บทที่ 497 กาลและอวกาศ
อากาศในเทือกเขายามราตรีค่อนข้างเย็น ความร้อนของคิมหันต์ฤดูค่อยๆ จางหายไป เมื่อสายลมอ่อนๆ พบทางพัดเข้ามาภายในถ้ำ ทั้งลูเซียนและนาตาชาต่างรู้สึกสดชื่นขึ้นมามาก

นาตาชามองดูลูเซียนคลี่ม้วนกระดาษหนังออกมาด้วยความสงสัยอย่างยิ่ง ลูเซียนเปิดใช้วงเวท เปิดหลอดไฟคริสตัล และหยิบปากกาขนนกขึ้นมา

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางเห็นจอมเวทกำลังเขียนบทความ แต่นางไม่เคยรู้ว่าจอมเวทจะสามารถตั้งสมาธิเขียนบทความในสภาพแวดล้อมและสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ได้ ลูเซียนทำให้นางประหลาดใจได้เสมอ

นาตาชากลั้นหายใจ ขณะดูลูเซียนเขียนชื่อบทความเสร็จและเริ่มเขียนส่วนบทนำ

“บทความชิ้นนี้พัฒนาขึ้นตามหลักสัมพัทธภาพและความคงที่ของอัตราความเร็วของแสง ทั้งนี้ เงื่อนไขที่ต้องมีประกอบด้วย”

ทันใดนั้น มีเสียงร้องโหยหวนของสัตว์ร้ายดังมาจากระยะไกล

ตามมาด้วยเสียงร้องโหยหวนที่ดังกว่าเดิม พร้อมกันนั้น ก็มีเสียงขู่คำราม

นาตาชาสะดุ้งเล็กน้อย แล้วนางก็พูดพึมพำเล่นมุกตลกกับตัวเอง “เมื่อราตรีมาเยือน ก็ถึงคราวสัตว์ร้ายและสัตว์ป่าเริ่มต้นวันของพวกมัน”

นางติดตามฟังรายการ ‘เสียงแห่งอาร์คานา’ ซึ่งลูเซียนบันทึกและส่งให้นางฟังเสมอ และทำให้นางได้เรียนรู้ไวยากรณ์และสำนวนใหม่ๆ จากรายการวิทยุ

แล้วนาตาชาก็พยายามทำความเข้าใจการสรุปของลูเซียน นางอยากรู้ว่านางจะเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหน

หลังจากส่วนแรกที่ลูเซียนเขียนขึ้นอย่างยากลำบาก เขาก็เริ่มเขียนเร็วขึ้นๆ เส้น สูตร และสมการพรั่งพรูออกมาจากปากกาขนนกของเขาราวกับสายน้ำ นาตาชารู้สึกเวียนศีรษะขึ้นมาเล็กน้อยขณะอ่านตามบรรทัดที่เขียน นางส่ายศีรษะในทันทีแล้วจึงเบนสายตาขึ้น สายตาของนางจับจ้องอยู่กับเครื่องเคราบนใบหน้าใต้แสงไฟของลูเซียน แววตาที่จริงจังและทุ่มเทบนหน้าทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น

มือซ้ายของนางกุมข้อศอกขวา ขณะที่มือขวาของนางกำลังถูคางไปมา นาตาชาจ้องมองลูเซียนไม่วางสายตา แล้วนางก็พูดกับตัวเองอยู่เรื่อยๆ ด้วยเสียงแผ่วเบาว่า

“น่าเสียดายจัง…”

