บทที่ 498 ต้นแบบเวทมนตร์
นาตาชาเบะปาก นางเลือกจบหัวข้อการสนทนาอย่างชาญฉลาด ภารกิจการวิจัยซึ่งเพียงแค่บทนำสั้นๆ ก็ทำให้นางปวดหัวก็เหมาะสมแล้วที่จะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของจอมเวททำความเข้าใจ

นางมองลูเซียนตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วถามด้วยความอยากรู้และความกังวล “เจ้าสำเร็จอะไรอีกไหมนอกจากความสมบูรณ์ของโลกแห่งปัญญาระดับเก้า? ข้ารู้มาจากท่านยายแฮททาเวย์ และท่านแม่ของข้าว่าเมื่อมีผลวิจัยคล้ายๆ กัน โลกแห่งปัญญาจะมีปฏิกิริยากับกลไกที่เกี่ยวข้องในโลกแห่งความจริงและสร้างรูปแบบเวทมนตร์ที่แตกต่างไป เจ้าคงสร้างเวทมนตร์ใหม่ๆ บ้างแล้วสินะ? เกี่ยวกับกาลและอวกาศ มวลและพลังงานหรือเปล่า?”

การเปลี่ยนแปลงของโลกแห่งปัญญาเป็นสัญญาณหลักที่แสดงถึงความก้าวหน้าของนักเวทระดับสูง ปัญญาที่พิสูจน์แล้วเพียงครึ่งหนึ่งจะอยู่ในกลุ่มนักเวทอาวุโส ปัญญาที่พิสูจน์แล้วโดยสมบูรณ์จะอยู่ในกลุ่มผู้วิเศษ และปัญญาที่เป็นปึกแผ่นสมบูรณ์เพียงครึ่งหนึ่งและส่งอิทธิพลต่อโลกจริงผ่านทางภาพมายาสะท้อนจะจัดอยู่ในกลุ่มผู้มีพลังชั้นตำนาน

“ข้าได้ต้นแบบเวทมนตร์ชั้นตำนานมาสองแบบ เกี่ยวกับวิธีแปลงมวลเป็นพลังงาน” ลูเซียนเข้าใจว่านี่ยังไม่ใช่โครงสร้างเวทมนตร์ที่สมบูรณ์ของปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชัน ในทางกลับกัน ขณะที่โลกแห่งปัญญาของเขาเกี่ยวข้องกับโครงสร้างของกาลและอวกาศได้เปลี่ยนไป เขายังขาดทฤษฎีที่สามารถใช้งานกับโครงสร้างดังกล่าวได้ ลูเซียนทำได้ดีที่สุดแค่เพียงปรับปรุงเวทมนตร์ เช่น ‘เวทหยุดเวลา’ ไม่ซับซ้อนน้อยลงและศึกษาได้ง่ายขึ้น ทั้งนี้ การจะสำเร็จเวทมนตร์ชั้นตำนานที่สามารถควบคุมกาลและอวกาศจริงๆ ได้ เขาต้องรอจนกว่าจะสามารถทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปหรือทฤษฎีควอนตัมออกมาได้

อย่างไรก็ตาม ลูเซียนเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าถึงโครงสร้างของปฏิกิริยาฟิชชันและฟิวชันได้ ซึ่งเป็นเวทมนตร์ชั้นตำนานสองบทใหม่ เนื่องจากเขาเป็นคนที่เสนอแบบจำลองนิวเคลียสอะตอมและการสลาย เขายังเข้าใจเรื่องปรากฏการณ์ทั้งสองและปฏิกิริยาลูกโซ่ หากเป็นคนอื่น แม้จะสามารถสรุปสูตรพลังงาน-มวลได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ความรู้พื้นฐานที่จำเป็นก่อนและต้องทำวิจัยที่ประสบความสำเร็จเพื่อให้เกิดปฏิกิริยา

นาตาชาเกิดความสนอกสนใจขึ้นในทันที “เวทมนตร์ชั้นตำนาน? ไม่แปลกเลย… ลูเซียน เจ้าคิดจะตั้งชื่อว่าอะไร?”

