กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 898
เขาปวดศีรษะจนแทบระเบิด เจ็บปวดเสียจนร่างทั้งร่างกระตุกโดยตรง
ร่างกายเสียเลือดมากเกินไปแม้ว่าจะมีกำลังภายในของกู้ชูหน่วนทว่าทุกครั้งที่เขากล่าวประโยคหนึ่งก็แทบจะใช้พละกำลังทั้งหมดที่มีอยู่ ยิ่งกว่านั้นสมองของเขาราวกับจะระเบิดออกมาเช่นนั้น
“เจ้าอดทนเอาไว้ กินยาเม็ดนี้ซะก่อนซักครู่ข้าจะถ่ายเลือดให้กับเจ้า”
น้ำตาไหลรินลงมาจากขอบตาของหลินซือหย่วน
“ข้าไม่ไหวแล้ว……อย่า……อย่าได้เสียแรงเปล่าเลย……”
“เจ้าปวดศีรษะมากเลยหรือ?”
กู้ชูหน่วนตรวจสอบดูและก็ไม่เห็นว่าสมองของเขามีปัญหาอันใด
“เจ็บ……เจ็บยิ่งนัก……พวกเขา……พวกเขาไม่ได้ตายเพราะเลือดถูกดูดจนแห้ง แต่เป็น……แต่เป็นการกุมศีรษะด้วยความเจ็บปวดจนตายทั้งที่ยังเป็นๆ……หัวของข้า……ช่างเจ็บปวดยิ่งนัก……”
กู้ชูหน่วนก็ได้ตรวจสอบอีกครั้งแต่ก็ตรวจไม่พบสิ่งใดเลย
“แคร๊ก……”
จู่ๆสมองของหลินซือหย่วนได้แยกออกเป็นสองส่วน
ดวงตาทั้งคู่ของเขาเบิกกว้าง นั่นเป็นการแสดงออกถึงความทุกข์ทรมานอันเจ็บปวดมากมายก่อนสิ้นใจที่ได้เผชิญ
ไม่ว่ากู้ชูหน่วนจะกล้าหาญเพียงใดอดไม่ได้ที่จะตกใจกลัวจนเนื้อตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ผู้หนึ่งในตอนนี้ได้เสียชีวิตอยู่ตรงหน้านางภายในชั่วพริบตา
สมองของเขาก็แยกออกเป็นสองส่วนอย่างแปลกประหลาด
ที่น่าแปลกคือในสมองของเขาไม่มีเลือดและไม่มีไข
ไขสมองได้สูญหายว่างเปล่าตั้งนานแล้ว
เมื่อมองดูดวงตาเบิกกว้างที่เจ็บปวดของเขา ในใจของกู้ชูหน่วนขึ้นลงไม่แน่นิ่งโดยไม่สามารถบอกได้ว่าลำบากใจเพียงใด
สิ่งแรกที่นางเห็นเมื่อฟื้นขึ้นมาก็คือหลินซือหย่วน
แม้ว่ามิตรภาพกับหลินซือหย่วนจะไม่ได้ลึกซึ้งเท่ากับของเซี่ยวอวี่เซวียน แต่ก็เป็นหนึ่งในสหายจำนวนไม่กี่คนของนาง
ก่อนหน้านี้นางก็เคยคิดที่จะช่วยเขาเพิ่มพูนการบำเพ็ญเพียรเพื่อใที่เขานั้นจะได้ไม่ต้องถูกคนรังแกอีก
ส่วนในตอนนี้……
เขาได้เสียชีวิตแล้ว
แล้วยังเป็นความตายอันน่าเศร้าสลดเช่นนี้อีก
เขายังไม่ทันได้ฝากฝังถ้อยคำประโยคหนึ่ง
กู้ชูหน่วนยื่นมือออกไปปิดตาของเขาลงจากนั้นก็ค่อยๆวางลงบนพื้นแล้วก็ลุกขึ้นไปดูชายหนุ่มอีกสิบกว่าคนที่สิ้นลมอย่างอนาถ
ชายหนุ่มเหล่านี้ไม่มีข้อยกเว้น ทุกๆคนสมองแยกออกเป็นสองส่วนเฉกเช่นเดียวกับหลินซือหย่วนและในสมองไม่มีไขสมองใดอยู่เลย
คำพูดของหลินซือหย่วนยังคงดังกึกก้องอยู่ในใจของกู้ชูหน่วนอย่างต่อเนื่อง
การชุมนุมควบคุมสัตว์ร้ายเป็นแผนร้ายแผนการหนึ่ง
ชายหนุ่มทุกคนที่เข้าร่วมการชุมนุมควบคุมสัตว์ร้ายล้วนเป็นเป้าหมายการตามล่าของจักรพรรดินี
งั้นเซี่ยวอวี่เซวียนหล่ะ?
