Chapter 60 หัวหน้า เรามาคุยเรื่องนี้กันเองดีกว่า

ข้าสามารถตรวจสอบได้ทุกสรรพสิ่ง I Can Track Everything

เมื่อได้ยินเสียงนี้ ฝูงชนก็มองไปทางต้นเสียงโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองก็ได้เห็นคนผู้หนึ่งที่สวมเสื้อผ้าสีขาวกำลังลอยอยู่ที่ทางเข้าจัตุรัสด้วยท่าทีที่อ่อนโยนจนน่าเหลือเชื่อ”

 

“นั่นมันท่านผู้สืบทอดนี่….” ศิษย์ภายนอกบางส่วนกระซิบคุยกันเบาๆ

 

มู่หลงหยุนหลานรู้สึกเหมือนกับว่าเธอได้เจอผู้ช่วยชีวิต ในตอนนี้ เธอรู้สึกตื้นตันมากๆที่มีคนยอมพูดขึ้นมาเพื่อเธอ

 

แม้กระทั่งท่าทีของศิษย์ภายในก็ยังดูซับซ้อน

 

“เฉินเฉิน? เจ้าเป็นใครกัน? ทำไมข้าถึงไม่เคยเห็นเจ้ามาก่อน?” หวังเฟิงตะโกนในขณะที่ชี้ไปทางเฉินเฉิน เขารู้สึกไม่พอใจอย่างมากในตอนที่เขาเห็นคนทำตัวเหมือนฮีโร่ต่อหน้าเขา

 

โดยไม่พูดอะไร เฉินเฉินก็เข้าไปหามู่หลงหยุนหลาน

 

“ศิษย์น้อง ถอยไปเถอะ”

 

พอมู่หลงหยุนหลานได้ยินแบบนี้เธอก็รีบเช็ดน้ำตาก่อนที่จะพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “ขอบคุณค่ะ ศิษย์พี่เฉินเฉิน แต่ว่าคนๆนี้…”

 

“จะเป็นใครนั้นไม่สำคัญหรอก ข้าอยู่ที่นี่แล้ว” เฉินเฉินตอบอย่างเยือกเย็น

 

เมื่อเห็นความสงบนิ่งของเฉินเฉิน มู่หลงหยุนหลานก็รู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอย่างกะทันหัน แล้วเธอก็รีบกลับเข้าไปอยู่ในฝูงชน

 

จากนั้นเธอก็จ้องมองแผ่นหลังของเฉินเฉินด้วยความเคารพ

 

“เจ้าเป็นใครกันวะ?” หวังเฟิงถามด้วยความรำคาญ แล้วส่ายเหรียญสื่อสารในมือไปมา

 

เมื่อได้ฟังเช่นนี้ เฉินเฉินก็เดินเข้าไปที่กลางจัตุรัสอย่างเงียบๆแล้วยืนเผชิญหน้ากับหวังเฟิง

 

“ข้าคือผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน และศิษย์พี่ใหญ่ของทุกคนที่อยู่ในที่นี้”

 

เมื่อได้ฟังดังนี้ หวังเฟิงก็นึกขึ้นมาได้ว่าผู้สืบทอดที่สำนักอู๋ซินต้องการให้เขาสืบสวนนั้นมีชื่อว่าเฉินเฉิน

 

หลังจากที่คิดเกี่ยวกับมัน เขาก็ชี้ไปที่เฉินเฉินแล้วตะโกนอย่างไม่พอใจ “เจ้านี่เองที่เป็นผู้สืบทอดของสำนักเทียนหยุน ดีเลย ข้ากำลังกังวลอยู่ว่าจะไม่สามารถเข้าหาเจ้าได้ แต่ข้าคิดไม่ถึงเลยนะว่าเจ้าจะกล้าโผล่มาหาข้าด้วยตัวเอง!”

