Chapter 59 หินวิญญาณ 8000 ก้อน ก้มหน้ารับกรรม

ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything

Chapter 59: หินวิญญาณ 8,000 ก้อน ก้มหน้ารับกรรม

 

“เลวระยำ!”

 

พอได้ฟังคำพูดของผู้อาวุโส เซี่ยวอู่โยก็อยากจะเขวี้ยงชามที่เขากำลังถืออยู่โดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม เขาหยุดอย่างกระทันหันในตอนที่นึกขึ้นได้ว่ามันเป็นชามของเฉินเฉิน

 

“อาจารย์ ท่านจะเขวี้ยงมันก็ได้นะครับ ข้าไม่อะไรหรอก…” เฉินเฉินพูดอย่างระมัดระวังในขณะที่เขารออยู่ข้างอาจารย์ของเขา

 

ครู่ต่อมา เซี่ยวอู่โยวก็โยนชามให้เฉินเฉินก่อนที่จะหันไปมองรูปปั้นบรรพบุรุษที่อยู่ในตำหนัก

 

ตำหนักตกอยู่ในความเงียบในทันที และบรรยากาศก็ตึงเครียด

 

หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดเซี่ยวอู่โยวก็พึมพำ “พระราชาองค์ใหม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์และสำนักอู๋ซินก็ไม่สนใจ 35 สำนักอื่นเลย ดูเหมือนข่าวลือจะเป็นความจริง สำนักอู๋ซินอยากควบรวมและปกครอง 36 สำนักเพื่อก่อตั้งอาณาจักรขึ้นมาเหมือนกับรัฐโจว”

 

ผู้อาวุโสสำนักภายนอกที่อยู่ตรงหน้าเขาปาดเหงื่อบนหน้าผากในตอนที่ได้ยินคำพูดนี้

 

มี 37 ขุมอำนาจในรัฐจินและสำนักอู๋ซินก็แข็งแกร่งที่สุดในนั้น ตามมาด้วยราชวงศ์ของรัฐจิน ในอดีต ราชวงศ์ของรัฐจินเคยปกครอง 35 สำนักอื่นและแทบจะไม่สามารถควบคุมสำนักอู๋ซินได้ อย่างไรก็ตาม ตอนนี้กษัตริย์องค์ก่อนได้จากไปแล้ว ส่วนกษัตริย์องค์ใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในสำนักอู๋ซินก็ขึ้นครองบัลลังก์

 

ความสมดุลได้ถูกทำลายไปอย่างสมบูรณ์และความทรมานของ 35 สำนักคงจะดำเนินต่อไป

 

ถ้าแรงกดดันจากสำนักมารของรัฐโจวลดลงไปซักเล็กน้อย สำนักอู๋ซินคงจะออกทำลายซักสองสามสำนักเพื่อเตือนสำนักอื่นอย่างแน่นอน เพื่อที่จะบังคับให้ควบรวม 36 สำนัก

 

ถ้าทั้ง 35 สำนักร่วมมือกัน เรื่องคงจะไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่น่าเสียดายที่ 35 สำนักนั้นไม่มีความสามัคคีกันเลยและมีหลายสำนักที่ยอมจำนนต่อสำนักอู๋ซินและเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงแล้ว

 

“ท่านเจ้าสำนัก พวกเราจะเอายังไงกับหวังเฟิงดีครับ?” ผู้อาวุโสสำนักภายนอกถามอย่างเจ็บปวดหลังจากที่เงียบไปพักนึง

 

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ ไม่มีใครอยากเป็นสำนักที่ถูกฆ่าเพื่อเตือนคนอื่น สำนักอื่นก็ไม่ยอมเหมือนกันและที่ไม่ยอมยิ่งกว่าก็คือสำนักเทียนหยุน ดังนั้น พวกเขาต้องไม่ปล่อยให้สำนักอู๋ซินมีหลักฐานที่ใช้อ้างกำจัดพวกเขาได้ในตอนนี้