เป็นเวลาหลายวันแล้วนางก็ยังคงหาเซี่ยวอวี่เซวียนไม่พบเลย เซี่ยวอวี่เซวียนจะเหมือนกับพวกเขาถูกทรราชหญิงสังหารไปแล้วหรือไม่นะ?
เมื่อคิดว่าเซี่ยวอวี่เซวียนอาจเป็นเช่นเดียวกับหลินซือหย่วน ในใจของกู้ชูหน่วนก็อดที่จะตื่นตระหนกขึ้นมาไม่ได้
ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ นางสูญเสียญาติมิตรไปมากเกินไปแล้ว
ไม่ว่าอย่างไรนางก็ไม่สามารถสูญเสียเซี่ยวอวี่เซวียนได้อีกแล้ว
ในระยะไกลขันทีได้นำองครักษ์มาด้วยความรีบร้อน คนยังมาไม่ถึงเสียงก็ได้ดังมาถึงก่อนแล้ว
“อยู่ตรงนั้น ตรงนั้นมีผีอยู่……ร้องห่มร้องไห้อย่างน่าอนาถนัก”
“เอาหล่ะ ในวังหลวงกลิ่นไอหนักหน่วงจะมีภูตผีได้อย่างไร หากว่ายังกล้าตะโกนร้องระวังข้าจะรายงานผู้ดูแลให้หมายเอาชีวิตเจ้านะ”
“มีจริงๆ ไม่เชื่อเจ้าก็ฟังดูดีๆ”
“เห็นได้ชัดว่าไม่มีสิ่งใดเลย”
“เมื่อครู่มีนี่นาข้ายังได้ยินอยู่เลย พวกเสี่ยวเซี่ยนจื่อก็ไม่ได้ยินไม่เชื่อท่านก็ถามพวกเขาดู”
“……”
กู้ชูหน่วนเหลือบมองหลินซือหย่วนอย่างอาลัยอาวรณ์แล้วร่างกายก็จากไปราวกับควัน
เมื่อมาถึงสำนักหมอหลวง ขันทีน้อยที่นำทางเมื่อครู่นี้วิตกกังวลราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนๆ เมื่อเห็นนางกลับมาก็อดไม่ได้ที่จะวิ่งมาอย่างยินดี
“ท่านหมอจินท่านไปที่ใดมา ทำให้ข้าน้อยตกใจกลัวแทบตาย”
“วังหลวงใหญ่โตเกินไปหลงทางหน่ะ ขออภัยด้วย”
“ไม่เป็นไรไม่เป็นไร เป็นข้าน้อยที่ละเลยในหน้าที่ หากไม่ใช่เพราะข้าน้อย……ท่านหมอจินก็คงจะไม่หลงทาง ท่านหมอจินข้าน้อยรู้ว่าผิดไปแล้วท่านอย่าได้บอกใต้เท้าผู้ดูแลเลยนะ ข้าน้อยรับประกันว่าต่อไปจะไม่กินของผิดสำแดงอีก”
“คนนั้นปวดสามประการอยู่แล้ว นี่เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ข้าไม่รู้สึกแปลกใจและยิ่งจะไม่บอกกับใต้เท้าผู้ดูแลด้วยเจ้าวางใจเถอะ”
“ขอบคุณท่านหมอจิน ท่านเป็นคนดีผู้หนึ่งจริงๆ”
กู้ชูหน่วนกลับถึงที่พักในสำนักหมอหลวง
ที่นี่เงียบสงบไร้ซึ่งคนรบกวน
แต่ในใจของเขากลับไม่สามารถเงียบสงบลงได้ เพียงแค่หลับตาลงก็เป็นฉากการตายอันน่าอนาถของหลินซือหย่วน
นางมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบจักรพรรดินีอีก
ดูว่าเซี่ยวอวี่เซวียนได้ตกอยู่ในกำมือของนางจริงๆหรือไม่
และดูว่านางกำลังฝึกฝนวิชามารอันใดกันแน่?