การคิดค้นเวทมนตร์ชั้นตำนานเป็นเรื่องยากเสมอ เมื่อได้เห็นด้วยตาตัวเองก็ทำให้รู้สึกว่านางกำลังเป็นพยานรับรู้ช่วงเวลาประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะเมื่อผู้คิดค้นยังมีอายุอยู่ในช่วงยี่สิบปีเท่านั้น

“เด็กน้อยแห่งอีวานส์? พี่ใหญ่ไอวานแห่งลูเซียน?” ลูเซียนตอบออกมาอย่างสบายอกสบายใจ

ตามรูปแบบเวทมนตร์ที่ยังไม่สมบูรณ์ เวทมนตร์ปฏิกิริยาฟิวชันในตอนนี้ต้องใช้ผู้มีพลังชั้นตำนานสูงสุดเพื่อสร้างเวทมนตร์ภายในวิญญาณโดยไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อการใช้งาน ยิ่งเขาคุ้นเคยกับมันมากเท่าไร เขายิ่งเข้าใจมันมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเวทมนตร์มีพลังมากขึ้นเท่าไร เงื่อนไขที่ต้องใช้ก็ยิ่งน้อยลงเท่านั้น อย่างไรก็ตาม แม้หลังจากเขาจะเข้าใจมันอย่างสมบูรณ์ เวทมนตร์นี้ก็จะต้องได้รับการเผยแพร่ผ่านทางนักเวทซึ่งมีพลังอย่างน้อยอยู่ในชั้นตำนานระดับสองผ่านทางเวทมนตร์ภาพสะท้อนมายาระยะไกล ส่วนขยายเวทมนตร์ การสลายเวทมนตร์ และการใช้งานวัสดุบริสุทธิ์

ในทางกลับกัน เวทมนตร์ปฏิกิริยาฟิชชันน่าจะสามารถสร้างขึ้นโดยผู้มีพลังชั้นตำนานระดับหนึ่ง หลังจากผ่านการวิเคราะห์ผ่านการทดลองและเวทมนตร์อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว หากมีวัสดุบริสุทธิ์ ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสที่ผู้มีพลังระดับเก้าจะสามารถใช้งานเวทมนตร์ได้ เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ลูเซียนก็อดที่จะจินตนาการไม่ได้ “ข้าสงสัยว่าเวทมนตร์ฟิวชันจะสร้างฮีเลียมแฟลชหรือแสงวาบรังสีแกมมาได้หรือไม่ ถ้าพัฒนาขึ้นเกินกว่าระดับมนุษย์กึ่งเทพ นั่นจะสามารถทำลายโลกได้จริงๆ…”

เมื่อได้ยินทั้งสองชื่อ นาตาชาก็มีสีหน้าบึ้งตึงกับความคิดของลูเซียนในทันที “ข้าไม่คิดว่าสองชื่อนี้เป็นชื่อที่ดีนะ มันเหมือนจะบอกถึงสองสถานะของวัตถุชิ้นเดียวกัน เจ้าน่าจะต้องเปลี่ยนชื่อใหม่นะ”

ลูเซียนรู้สึกละอายขึ้นมาทันที นาตาชามี ‘ความเป็นสุภาพบุรุษ’ ตามที่เขาคิดไว้จริงๆ เขาโบกมือก่อนที่จะตอบว่า “รูปแบบเวทมนตร์ยังไม่สมบูรณ์ ไว้ค่อยคิดชื่อทีหลังพอเวทมนตร์สมบูรณ์เถอะ”

“ก็ได้ แต่ข้าจะมาช่วยเจ้าตั้งชื่อหนึ่งในเวทมนตร์ชั้นตำนานนี้ ข้าเก่งเรื่องคิดคำนะ!” นาตาชาตัดสินใจรับหน้าที่ที่น่าสนใจนี้ไป แม้นางจะใจดีพอที่จะปล่อยให้ลูเซียนได้ตั้งอีกชื่อที่เหลือ “เอาล่ะ แล้วเวทมนตร์ใหม่นี้เป็นแบบไหน?”