 

“ต้องการอะไรจากข้าหล่ะ?” เฉินเฉินถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

“บอกคุณสมบัติและต้นกำเนิดของเจ้ามาข้าจะได้เอาไปรายงานกับสำนักอู๋ซิน” หวังเฟิงพูดออกมาตรงๆด้วยสีหน้าที่ดูเย่อหยิ่ง

 

เนื่องจากสำนักอู๋ซินคอยหนุนหลังเขาอยู่จึงไม่มีอะไรต้องกลัว เว้นเสียแต่ว่าสำนักเทียนหยุนจะแกว่งเท้าหาความตาย

 

“ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” เฉินเฉินตอบตรงๆเช่นเดียวกับหวังเฟิง ทำให้หวังเฟิงถึงกับอ้าปากค้างแล้วจ้องเขาด้วยดวงตาที่แทบถลนออกมา

 

“เจ้า เจ้า!” หวังเฟิงชี้ไปที่เฉินเฉินแล้วพูดไม่ออกไปพักนึง อย่างไรก็ตาม เขาค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าคุณสมบัติของเฉินเฉินนั้นต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เขาอาจจะสามารถคุกคามสำนักอู๋ซินได้ด้วยซ้ำ

 

ไม่อย่างนั้นมันจะมีเหตุผลอะไรให้ปกปิดด้วยหล่ะ?

 

เมื่อเขาคิดได้เช่นนั้น หัวใจของหวังเฟิงก็ถูกครอบงำด้วยความโกรธ

 

‘ไอ้เวร ข้าเหนือกว่าเจ้าแต่เจ้ายังมีความกล้าที่จะมาทำตัวเย่อหยิ่งขนาดนี้เลยหรอ? ใครให้สิทธินั้นกับเจ้ากัน?’

 

‘เจ้าไม่กลัวว่าตัวเองจะนำความย่อยยับมาสู่สำนักเทียนหยุนรึยังไง?’

 

‘เจ้าเด็กนี่โง่สินะ?’

 

หวังเฟิงอดกลั้นความโกรธในใจของเขาแล้วพูดต่อ “ถ้าเจ้าไม่ยอมบอกก็ไม่เป็นอะไร แค่มาสู้กับข้าแล้วจ่ายหินวิญญาณมาหนึ่งหมื่นก้อนซะ”

 

เฉินเฉินไม่ได้ตอบ แต่ทำท่าทีเชื้อเชิญแทน

 

ด้วยความคิดว่าเฉินเฉินยอมจำนนแล้ว หวังเฟิงก็หัวเราะอย่างเย็นชา เขาคิดถึงความสะใจที่จะได้รับจากการอัดผู้สืบทอดต่อหน้าศิษย์ภายในและภายนอก

 

นับจากนี้ไปก็จะไม่มีใครในสำนักเทียนหยุนกล้ามองข้ามเขา

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็เผยรอยยิ้มบูดเบี้ยวของเขาแล้วตะโกนออกมา “ถ้าแตะต้องข้า! จ่ายหินวิญญาณมา 5,000 ก้อน!”

 

เพี๊ยะ!

 

ก่อนที่เขาจะพูดจบ เขาก็ถูกตบเข้าที่หน้าอย่างรุนแรงจนตัวปลิว ซึ่งนี่ทำให้เขาถึงกับตกตะลึง

 

ศิษย์สำนักภายในและภายนอกที่อยู่ในที่นี้ก็ตกตะลึงเหมือนกัน พวกเขานึกไม่ถึงเลยว่าผู้สืบทอดจะกล้าตีหวังเฟิงจริง ๆ อย่างไรก็ตาม ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือผู้สืบทอดสามารถเอาชนะหวังเฟิงได้จริง ๆ

 

‘เขาพึ่งเข้ามาอยู่ในสำนักได้กี่วันกัน?’

 

หวังเฟิงที่ถูกตบเรียกสติกลับมาแล้วเอามือปิดหน้าในขณะที่มองเฉินเฉินด้วยความไม่เชื่ออย่างเต็มที่ เขาตะโกนอย่างโกรธเคือง “เฉินเฉิน เจ้าไม่รู้หรอว่าพวกเจ้าต้องจ่ายให้สำนักอู๋ซินด้วยหินวิญญาณ 5,000 ก้อนนะ!”

 

“อะไรหล่ะนั่น? ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเลย!” เฉินเฉินถามด้วยสีหน้าตกตะลึง

 

“ถามเขาสิ!” หวังเฟิงตะโกนแล้วชี้ไปทางซุนเทียนกังด้วยความไม่พอใจ เขาลืมไปแล้วว่าผู้สืบทอดพึ่งจะมาเข้าร่วมแค่ไม่กี่วัน และด้วยเหตุนั้น จึงไม่รู้ความสำคัญของเขา

 

‘ไม่แปลกใจเลยที่เขาจะทำตัวเย่อหยิ่งขนาดนี้!’