“ตุบๆๆ……”
ยังไม่ทันที่นางจะออกจากประตูก็ได้มีขันทีเข้ามาส่งข้อความ
“ฝ่าบาททรงมีรับสั่งเชิญท่านหมอจินไปพบที่ตำหนักเฉินหยวน”
“เกล้ากระหม่อมน้อมรับพระบัญชา”
ระหว่างทางกู้ชูหน่วนเห็นผู้อาวุโสบางส่วนของสี่ตระกูลใหญ่รอด้วยความกังวลใจอยู่ที่ศาลาชิงเฟิงในอุทยานอวี้ฮวา
พวกเขามองไปทางตำแหน่งของตำหนักเฉินหยวนอย่างประหม่าเป็นครั้งคราว
บางครั้งก็เดินไปมาอย่างร้อนรน เดินกลับไปกลับมา
ต้องการไปตำหนักเฉินหยวนจำต้องผ่านอุทยานอวี้ฮวา
คนของสี่ตระกูลใหญ่เห็นพวกเขาแต่ละคนได้ล้อมเข้ามาแล้วกล่าวอย่างวิตกกังวล
“ท่านกงกง ไม่รู้ว่าฝ่าบาทได้ทรงบอกหรือไม่ว่าจะทรงเรียกพวกเราเมื่อใด?”
“ตอนนี้ยังไม่มี รบกวนทุกท่านรออีกครู่หนึ่ง”
“รอก่อน พวกเรารอมานานเพียงใดแล้ว นี่ฝ่าบาทไม่ทรงยอมพบพวกเรากระมัง” ไป๋หลี่เฉิงเป็นคนแรกที่ทนไม่ไหว ในคำพูดก็มีความโกรธเพิ่มมากขึ้นบางส่วน
“บังอาจ ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจจะมีเวลามากมายมาพบพวกท่านที่ใดกัน ให้พวกท่านรอก็รอเมื่อถึงเวลาเรียกให้ท่านเข้าเฝ้าก็จะเรียกพวกท่านเป็นธรรมดา”
ไป๋ลี่เฉิงโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ดันอยู่ในวังเขาโกรธก็ไม่สามารถระบายออกมาได้
ฝ่าบาททรงหมกมุ่นอยู่กับความรักความใคร่ตลอดทั้งวัน นางไม่ได้เข้าประชุมขุนนางมานานเท่าใดแล้ว?
ยุ่งราชกิจอันใดกัน เห็นชัดว่าไม่ต้องการทรงเรียกให้พวกเราเข้าเฝ้า
ได้ผ่านพ้นไปเป็นเวลาหลายวันมากแล้ว ทุกวันก็มีขันทียกศพออกมา
หากว่าไม่รีบเข้าเฝ้าจักรพรรดินีให้เร็วเกรงว่าหลานชายแท้ๆของเขาจะถูกจักรพรรดินีทรมานจนตายทั้งที่เป็นๆเสียแล้ว
ตั้งแต่สิ้นสุดการชุมนุมควบคุมสัตว์ร้าย จักรพรรดินีได้ขอสาวกชั้นยอดของตระกูลไป๋หลี่เข้าวังครั้งแล้วครั้งเล่าซึ่งก็ไม่รู้ว่านางต้องการทำสิ่งใดกันแน่
ไม่ ไม่เพียงแต่สาวกชั้นเลิศของตระกูลไป๋หลี่ แต่น่าจะกล่าวว่าสาวกชั้นยอดของแต่ละนิกายใหญ่ๆได้ถูกนำตัวไปหมดแล้ว
ได้มีข่าวแพร่มาว่าผู้คนที่ถูกนำตัวเข้าวังมาเหล่านั้น จำนวนมากได้ถูกจักรพรรดินีเล่นสำราญจนเสียชีวิตไปหมดแล้ว
เขามีหลานชายแท้ๆเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยให้หลานชายของเขาเกิดเรื่องได้