ลูเซียนอธิบายเวทมนตร์ให้ฟังคร่าวๆ ขณะที่นางฟัง นาตาชาถึงกับต้องหันหลังกลับไปมองที่ความมืดมิดภายนอกถ้ำ ด้วยความตกตะลึง นางอุทานออกมาด้วยน้ำเสียงดีใจ “เจ้าน่าจะได้รับชื่อเหมือนกับพวกเทพแห่งดวงอาทิตย์ หรือเพลิงนิรันดร”

“ข้าไม่คิดว่าจะทำสำเร็จ แม้ข้าจะพัฒนาถึงระดับพระเจ้าแห่งสัจธรรม…” ลูเซียนตอบตรงๆ และชักจูงทัศนคติทางศาสนาของนาตาชาต่อ เขาพยายามทำให้พระเจ้าของนางล่าถอยไปสู่ขอบเขตพลังแห่งวิญญาณจริงๆ นี่เป็นงานที่ยากลำบากและใช้เวลายาวนานซึ่งเกี่ยวข้องกับความสุขในอนาคตของเขา ลูเซียนจะไม่ปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดมือไป

นาตาชาคิดอย่างรอบคอบอยู่สักพักหนึ่ง “พลัง ‘พระเจ้าเสด็จ’ ยังห่างไกลจากแนวคิดสุดยอดที่เจ้าเพิ่งอธิบาย แต่ว่านะ อาจเป็นเพราะพลังถูกเก็บและควบคุมอย่างถูกต้อง น่าเสียดาย ‘เวทเด็กน้อย’ ของเจ้ายังไม่สมบูรณ์ แล้วเราไม่มีวัสดุเวทมนตร์ที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพพอ มิฉะนั้น เราน่าจะวางกับดักเวทมนตร์คำสาปไว้บนพื้นผิวและด้านล่างของระเบิดนิวเคลียร์ แล้วเราก็จะมีโอกาสฆ่าเทพอสูร-ลิชมากขึ้นกว่าเดิมด้วยพลังจากแหวนคอนกัส”

จนถึงตอนนี้ นางก็เอ่ยถึงเวทมนตร์ชื่อต่างๆ ที่ลูเซียนนึกขึ้นมาได้

“เรื่องราวไม่เคยราบรื่นอย่างที่เราจินตนาการไว้หรอก นอกจากนี้ แม้ว่าโลกแห่งปัญญาของข้าจะเป็นปึกแผ่นแล้ว แต่พลังวิญญาณของข้ายังอยู่ในระดับเจ็ด และข้ายังเป็นแค่นักเวทระดับเจ็ดครึ่งซึ่งยังไม่ได้สร้างเวทมนตร์ระดับเจ็ดเลย พลังวิญญาณของข้ายังไม่ใกล้เคียงกับระดับเก้า แม้จะพัฒนาขึ้นมากแต่ก็เป็นเพราะพลังจากมนุษย์ครึ่งเทพสองตนนี้ ข้าประเมินว่าพลังวิญญาณจะพัฒนาถึงระดับแปดได้ก็ต้องใช้เวลาอีกหนึ่งอาทิตย์อย่างเร็วที่สุด และจะใช้เวลาอีกหลายปีก่อนที่จะพัฒนาถึงระดับเก้า”

ลูเซียนประเมินสถานะของเขาตามความเป็นจริงโดยไม่ได้รู้สึกไม่พอใจ เขากล่าวขึ้นพร้อมกับรอยยิ้ม “จุดประสงค์แรกของเราก็คือใส่ ‘แหวนคอนกัส’ เพื่อเพิ่มโอกาสรอดชีวิต เนื่องจากเราบรรลุจุดประสงค์นี้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจ”