ณ โอเอซิสกลางทะเลทรายตะวันออก ศูนย์รวมอาคารลอยอยู่กลางอากาศรูปร่างเหมือนปราสาท

ท่ามกลางอาคารเหล่านั้น อาคารหลังหนึ่งที่กินพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดคือคริสตจักรที่มีไม้กางเขนขนาดใหญ่ตั้งอยู่ตรงหน้า ด้านหลังของไม้กางเขนมีห้องทำงานที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และในห้องทำงานนั้นก็มีพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่สองที่ดูเหมือนกับชายชราธรรมดาๆ สวมหมวกไหมพรมนั่งอยู่ เขากำลังอ่านข้อมูลที่ส่งกลับมาจากพื้นที่ลาดตระเวนทั้งหมด ขณะกำลังจิบชาดำเป็นระยะๆ

ทันใดนั้น มือขวาของเบเนดิกต์ที่สองทก็เริ่มสั่น ถ้วยชาสีขาวหล่นจากมือของเขา แต่เมื่อแก้วใบนั้นกำลังจะตกกระทบพื้น ก็ดูเหมือนว่าถูกลมพัดหวนและลอยกลับมาที่มือของเบเนดิกต์ที่สอง

เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เบเนดิกต์ที่สองวางถ้วยชาลงและเดินไปยังหน้าต่าง เขาจ้องมองออกไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว และรู้สึกหายใจลำบากขึ้นมา

เขาไม่รู้ว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น แต่รู้เพียงว่าต้องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแน่

เขาสูดหายใจลึกแล้วก็เอื้อมมือไปหยิบไม้คทา เขาสวดภาวนาเสียงแผ่วเบา มองหาสัญญาณจากพระเจ้าของเขา

แต่เขาก็ไม่ได้รับคำตอบ เบเนดิกต์ที่สองสันนิษฐานว่าน่าจะเพิ่งเกิดการต่อสู้ระหว่างอัลเทอร์นาและสิ่งมีชีวิตปริศนาในโลกแห่งวิญญาณ

ทางตะวันออกของมหาสมุทรที่มีพายุคลั่ง ตลอดชายฝั่งเต็มไปด้วยหอคอยเวทมนตร์

ณ หนึ่งในบรรดาหอคอยเวทมนตร์ ดักลาส เจ้าแห่งวายุ และแฮททาเวย์กำลังหารือกันถึงแผนขั้นต่อไป เจ้าแห่งวายุเพิ่งกลับมาจากการออกสำรวจที่พิสูจน์ว่าเขากลับมามือเปล่า ขณะเดียวกัน โอลิเวอร์และธานาทอสก็กำลังสำรวจหนองน้ำทางตะวันออก และกำลังไล่ล่าเทพเจ้าเทียมเท็จระดับตำนานตนหนึ่ง เทพเจ้าเทียมเท็จตนนี้เป็นมังกรดำ ซึ่งได้รับการบูชาจากมนุษย์และมังกรตัวอื่นๆ และมีพลังถึงระดับตำนานด้วยพลังแห่งความศรัทธา และตั้งตนขึ้นเป็น ‘เจ้ามังกรแห่งความมืด’

เฮลเลน ‘แม่มดแห่งแดนน้ำแข็ง’ และแฮททาเวย์ก็ถึงเวลาหมุนเวียนปฏิบัติหน้าที่ แม่มดเฮลเลนได้กลับไปยังนครอัลลินเพื่อดูแลรักษาสำนักงานใหญ่

“อย่าคิดห่วงเกินไปเลย เฟอร์นันโด การไม่มีข่าวก็ถือเป็นข่าวดี” ดักลาสปลอบใจเจ้าแห่งวายุ

เจ้าแห่งวายุโต้แย้งเพื่อซ่อนงำความรู้สึกภายใน “ทำไมข้าต้องห่วง? ลูเซียนชอบซ่อนความลับและผลการวิจัยเสมอ ตัวเขานั่นแหละปัญหาใหญ่สุดของข้า!”