 

“ท่านอาจารย์ ข้าจะออกเดินทางไปที่สำนักภายนอกนะครับ” เฉินเฉินพูดขึ้นมา

 

เซี่ยวอู่โยวขมวดคิ้วในทันที

 

“ข้ามีประสบการณ์ในการจัดการกับคนแบบนี้ครับท่านอาจารย์ ไม่ต้องกังวลนะครับ”

 

เฉินเฉินหัวเราะคิกคักในขณะที่เขาเดินออกไปจากตำหนัก

 

ในขณะที่มองแผ่นหลังของเฉินเฉิน เซี่ยวอู่โยวก็ไม่ได้ขัดขวางเขา แต่สีหน้าของเขาดูซับซ้อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

 

“ในฐานะผู้สืบทอด… เจ้าห้ามทำอะไรห่ามๆนะ!” ผู้อาวุโสสำนักภายนอกตะโกนบอกด้วยความเป็นห่วง

 

จากนั้นเขาก็พยายามวิ่งไปหยุดเฉินเฉินแต่เขาก็ถูกพลังที่มองไม่เห็นดึงเอาไว้ก่อนที่เขาจะได้เดินก้าวที่สอง

 

เซี่ยวอู่โยวพูดอย่างเย็นชา “ไม่มีอันตรายอะไรหรอก ปล่อยเขาไปเถอะ ไม่ว่าสำนักเทียนหยุนของข้าจะอ่อนแอแค่ไหน พวกเราก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขั้นที่ปกป้องศิษย์คนเดียวก็ยังไม่ได้”

 

สายตาของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจและแน่วแน่ในทันที เหมือนกับว่าเขาทำการตัดสินใจบางอย่างแล้ว

 

 

ในระหว่างนั้น ความวุ่นวายได้เกิดขึ้นที่จัตุรัสภายนอกแล้ว

 

หวังเฟิงยืนอยู่กลางจัตุรัส และกำลังมองศิษย์ที่อยู่รอบๆด้วยท่าทีไม่น่าไว้ใจ ไม่มีพวกเขาคนไหนกล้าสบตากับเขาเลย

 

“ซุนเทียนกัง เจ้าชอบพล่ามอยู่บ่อยๆไม่ใช่หรอว่าเจ้าเป็นนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักภายใน? ทำไมเจ้าถึงไม่กล้าต่อสู้กับข้าหล่ะ?”

 

หวังเฟิงชี้นิ้วไปที่ซุนเทียนกังที่กำลังยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน และเยาะเย้ยเขาเสียงดังลั่น

 

“ซุนเทียนกัง ถ้าเจ้าไม่ก้าวออกมาตอนนี้ ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นแค่ไอ้ขี้ขลาด หรือนับจากนี้ไปเจ้าจะเรียกตัวเองว่าไอ้อ่อนก็ได้นะ!”

 

หวังเฟิงยั่วยุซุนเทียนกังอย่างดูถูกแต่ซุนเทียนกังก็แค่หลับตาของเขาอยู่เงียบๆ อย่างไรก็ตาม มันเห็นได้ชัดจากเส้นเลือดที่กำลังปูดขึ้นตรงคอของเขาว่าเขากำลังโมโหอย่างมาก

 

“จ้าวเสี่ยวหยา รีบมาขอโทษข้าที่ทำร้ายข้าเมื่อวานนี้สิไม่อย่างนั้นข้าจะรายงานกลับไปที่สำนักอู๋ซินในทันทีและบอกพวกเขาว่าสำนักเทียนหยุนไม่เคารพสำนักอู๋ซิน เจ้าอย่าลืมนะว่า ในตอนที่ซุนเทียนกังเคยแตะต้องตัวข้าก่อนหน้านี้ สำนักเทียนหยุนต้องจ่ายค่าชดเชยด้วยหินวิญญาณถึง 5,000 ก้อน! ที่ข้าให้โอกาสเจ้าขอโทษก็แค่เพราะเจ้าเป็นผู้หญิงที่สวยหรอก!”