แม้มีโอกาสเป็นไปได้ที่คอนกัสจะหัวระเบิดตาย หาก ‘โยน’ บทความชิ้นนี้ใส่เขา แต่ลูเซียนก็เชื่อว่าคอนกัสคงได้บทเรียนแล้วว่าเขาไม่ควรอ่านหรือหยิบข้าวของของลูเซียนโดยไม่ระมัดระวัง หลังจากถูกเล่นงานไปแล้วถึงสองครั้ง

ขณะกำลังอธิบาย ลูเซียนก็สวมแหวนเหล็กสีดำที่มีลวดลายโบราณ

จังหวะที่แหวนสัมผัสกับเนื้อของเขา แหวนก็เริ่มดูดพลังวิญญาณของลูเซียนอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่พลังวิญญาณของเขาสูญสลายไปอย่างรวดเร็ว โลกแห่งปัญญาของเขาก็เริ่มสั่นไหวเบาๆ แต่อวกาศที่เป็นปึกแผ่นและภาพมายาสะท้อนก็ช่วยเพิ่มพลังวิญญาณของเขาอย่างรวดเร็วและชะลอกระแสการดูดพลังให้ช้าลง

หลังจากผ่านไปสองสามวินาที การดูดพลังอย่างบ้าคลั่งก็ช้าลง พื้นผิวสีดำของแหวนเริ่มจางหายจากความสลัวก่อนหน้าและปล่อยสีต่างๆ บนโลหะแปลกประหลาดที่เยือกเย็น

ลูเซียนขยับตัวและอุทานด้วยความประหลาดใจ “พลังต้านเวท พลังป้องกันสุขภาพและกายภาพ และพลังงานอื่นๆ ที่ ‘แหวนคอนกัส’ พัฒนา สามารถใช้ร่วมกับพลังของอุปกรณ์เวทมนตร์อื่นๆ ได้ ถ้าอุปกรณ์พวกนั้นไม่ได้มีพลังเกินขีดจำกัด แหวนวงนี้คือ ‘อุปกรณ์เทพ’ ของแท้!”

เมื่อเป็นเช่นนั้น แม้ว่าลูเซียนยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงระดับพลัง เขาก็จะมีพลังต้านทานเวทมนตร์ถึงระดับแปดและศักยภาพร่างกายระดับอัศวินระดับห้า

“ยังทำให้เวทมนตร์หลายบทเสื่อมและอ่อนกำลังลง” นาตาชาสังเกตดู ‘แหวนคอนกัส’ ด้วยความอัศจรรย์ใจ

ลูเซียนส่ายศีรษะพร้อมกับรอยยิ้ม “การทำให้เวทมนตร์เสื่อมไม่ค่อยได้ผลและหลบเลี่ยงได้ สมมติว่ามีเวทมนตร์ที่ปองร้ายต่อสภาพแวดล้อม แทนที่จะเป็นตัวข้า และทำให้ข้าบาดเจ็บจากกการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม พอหลังจากใส่แหวนแล้ว ข้าก็ไม่สามารถร่ายเวทป้องกันต่ำกว่าระดับเก้าให้ตัวเองได้ แต่ว่า เวทมนตร์ที่เตรียมไว้แล้วจะไม่ได้รับผลกระทบ ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์จริงว่าควรจะใส่แหวนวงนี้หรือไม่?”