“ถ้าไม่เจอปัญหาที่ใหญ่กว่าอีก ลูเซียนก็น่าจะปลอดภัย” แฮททาเวย์แสดงความเห็นสั้นๆ

ในสายตาแฮททาเวย์ ความฉลาดและสติปัญญาของลูเซียนน่าจะช่วยให้เขาไม่เป็นอันตราย

“แต่ถ้ามี…” เฟอร์นันโดพูดด้วยสีหน้าสลด ดวงตาสีแดงของเขาเบิกโพลง ภายนอกหอคอยเวทมนตร์ เมฆดำเริ่มรวมตัวกันก็เพราะความโกรธของเฟอร์นันโด

ทุกคนเป็นมหาจอมเวท และมหาจอมเวทไม่เชื่อในเหตุบังเอิญ เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น มหาจอมเวททุกคนก็รู้คร่าวๆ ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น

ขณะที่พวกเขากำลังหารือกัน ดักลาสเหมือนรู้สึกถึงบางอย่างและมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นว่าจากอีกฟากของหอคอยเวทมนตร์ ดวงอาทิตย์กำลังขึ้นอย่างช้าๆ แสงแดดยามเช้าย้อมมหาสมุทรให้เป็นสีแดง

ทัศนียภาพที่เห็นน่าจะเป็นภาพที่งดงามเกินบรรยาย อย่างไรก็ตาม ในสายตาของดักลาส มหาสมุทรกลับดูเหมือนบ่อโลหิตที่น่าสะพรึงกลัว

“เกิดอะไรขึ้น?”

“มันทั้งดี แต่ก็ไม่ดี…”

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญโหราศาสตร์และสนามแรง ดักลาสยังสามารถต่อกรกับศาสดาพยากรณ์ในการเรื่องพยากรณ์ได้

ทั้งเฟอร์นันโดและแฮททาเวย์ต่างมองออกไปนอกหน้าต่าง พวกเขาไม่รู้ว่าเพิ่งเกิดอะไรขึ้น แต่พวกเขาก็สัมผัสได้ถึงความรู้สึกขัดแย้งกันเองระหว่างการกดขี่และเสรีภาพในหัวใจ

นาตาชาไม่เบื่อเลยที่จะจ้องมองลูเซียนตลอดเวลาที่เขาเขียนบทความ แต่กลับกัน นางกลับรู้สึกเพลิดเพลินมาก หลังจากผ่านไปพักใหญ่ นางก็มองไปรอบๆ รู้สึกสับสน ไม่รู้ว่าทำไมแต่นางรู้สึกว่าอวกาศและกาลกำลังเปลี่ยนแปลง

บทความเริ่มยาวขึ้นๆ ความพยายามอันดีของลูเซียนตลอดสามปีที่ผ่านมากำลังผลักดันโลกแห่งปัญญาของเขาให้พัฒนาขึ้นอีกขั้น ขั้นสำคัญ!

โลกแห่งปัญญาของลูเซียนเริ่มปรากฏออกมารอบตัวเขา ในโลกแห่งปัญญาของเขา เต็มไปด้วยดวงดาวที่โคจรด้วยความเร็วสูง รังสีที่ฉายออกมา ธาตุที่แผ่พลังและปลดปล่อยกระแสอนุภาค และองค์ประกอบทั้งหมดกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่องที่น่าอัศจรรย์ ดูเหมือนแม่น้ำแห่งกาลที่โดดเดี่ยวชั่วนิรันดร์ในโลกแห่งปัญญาของเขาเริ่มมีปฏิกิริยากับอวกาศ พลังงาน และสสารทุกชนิด และทั้งหมดก็มีปฏิกิริยาตอบสนองกันและกัน!

พายุอันเงียบงันก่อตัวขึ้นภายในโลกแห่งปัญญาของลูเซียน และพลังของพายุก็น่าเกรงขามอย่างยิ่ง โครงสร้างของกาลและอวกาศในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนเบี่ยงเบนจากกรอบและคำอธิบายที่ดักลาสและบรูคคิดค้นขึ้นโดยสิ้นเชิง โลกแห่งปัญญาของเขาเข้าใกล้ความจริงของโลกและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นทุกขณะ

เมื่อการให้เหตุผลแบบนิรนัยใกล้จะถึงจุดจบ โลกแห่งปัญญาของลูเซียนก็สมบูรณ์เป็นปึกแผ่นในที่สุด!