 

จ้าวเสี่ยวหยาเจ็บปวดใจอย่างถึงที่สุดในตอนที่ได้ฟังคำพูดของหวังเฟิง มันเห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่เข้ามาตอแยเธอก่อน แต่ตอนนี้เขากำลังบังคับให้เธอขอโทษ แล้วเธอจะทนรับการโกหกนี้ได้ยังไง?

 

“จ้าวเสี่ยวหยา ตกลงเจ้าจะมาขอโทษไหม?”

 

หวังเฟิงกำลังหมดความอดทน เขาเอาเหรียญติดต่อออกมาจากกระเป๋าของเขา และจากนั้นก็วาดอะไรบางอย่าง

 

พวกศิษย์ที่อยู่รอบๆมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเขากำลังจะฟ้องสำนักอู๋ซิน

 

เมื่อเห็นแบบนี้ จ้าวเสี่ยวหยาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันขอโทษ “ข้าผิดเอง ขอโทษด้วย!”

 

เธอเติบโตในสำนักเทียนหยุน และสำนักเทียนหยุนก็เป็นบ้านของเธอ ถ้าทุกคนในสำนักเทียนหยุนต้องทรมานเพราะเธอ เธอก็คงจะไม่มีวันตายตาหลับได้

 

“ต้องอย่างนั้นสิ” หวังเฟิงเก็บเหรียญสื่อสารอย่างอิ่มเอมใจในขณะที่เขาหันไปหามู่หลงหยุนหลานอีกครั้ง

 

เขายังไม่ลืมว่าเธอเคยตบเขา

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็ชี้ไปที่มู่หลงหยุนหลานแล้วพูด “มู่หลง เจ้าจงก้าวออกมาต่อสู้กับข้าซะ! แสดงให้ข้าเห็นหน่อยซิว่าสำนักเทียนหยุนทำอะไรได้บ้าง!”

 

ในตอนที่พวกเขาได้ยินคำประกาศของหวังเฟิง สายตาของศิษย์ทุกคนก็เต็มไปด้วยความดูถูก ในฐานะเซียนที่ฝึกฝนตนเองมาหลายปีและพัฒนาไปถึงระดับฝึกพลังปราณขั้นที่ 6 แล้วนั้น หวังเฟิงได้ท้าศิษย์ใหม่ของสำนักภายนอกจริงๆ เขาน่าจะเป็นคนๆเดียวในพื้นที่ของสำนักเทียนหยุนที่หน้าด้านพอที่จะท้าสู้กับศิษย์ใหม่

 

‘หวังเฟิงคนนี้น่ากลัวจริงๆ… ที่สำนักอู๋ซินส่งเขามาที่นี่ก็เพื่อป่วนสำนักเทียนหยุนแน่ๆ!’

 

หลังจากที่ถูกเรียก สีหน้าของมู่หลงหยุนหลานก็ซีดเผือด แม้กระทั่งศิษย์พี่หญิงที่มีอำนาจมากมายอย่างเสี่ยวหยาก็ยังต้องก้มหัวให้หวังเฟิง แล้วศิษย์ใหม่ของสำนักอย่างเธอจะต้องทำอะไรหล่ะ?

 

ถ้าเธอไปถูกหวังเฟิงซ้อมต่อหน้าสาธารณะชน แล้วในอนาคตเธอจะกล้าเชิดหน้าในสำนักเทียนหยุนได้ยังไงกัน?