“สรุปแล้ว เจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ชั้นตำนานได้แล้ว เราจะไม่สิ้นหวังเหมือนก่อนถ้าเราต้องเจอกับเทพอสูร-ลิช แล้วเราจะไปที่ไหนต่อ?” แม้จะเพิ่งเที่ยงคืนเท่านั้น และยังมีเวลาเหลืออีกหนึ่งวันก่อนที่เทพอสูร-ลิชจะกลับมา นาตาชาก็รู้ดีว่ายิ่งทั้งสองคนเตรียมตัวดีมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความหวังมากเท่านั้น

ลูเซียนลูบแหวนและตอบออกมา “เวทมนตร์ชั้นตำนานหนึ่งบทก็พอที่จะใช้พลังทั้งหมดของแหวนนี้ รวมถึงพลังวิญญาณของข้าด้วย ฉะนั้น เราต้องหาโอกาสที่ดีที่สุด ตอนนี้ เราไปที่หุบเขาความตายหาตัวแอลกันเถอะ”

“เจ้าใส่แหวนแล้วไม่ใช่หรือ? เรายังจำเป็นต้องจับตัวแอลอีกงั้นหรือ?” นาตาชาค่อนข้างสับสน

ลูเซียนยิ้ม “แอลมีบางอย่างผิดปกติ เราต้องสืบดูเผื่อมีอุบัติเหตุ และจริงๆ ก็เป็นเพราะข้าสวมแหวนเราจึงต้องจับตัวแอล เทพอสูร-ลิชคงยังไม่เห็นว่าข้าทำให้โลกแห่งปัญญาเป็นปึกแผ่นและสวมแหวนได้เร็วขนาดนี้ แล้วถ้าเขาเห็นเราอยู่กับแอล เจ้าคิดว่าเขาจะกลัวใครมากกว่ากัน?”

เนื่องจากอัลเทอร์นาและสิ่งมีชีวิตปริศนาจากโลกแห่งวิญญาณยังผนึกอยู่ในตัวเขา ลูเซียนจึงเด็ดเดี่ยวมากพอที่จะวางกับดักล่อนักเวทชั้นตำนาน มิฉะนั้นแล้ว ก็เป็นไปได้ที่เทพอสูร-ลิชจะสัมผัสได้ถึงอันตรายตั้งแต่จังหวะที่เขาวางแผนแล้ว เหมือนกับเจ้าแห่งผีดิบ

“เจ้าเล่ห์เหลือเกิน” นาตาชาสังเกต

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” ลูเซียนเก็บโต๊ะแร่แปรธาตุและบทความ เขากำลังจะเริ่มออกเดิน เมื่อเขาคิดอะไรขึ้นมาได้บางอย่าง “นาตาชา เจ้าบอกว่าข้าทำให้เกิดเสียงดังสนั่นใช่ไหม?”

นาตาชาพยักหน้ายืนยัน “ตอนที่เจ้าเขียนบทความอยู่ เหมือนมีความรู้สึกอ่อนๆ ว่ากาลและอวกาศเปลี่ยนแปลง แล้วตอนที่เจ้ากำลังจะเขียนเสร็จ ดวงอาทิตย์ดวงใหม่โปร่งใสขึ้นท่ามกลางความมืดภายนอก ส่องแสงแผดเผาดูน่ากลัว สัตว์ประหลาดและสัตว์ร้ายต่างก็กลัวกันทั้งนั้น พวกมันยังร้องอยู่จนถึงตอนนี้ แม้มันจะใช้เวลาเพียงหนึ่งหรือสองวินาที แต่ข้าก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่ภาพมายา”

“เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ลูเซียนถามด้วยความประหลาดใจ ปรากฏการณ์นี้บอกถึงความเป็นปึกแผ่นครึ่งหนึ่งของโลกแห่งปัญญาเพิ่งเริ่มส่งผลกระทบต่อโลกภายนอกไม่ใช่หรือ? แต่เขายังห่างไกลจากการเป็นนักเวทชั้นตำนาน

เขาพยายามตีความความเข้าใจของเขาให้กับนาง ลูเซียนมองนาตาชาด้วยท่าทีสับสนแล้วหวังว่านางจะสามารถเข้าใจ

นาตาชามองลูเซียนอย่างสิ้นหวัง “ข้ากลัวสิ่งที่เห็นมาก แต่บางทีอาจเป็นเพราะโลกนี้ไม่เหมือนใคร จนแม้แต่พลังวิญญาณและอำนาจจิตก็ถูกกดไว้”