ลูเซียนไม่หยุดแค่นี้ แล้วเขาก็หันกลับไปเขียนเรื่อการสร้างสูตรมวล-พลังงานต่อ

ลูเซียนใช้เวลาไม่นาน เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วเขียนลงไปว่า

“E = mc2”

ตู้ม! ทันทีที่สูตรง่ายๆ แต่ลึกซึ้งเขียนลงบนกระดาษหนัง จุดแสงธาตุในโลกแห่งปัญญาของลูเซียนก็แตกออกและกลับเข้ามาร่วมกันใหม่ กระบวนการนี้ปล่อยพลังที่น่าเกรงขามออกมาและผลักภาพสะท้อนอื่นๆ ในโลกแห่งปัญญาไปสุดขอบ

ตู้ม! เมื่อนางมองครั้งแรก นาตาชาสัมผัสได้ถึงพลังทำลายอันยิ่งใหญ่และกำลังภายในที่ระเบิดออกมาดังสนั่นตามที่สูตรนั้นมี แต่เมื่อนางพยายามมองใกล้เข้าไป ความรู้สึกนั้นก็หายไป

ตู้ม! เมฆเห็ดก่อตัวขึ้นจากการรวมตัวของธาตุ ซึ่งภายในก็มีโครงสร้างที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง แต่ยังไม่สมบูรณ์

ตู้ม! นาตาชาหันไปมองตรงทางเข้าของถ้ำ เพียงภาพท้องฟ้าเล็กๆ ที่นางมองเห็นจากปากถ้ำ จู่ๆ แสงอาทิตย์สว่างจ้าก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกัน เสียงร้องโหนหวยของสัตว์ร้ายทั้งหมดก็กลับสู่ความเงียบสงบ

ตู้ม! พระสันตะปาปาก็เห็นดวงอาทิตย์สีขาวอยู่กลางท้องฟ้า พลังและแสงที่น่าเกรงขามก็บดบังแสดงของดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้า

ตู้ม! สายตาของเหล่ามหาจอมเวทตะลึงงันเล็กน้อย ขณะพวกเขามองออกไปยังชายทะเล ซึ่งดวงอาทิตย์ดวงใหม่โผล่ขึ้นบนท้องฟ้าทางฝั่งซ้ายของดวงอาทิตย์สีส้มยามเช้า!

ตู้ม! แอลถึงกับต้องยกมือขวาขึ้นปิดตา เขารู้สึกกลัวดวงอาทิตย์ดวงใหม่อย่างไม่มีเหตุผล

แต่หลังจากนาตาชากะพริบตาเพียงครั้งเดียว ดวงอาทิตย์ก็หายไป และภายนอกก็ยังคงมืดมิด ไม่เห็นดวงอาทิตย์ที่ร้อนแรงแม้แต่น้อย

เสียงร้องโหยหวนกลับมา แต่ตอนนี้พวกสัตว์ร้ายกำลังร้องด้วยความกลัว

เบเนดิกต์ที่สองกะพริบตา เมื่อเขาลืมตาขึ้นอีกครั้ง ดวงดาวก็ยังส่องแสงและกระจ่างชัดอยู่บนท้องฟ้ายามราตรี ราวกับว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเป็นเพียงภาพมายา

สายตาของเบเนดิกต์ที่สองจ้องมองออกไปยังขอบฟ้าไกล เขายังคงสงบนิ่งเป็นเวลานาน แม้เขาจะไม่เข้าใจสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น เขารู้สึกว่าหัวใจเต้นเป็นจังหวะหนักๆ