 

เธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะต้องมาเจอสถานการณ์ที่สิ้นหวังแบบนี้หลังจากที่ก้าวสู่หนทางแห่งเซียนและกลายเป็นเซียนในสายตาของมนุษย์

 

ณ ตอนนี้หัวใจของมู่หลงหยุนหลานเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความโกรธ ในขณะที่น้ำตาเริ่มคลอขึ้นมาในดวงตาของเธอ

 

“ข้าจะต่อสู้กับเจ้าเอง อย่าทำให้ศิษย์น้องมู่หลงต้องลำบากใจนะ!” หนึ่งในศิษย์ของสำนักภายนอกไม่สามารถทนได้อีกในขณะที่เขาเริ่มก้าวตรงมาที่กลางจัตุรัส

 

“เห้อ เจ้าอยากจะเป็นฮีโร่ช่วยเหลือหญิงสาวบริสุทธิ์จากความเจ็บปวดหรอ? เอาสิข้าจะเต็มเติมความปรารถนาของเจ้าให้เอง” หวังเฟิงพูดด้วยความดูถูก

 

เขาอยู่ระดับฝึกพลังปราณขั้นที่หกและแม้แต่ในสำนักภายนอก เขาก็ไม่ค่อยมีคู่ต่อสู้ ศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นอยู่แค่ระดับฝึกพลังปราณขั้นต้นเท่านั้นและไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาอย่างแท้จริง

 

ดังนั้น พวกเขาทั้งสองจึงเริ่มต่อสู้กันในเวลาไม่นาน

 

อย่างไรก็ตาม หวังเฟิงดื่มด่ำอยู่กับความชั่วร้ายของสุราและโลกีย์มาหลายปี และระดับการฝึกตนของเขาก็ค่อนข้างอ่อนแอแม้ว่าจะอยู่ขั้นที่หกก็ตาม ดังนั้น เขาจึงเริ่มด้อยกว่าในระหว่างการต่อสู้

 

เมื่อเห็นฉากการต่อสู้นี้ พวกศิษย์ที่อยู่รอบๆก็ยิ่งดูถูกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ

 

“ถ้าทำแบบนั้น จ่ายหินวิญญาณมา 5,000 ก้อนซะ!”

 

ในตอนนี้เอง หวังเฟิงก็ตะโกนด้วยความโกรธ

 

พอได้ยินคำว่าหินวิญญาณ 5,000 ก้อน ใบหน้าของศิษย์ภายนอกคนนี้ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

 

ศิษย์ที่กำลังต่อสู้อยู่นั้นเป็นศิษย์สำนักภายนอกที่ได้รับหินวิญญาณปีละไม่กี่ร้อยก้อนเท่านั้น ซึ่งมันก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาทำร้ายหวังเฟิง สำนักเทียนหยุนจะต้องชดเชยให้เขาด้วยหินวิญญาณอย่างน้อย 5,000 ก้อน ซึ่งทำให้ความกลัวก่อตัวขึ้นมาในตัวเขาอย่างกระทันหัน

 

เมื่อเห็นแบบนี้ หวังเฟิงก็ประกาศออกมาดังลั่น “ถ้าเคลื่อนไหวเข้ามาหาข้าอีก จะเพิ่มเป็นหินวิญญาณ 8,000 ก้อน แถมเจ้าจะต้องก้มหน้ารับกำด้วย!”

 

ณ จุดนี้เอง หวังเฟิงได้ละทิ้งการป้องกันอย่างสมบูรณ์และกำลังจะโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของเขา เขาเชื่อว่าศิษย์ภายนอกที่อยู่ตรงหน้าเขานั้นไม่กล้าแตะต้องเขาแล้ว

 

ซุนเทียนกัง จ้าวเสี่ยวหยาและศิษย์ภายในสามารถจัดการเรื่องนี้ด้วยการชดเชยหินวิญญาณให้เขาได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม ถ้าศิษย์ภายนอกที่ไม่ได้มีตัวตนยิ่งใหญ่แตะต้องเขา พวกเขาก็อาจจะถูกสำนักอู๋ซินสอบปากคำและจากนั้นก็จ่ายด้วยชีวิตของพวกเขา

 