 

ใบหน้าของซุนเทียนกังเป็นสีแดงก่ำแต่เขาไม่ได้พูดอะไร แล้วศิษย์ภายในที่อยู่ข้างๆเขาก็อธิบายแทน

 

“ศิษย์พี่ซุนเทียนกังเคยผลักเขาครั้งนึง หลังจากนั้น สำนักเทียนหยุนต้องจ่ายค่าชดเชยให้สำนักอู๋ซินด้วยหินวิญญาณ 5,000 ก้อนเป็นค่ารักษา…”

 

เฉินเฉินพยักหน้าหลังจากที่ได้รับรู้เรื่อง

 

“เข้าใจหล่ะ”

 

ด้วยความโล่งอกที่เห็นเช่นนี้ หวังเฟิงก็ตะโกนอีกครั้ง “แตะต้องข้าอีก จ่ายมาด้วยหินวิญญาณ 1,800 ก้อน และเตรียมใจก้มหน้ารับกรรมซะ!”

 

เพี๊ยะ!

 

อย่างไรก็ตามก่อนที่เขาจะพูดจบ เฉินเฉินก็ตบเขาปลิวอีกครั้ง

 

หวังเฟิงกระแทกกับพื้นแล้วมีสีหน้าตกตะลึง

 

‘เด็กคนนี้ช่วยต่อสู้กับข้าอย่างเหมาะสมไม่ได้รึไง หรือว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ข้าจะสื่อ? ข้ายังแสดงออกชัดเจนไม่พออีกหรอ?’

 

‘ถ้าเจ้าตีข้า เจ้าจะต้องจ่ายหินวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว!’

 

ในขณะที่เขากำลังนั่งคิดเกี่ยวกับชีวิตอยู่บนพื้น เฉินเฉินก็เดินเข้าไปหาเขาอย่างช้า ๆ

 

เปรี๊ยง!

 

เสียงฟ้าผ่าดังขึ้น และผมของหวังเฟิงก็ตั้งขึ้นในขณะที่เขาพ่นควันสีดำออกมาทางปาก

 

“นี่เจ้า….อวดดียิ่งนัก!”

 

ณ จุดนี้ เขารู้แล้วว่าเฉินเฉินเป็นไอ้โง่และกำลังหาเรื่องเขา ความโกรธในตัวเขาปะทุอย่างไม่สามารถควบคุมได้ แล้วเขาก็เอาเหรียญสื่อสารออกมา

 

“เจ้าเรียกสายฟ้ามาผ่าข้าเลยหรอ? ดี! ดีมาก! ข้าจะรายงานเรื่องนี้กลับไปที่สำนักอู๋ซินแล้วบอกพวกเขาว่าเจ้ามีร่างกายจิตวิญญาณต้นกำเนิด!”

 

ศิษย์สำนักภายในและภายนอกที่เห็นเหตุการณ์ต่างพากันหวาดกลัว ถ้าหวังเฟิงรายงานกลับไปหาสำนักอู๋ซินจริงๆ เซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณจะโผล่มาที่สำนักเทียนหยุนในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน….

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินไม่สนใจหวังเฟิงแล้วเดินไปหาเขา และตบอีกครั้งนึงในขณะที่พึมพำออกมา “เจ้ากล้ารังแกลูกน้องของข้าหรอ? เจ้าไม่รู้สินะว่าซุนเทียนกังเป็นลูกน้องของข้า?”

 

ซุนเทียนกังรู้สึกอึดอัดใจอย่างมากในขณะที่คิด ‘ตอนนี้มันใช้เวลามาพูดเรื่องนี้รึไง?’

 

หวังเฟิงใกล้จะร้องไห้แล้ว เขาเอามือปิดหน้าแล้วถาม “เฉินเฉิน เจ้ารู้ไหมว่าสำนักเทียนหยุนจะเจอภัยพิบัติอะไรบ้างถ้าข้ารายงานออกไป?”

 

เพี๊ยะ!

