! เมื่อครู่พอหลิงหยุนเรียก ก็รีบวิ่งตามไปทันทีเชียว..”
  เครื่องบินกำลังจะเริ่มลงจอดแล้ว..
  ฉางหลิงร้องถามเกาเฉินเฉินว่า“เฉินเฉิน.. ตอนนี้เขากำลังทำอะไรอยู่”
  เกาเฉินเฉินทำเสียงขึ้นจมูก“หลิงหยุนน่ะเหรอ เขาก็สั่งให้ฉันมาดูเธอที่ห้องน่ะสิ! คงจะให้ฉันมาช่วยใส่เสื้อผ้าให้เธอ..”
  ฉางหลิงถามอายๆ“ทำไม เธอหึงฉันเหรอ ?!”
  เกาเฉินเฉินยิ้มดวงตาเป็นประกายพร้อมตอบกลับไปว่า“ใช่ฉันหึง! ฉันยอมให้เธออยู่กับหลิงหยุนวันนี้ เธอจะตอบแทนฉันยังไง!”
  และไม่รอให้ฉางหลิงอ้าปากพูดเกาเฉินเฉินก็พูดต่อทันที “นี่.. ฉันล้อเล่นน่ะ! เอาล่ะก่อนที่เครื่องจะลงจอด ฉันว่าเธอควรจะอาบน้ำอาบท่าหน่อย!”
  ……….
  สิบนาทีต่อมา..เครื่องบินก็ร่อนลงจอดที่สนามบินจิงฉู
  เมื่อเครื่องบินลงจอดเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ลุกขึ้นเดินตรงไปที่ห้องยิม..
  “เยี่ยม..”
  เฉินเซินไม่ตายอย่างที่คาดไว้จริงๆและเฉินเจี้ยนกุ่ยก็จัดการดูดเลือดของมัน และจัดการให้มันเป็นแวมไพร์ไปเรียบร้อยแล้ว
  หลิงหยุนถ่ายเทลมปราณผ่านนิ้วไปสกัดจุดอีกหลายจุดของเฉินเจี้ยนกุ่ยไว้เพื่อไม่ให้มันสามารถขยับเขยื้อนได้
  “เจสเตอร์..ไปจัดการเอาตัวพวกมันลงจากเครื่อง!”