อย่างที่คิดเอาไว้ ศิษย์คนนี้มองไปข้างหน้าและเริ่มรู้สึกว่าการต่อต้านของเขากำลังอ่อนแอลง ในท้ายที่สุดนั้น หวังเฟิงก็ฉวยโอกาสนี้ซัดเขากระเด็นออกไปหลายสิบเมตร ทำให้เขากระอักเลือดออกมาแล้วล้มลงไปกับพื้น

 

เมื่อเห็นเช่นนี้ หวังเฟิงก็ดึงมือกลับมาแล้วยืนเอามือไขว้หลัง เหมือนกับเป็นจอมยุทธ์ผู้เดียวดาย จากนั้นเขาก็มองมู่หลงหยุนหลาน

 

“ศิษย์น้อง เข้ามาประมือกับข้าสิ ข้าออมมือให้ผู้หญิงตลอดอยู่แล้วเพราะฉะนั้นข้าจะไม่ทำอะไรร้ายแรงกับเจ้า วางใจได้เลย แต่ว่า ในบางครั้งชายหญิงก็อาจจะมีแตะต้องตัวกันบ้างในระหว่างการประมือ เพราะฉะนั้นไม่ต้องถือสาหรอกนะ ศิษย์น้อง ฮ่าฮ่าฮ่า!”

 

ในขณะที่พูด หวังเฟิงก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้แล้วเขาก็แสดงความหื่นกามออกมาอย่างต่อเนื่อง

 

เมื่อได้ฟังคำพูดของเขา เหล่าศิษย์ก็เริ่มถลึงตามองหวังเฟิงอย่างเดือดดาล แต่พวกเขาไม่กล้าพูดขึ้นมา และมีบางส่วนที่ดูสับสนด้วย

 

ที่พวกเขาเข้าร่วมสำนักเทียนหยุนทั้งหมดก็เพราะพวกเขาอยากฝึกวรยุทธ์และกลายเป็นตัวตนที่คนอื่นยกย่องชื่นชม

 

แล้วทำไมพวกเขาถึงต้องมาถูกรังแกเหมือนกับมดปลวกด้วยหล่ะ?

 

ถ้าการอยู่ในสำนักเทียนหยุนต้องโดนแบบนี้ กลับไปที่โลกมนุษย์แล้วใช้ชีวิตอย่างสบายๆไม่ดีกว่าหรอ?

 

ความคิดพวกนี้กำลังวนเวียนอยู่ในหัวของมู่หลงหยุนหลานในตอนนี้ ตอนที่เธอยังอยู่บ้านของตัวเองนั้น พ่อของเธอเป็นเจ้าเมืองและเธอก็เป็นศูนย์กลางของความสนใจ เจ้าหน้าที่ในเมืองและคนที่มีฐานะส่วนใหญ่ไม่กล้าที่จะทำไม่ดีกับเธอเลย

 

ความแตกต่างคนละขั้วระหว่างตอนนั้นกับตอนนี้ทำให้เธอเริ่มสงสัยชีวิตของตัวเอง

 

“ศิษย์น้อง เจ้าจะก้าวขึ้นมาไหม? หรือว่าเจ้ากำลังดูถูกข้ากับสำนักอู๋ซินอยู่?”

 

ในขณะที่พูด หวังเฟิงก็หยิบเหรียญสื่อสารออกมาอีกครั้ง ทำให้สีหน้าของเหล่าศิษย์ที่อยู่ ณ ที่นี้หดหู่

 

“ข้า… ข้า…” มู่หลงหยุนหลานรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งในขณะที่น้ำตาไหลลงมาอาบแก้มของเธอ ณ ตอนนี้ เธอรู้สึกสิ้นหวังอย่างถึงที่สุดแล้ว

 

ในขณะที่บรรยากาศในจัตุรัสน่าหดหู่อย่างถึงที่สุด เสียงความไม่พอใจก็ดังมาจากที่ไกลๆ และทำลายความเงียบนี้

 

“ใครกัน? ใครที่มันกล้ามารังแกเหล่าคนที่อยู่ในการคุ้มครองของข้า?”