ซั่งกวนชิงก็เป็นกังวลมากมายเช่นเดียวกัน เขาหยิบทองคำแท่งอันใหญ่ออกมาแล้วส่งมอบให้กับกงกง กดบังคับอารมณ์และสีหน้าอันยินดีแล้วกล่าวว่า
“ท่านกงกง ฝ่าบาททรงยุ่งอยู่กับราชกิจบ้านเมืองพวกเราค่อยๆรอก็พอ เพียงแต่ข้าขอถามท่านกงกงหน่อยได้หรือไม่ว่าซั่งกวนหมิงหลางเป็นอย่างไรบ้าง? เขาเป็นลูกชายเอกของตระกูลซั่งกวนของเราและเป็นความหวังในภายภาคหน้าของพวกเรา ผู้นำตระกูลของเราเป็นกังวลยิ่งนัก”
ได้รับทองคำแล้วท่าทีของกงกงก็ดีขึ้นบ้างเล็กน้อย
เขาเก็บมันไว้อย่างไร้ร่องรอยแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณชายซั่งกวนสบายดี ฝ่าบาทยังไม่ได้ทรงรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า แต่ว่าช่วงนี้ฝ่าบาททรงพระสำราญไม่แน่ว่าวันใดก็จะทรงรับสั่งให้คุณชายซั่งกวนเข้าเฝ้าเสียแล้ว”
ประโยคหนึ่งทำให้ซั่งกวนชิงตกใจจนทนไม่อยู่
“ท่านกงกงท่านช่วยข้าหน่อยได้หรือไม่” เขาหยิบทองคำอีกสองแท่งออกมา
กงกงชำเลืองมองทองคำแต่ไม่ได้รับไว้ เพียงแค่กล่าวคำพูดอันคลุมเครือไม่ชัดเจนประโยคหนึ่ง
“หากว่าฝ่าบาททรงรับสั่งให้คุณชายซั่งกวนเข้าเฝ้าจริงๆเช่นนั้นก็เป็นบุญของคุณชายซั่งกวน ส่วนฝ่าบาทจะทรงรับสั่งใฟ้เขาเข้าเฝ้าหรือไม่ อันนี้บ่าวไม่สามารถตัดสินใจได้”
“ท่านกงกง……ขอร้องท่านหล่ะ ได้โปรดช่วยข้าด้วย”
ไม่ว่ากงกงจะยินยอมหรือไม่ซั่งกวนชิงก็ยัดทองคำไว้ในมือของกงกง
กงกงเห็นเช่นนี้ก็เก็บเอาไว้ แต่คำพูดที่กล่าวออกมากลับไม่เป็นที่น่าพอใจ
“กล่าวตามจริงฝ่าบาททรงสนพระทัยในตัวคุณชายซั่งกวนยิ่งนักโดยที่เตรียมว่าคืนนี้หรือคืนพรุ่งนี้จะรับสั่งให้คุณชายซั่งกวนเข้าเฝ้า ที่บ่าวพูดได้ก็มีเพียงเท่านี้แล้ว บ่าวเป็นผู้ที่ไม่มีผู้ใดให้ความสำคัญและก็ไม่สามารถกระทำสิ่งใดได้
คำพูดหนึ่งประโยคทำให้ซั่งกวนหมิงหลางราวถูกตัดสินประหารชีวิต
ซั่งกวนชิงเป็นกังวล
ไม่ว่าเขาจะติดสินบนท่านกงกงอย่างไรท่านกงกงก็ไม่หวั่นไหว
ผู้คนอื่นๆเห็นเข้าต่างก็ใช้เงินติดสินบนกัน ท่านกงกงนั้นอยากได้ยิ่งนักแต่ด้วยกู้ชูหน่วนอยู่ที่นี่จึงกล่าวเพียงหนึ่งประโยคว่า “คืนนี้ยามจื่อบ่าวเข้าเวรอยู่ที่ตำหนักหานฉี”
หมายเหตุ
ปวดสามประการ หมายถึง ธรรมชาติสามสิ่งของมนุษย์ ปวดหนัก ปวดเบา ผายลม