“บางที…” ลูเซียนพิจารณาถึงความเป็นไปได้ แต่ก็ยังคิดไม่ออก ในขณะเดียวกันนั้น เขาก็สังเกตเห็นแสงสุกสกาวจากพลังเทวภาพของเทพอาซินบนแขนซ้ายของนาตาชา เขากำลังจะอ้าปากพูด แต่เขาก็ตัดสินใจไม่เตือนนางและรอให้มันสลายไปเอง

ในทางกลับกัน นาตาชาสังเกตเห็นภาพในตาของลูเซียน นั่งหันกลับไปและมองดูแขนซ้ายของตัวเอง “นี่พลังพระสิริพระเจ้างั้นหรือ?”

“เจ้าเห็นหรือ?” ลูเซียนประหลาดใจเข้าไปใหญ่

นาตาชากะพริบตา และไม่เข้าใจว่าทำไมลูเซียนถึงต้องประหลาดใจมากนะ นางจึงพูดออกมาอย่างไร้เดียงสา “ข้าก็เห็นมาตลอด แล้วคนอื่นก็เห็นเหมือนกันนี่ มีอะไรหรือเปล่า?”

“ไม่ปกติ ในโลกหลัก คนที่ไม่มีวิธีการหรืออุปกรณ์พิเศษจะไม่สามารถเห็นพลังพระสิริของพระเจ้า” ลูเซียนเชื่อว่านาตาชาไม่ได้โกหกเขา แล้วแอลก็มอบกล่องกักพลังเทพตั้งแต่แรกๆ ก็เพราะฟรานซิส เจคอป และพวกอัครทูตที่เหลือไม่สามารถสัมผัสถึงพระสิริของพระเจ้า เพราะพวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้?

“บางที คงเป็นเพราะโลกนี้ไม่เหมือนที่อื่น” นาตาชาเสนอเหตุผลเดิม นางไม่เก่งเรื่องพวกนี้จริงๆ

ลูเซียนเดินวนไปวนมา “โลกนี้ไม่เหมือนที่อื่น… ตามสมมติฐานของข้าแล้ว พระสิริของพระเจ้าก็คือการรวมตัวของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า แล้วคนที่ไม่เคยฝึกฝนมาจะมองเห็นได้อย่างไร?”

ทันใดนั้นเอง ลูเซียนก็เกิดความคิดขึ้นมา “บางที คงเป็นเพราะสนามแม่เหล็กไฟฟ้าในร่างกายและวิญญาณสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญาในโลกนี้ค่อนข้างแตกต่างจากโลกหลัก ทำให้พลังศรัทธาแข็งแกร่งและแผ่กระจายออกไปได้ง่ายกว่า และเพราะเทพเจ้าเทียมเท็จที่นี่ไม่ได้มีหลักคำสอนหรือพิธีกรรมเป็นพิเศษ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพิเศษซึ่งก็คือ ‘พลังความเชื่อ’ จึงรั่วไหลและกระจายตัวไปในอากาศได้เป็นส่วนใหญ่ ทำให้เกิดการปนเปื้อนแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างหนัก ซึ่งกดทับพลังวิญญาณที่น่าจะเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หมายความว่าการปล่อยอำนาจจิตก็ต้องอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าใช่หรือไม่?”