ณ หอคอยเวทมนตร์ริมฝั่งมหาสมุทร ดักลาสถามขึ้นด้วยความสงสัยกึ่งหนึ่งและความกังวลกึ่งหนึ่ง “หรือมีใครไขความลับของดวงอาทิตย์ได้แล้ว? แต่ทำไมเราถึงเห็นมันด้วย? โลกแห่งปัญญากึ่งสมบูรณ์อาจส่งผลต่อโลกภายนอกได้ก็จริง แต่นี่มันมากเกินไป…”

โลกแห่งปัญญากึ่งสมบูรณ์ของนักเวทที่ส่งผลต่อโลกจริงเป็นสัญญาณของการพัฒนาขึ้นระดับชั้นตำนาน

แฮททาเวย์ส่ายศีรษะ “อาจเป็นชั้นตำนานแล้ว จดจำโลกนี้ไม่เหมือนเดิม มีอะไรแปลกๆ จำกัดพลังวิญญาณ”

ดักลาสพยักหน้าเห็นด้วย แล้วเขาก็มองไปที่เฟอร์นันโดที่ไม่พูดอะไรสักคำ “นี่มันอะไรกัน เฟอร์นันโด?”

เจ้าแห่งวายุลูบคิ้วของเขา “ข้าคิดว่าน่าจะเป็นลูเซียน ข้าต้องตามหาตัวเขาเร็วที่สุด ตอนนี้ เขาอาจกำลังใกล้จะทำลายโลก”

ในฐานะผู้ฟังตัวยงของรายการเสียงแห่งอาร์คานา เฟอร์นันโดได้เรียนรู้วลีที่กำลังเป็นที่นิยมมาบ้าง

“เป็นไปได้” แฮททาเวย์พยักหน้า “แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”

“อย่างน้อยเราก็รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่” ดักลาสปลอบใจทุกคน

นาตาชาเห็นลูเซียนวางปากกาขนนกลง นางก็ถามขึ้นอย่างอ่อนโยน “โลกแห่งปัญญาของเจ้าสมบูรณ์แล้วใช่ไหม?”

“อืม ตอนนี้น่าจะใส่แหวนได้แล้ว” ลูเซียนตอบ เขายังรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งปัญญาของเขา

นาตาชาถอนหายใจด้วยความโล่งอกและถามด้วยความสงสัย “สูตรนั่นเกี่ยวกับอะไรหรือ?”

“โดยพื้นฐานแล้ว สูตรนี้พิสูจน์ว่าเวลาจะเดินช้าลงเมื่อเราเคลื่อนที่เข้าใกล้ความเร็วแสง ขณะเดียวกัน การหดตัวของอวกาศและการเพิ่มของมวล เมื่อมีการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง สูงมากๆ นาฬิกาจะเดินช้าลง และความยาวของวัตถุที่วัดได้จะสั้นลง…” ลูเซียนพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุด “และพลังงานสามารถเปลี่ยนเป็นมวล และมวลเป็นพลังงาน”

นาตาชาเข้าใจกฎพื้นฐานอยู่บ้าง แต่นางก็ยังสับสนและตกตะลึง “มันสัมพันธ์กันหรือ? แต่… แต่กาลและอวกาศไม่ควรเป็นอิสระจากกันนี่? ตามหลักการแล้ว อวกาศและกาลน่าจะเป็น…เรื่องของ ปริมาตร…”

ก่อนที่ลูเซียนจะเริ่มอธิบายต่อ นางก็รีบพูดขัดขึ้น “เอาให้เข้าใจง่ายๆ นะ ขอร้อง”

ลูเซียนคิดอยู่สักพักแล้วจึงตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังมากว่า “ง่ายๆ เลย มวลคือพลังงาน พลังงานคือมวล กาลคืออวกาศ และอวกาศคือกาล!”

เสียงร้องโหยหวยของสัตว์ร้ายที่อยู่ไกลออกไปยิ่งร้องครวญครางด้วยความทรมานมากยิ่งขึ้นๆ