 

ฝ่ามือตบเข้าที่หน้าของเขาอีกครั้ง ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงที่คลุมเครือก็ดังเข้าไปในหูของเขา

 

“แล้วเจ้ารู้รึเปล่า? ถึงยังไงเจ้าก็จะถูกฆ่าก่อนที่สำนักอู๋ซินจะมาถึง!”

 

หลังจากที่ถูกอัดจนเละ หวังเฟิงก็แทบจะเป็นบ้าแล้ว ในตอนที่เขาได้ยินเช่นนี้ เขาก็ตะโกนออกมา “ถ้าข้าสามารถลากทั้งสำนักไปกับข้าได้มันก็คุ้มแล้ว!”

 

“นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของข้า ข้าพึ่งมาอยู่ในสำนักได้ไม่กี่วัน เจ้าคิดว่าข้ามีความรู้สึกผูกพันกับสำนักเทียนหยุนขนาดนั้นเลยหรอ? อย่างมากที่สุด ในตอนที่เวลามาถึง ข้าก็แค่ยอมจำนนต่อสำนักอู๋ซินอย่างหน้าด้านๆก็ได้ แถมช่วงสองสามวันมานี้ข้ารู้สึกไม่ค่อยพอใจกับสำนักเทียนหยุนด้วยสิ เพราะฉะนั้นไปหาสำนักที่แข็งแกร่งกว่าก็น่าจะดีเหมือนกัน”

 

หวังเฟิงตัวแข็งทื่อในตอนที่ได้ยินเสียงกระซิบนี้

 

ศิษย์คนอื่นได้พัฒนาความผูกพันกับสำนักแล้วเพราะพวกเขาอยู่มานานพอ อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินอยู่ที่นี่มาได้ไม่กี่วัน แล้วเขาจะมีความรู้สึกผูกพันได้ยังไง?

 

ที่สำคัญกว่านั้น ถ้าเซียนระดับก่อกำเนิดวิญญาณมาที่สำนักเทียนหยุนจริงๆ เขาก็อาจจะกังวลว่าศิษย์ที่อยู่มานานจะตามล้างแค้นและฆ่าพวกเขามากกว่า…

 

อย่างไรก็ตาม เฉินเฉินนั้นเป็นศิษย์ใหม่ แถมยังมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมมากถึงขนาดที่สำนักเทียนหยุนอยากจะปกปิดตัวตนของเขาอีก…

 

นอกจากนี้ เขายังมีความรู้สึกว่าถึงแม้เฉินเฉินจะดูเป็นคนรักความยุติธรรมที่ภายนอก แต่จริงๆแล้วเขาหน้าด้านและอาจจะขอให้สำนักอู๋ซินรับเขาเข้าไปก็ได้ เขาอาจจะไปได้ด้วยดีกับสำนักอู๋ซินจริงๆ!

 

‘พระเจ้า! ในโลกนี้มันมีคนที่หน้าด้านยิ่งกว่าข้าอีกหรอเนี่ย?’

 

“ข้าคิดว่าไปที่สำนักอู๋ซินแล้วกลายเป็นผู้สืบทอดก็เป็นความคิดที่ไม่เลวเหมือนกัน เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าบอกสำนักอู๋ซินว่าข้ามีร่างกายจิตวิญญาณโดยกำเนิดดีไหม?”

 

ในขณะที่พึมพำ เฉินเฉินก็คว้าเหรียญสื่อสารแล้วเตรียมส่งข้อความในทันที

 

เมื่อเห็นฉากตรงหน้าเขา หวังเฟิงก็มีอาการกลัวสุดขีด

 

ถ้าเฉินเฉินส่งข้อความไปจริง ๆ เขาก็จะจบสิ้นอย่างแน่นอน

 

ศิษย์สำนักภายในและภายนอกจะสับเขาเป็นชิ้นๆ!

 

 

เขาคงพอจะยอมรับได้ถ้าเขาสามารถตายไปปพร้อมกับเฉินเฉิน แต่ดูเหมือนว่าเฉินเฉินน่าจะไปได้ดีกว่าเขา แล้วเขาจะยอมรับเรื่องนั้นได้ยังไงกัน?

 

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เขาก็กอดขาของเฉินเฉินแล้วอุทานออกมา “หัวหน้า! อย่าพึ่งทำอะไรผลีผลามเลยนะครับ! พวกเราสามารถคุยเรื่องนี้กันเองได้!”