“ด้วยตรรกะเดียวกันนี้ เพราะคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าพิเศษของ ‘ความถี่’ ต่างๆ ที่ปกคลุมไปทั่ว พลังเทวภาพก็จะมี ‘ปฏิกิริยา’ กับอวัยวะของพวกเขา ทำให้เกิดแสงสว่างเรืองรอง เพราะฉะนั้นคนธรรมดาถึงมองเห็นได้ ตอนที่โลกแห่งปัญญาของข้าเปลี่ยนแปลง ก็มีผลสะท้อนกลับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในโลกภายนอกและก่อให้เกิดภาวะผิดปกติดังกล่าว”

“อย่างไรก็ตาม แล้วเรื่องภาพมายาสะท้อนและปฏิกิริยาของโลกจริงล่ะ และรูปแบบแว่นใหม่ล่ะ? บางที ข้อสันนิษฐานของข้าก่อนหน้านี้อาจเป็นความจริงส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”

ขณะมองดูแววตาที่เป็นสมาธิและรับฟังคำพูดพึมพำของลูเซียน นาตาชาก็ปลอบใจเขาด้วยรอยยิ้ม “นี่ต้องเป็นปริศนาระดับสูงสุด และคงไม่สามารถไขปริศนาได้ในทันที ค่อยๆ คิดไป เราค่อยจับตัวสิ่งมีชีวิตที่ชาญฉลาดและศึกษาความแตกต่างในสนามแม่เหล็กของมันภายหลังก็ได้”

“เทพอสูร-ลิชคือเรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้” ลูเซียนหยุดคิดและส่งสัญญาณบอกนาตาชาให้ออกเดินทางไปยังหุบเขาแห่งความตายพร้อมกัน

ตอนนั้นเอง นาตาชาก็หัวเราะออกมาอย่างกับสุนัขจิ้งจอก “ข้าคิดอะไรออกแล้ว อาซิน ‘เทพแห่งความรักและความงาม’ ดูเหมือนจะเป็นเซนทอร์ตัวผู้มาก่อน เห็นได้จากศพของเขา แต่ว่าหลังจากเขาสูญสิ้นพลังเทวภาพไป เขาก็กลับมาเป็นหญิงงาม”

ขณะกำลังกล่าว นางก็ลูบ ‘พระสิริของพระเจ้า’ บนแขนซ้ายของนาง แม้ว่านางจะไม่ได้รู้สึกอะไร

“ความคิดเข้าท่า” ลูเซียนมองนางด้วยความเคารพ

นาตาชาหัวเราะเสียงแหลมแล้วตอบว่า “ข้าดูเหมือนเด็กหญิงซื่อบื้อหรือไง? พลังเทวภาพขัดแย้งกับโลกแห่งปัญญาของเจ้า ข้าจะใช้ได้อย่างไรถ้ามันทำร้ายเจ้า? ฮ่าๆ ข้าต้องขอให้ท่านยายแฮททาเวย์สร้างอุปกรณ์วิเศษที่มีพลังเทวภาพ เจ้าคิดว่าข้าควรทำต่างหู แหวน หรือเข็มขัด รัดเกล้า หรือกระโปรงยาวดี?”

“ดาบยาว” ลูเซียนตอบโดยไม่แสดงอารมณ์ออกมา

นาตาชาถามด้วยความประหลาดใจ “ทำไมล่ะ?”

“ดาบยาวที่ล้อมด้วยพลังเทวภาพของเทพเจ้าเทียมเท็จระดับอาวุโสจะใช้ได้โดยอัศวินอาภาและอัศวินธรรมดาผู้มีพรสวรรค์เท่านั้น ดังนั้น คงไม่มีใครบังเอิญหยิบมันไป” ลูเซียนยังพูดต่ออย่างไร้อารมณ์

นาตาชาหัวเราะเสียงแหลมก่อนตอบ “เข้าท่าดีนี่ เจ้าว่าควรจะตั้งชื่อว่าอะไร?”

ลูเซียนคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วจึงตอบด้วยอารมณ์ขบขัน “น่าจะชื่อ ‘ดาบแห่งสัญญาและชัยชนะ’ เมื่อใดก็ตามที่ชายหนุ่มดึงดาบยาวเล่มนี้ออกมา ชะตาชีวิตของเขาจะเปลี่ยนไป”

แล้วเขาก็ไม่สนใจท่าทีงงงวยของนาตาชา ลูเซียนเดินออกจากถ้ำไป