ส่วนที่ 4 ตอนที่ 2

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

คนที่มีอิสระ

 

 

 

รถม้าวิ่งไปตามถนนใหญ่ ทำให้เกิดฝุ่นลอยฟุ้งตลบเป็นระยะๆ หลังจากภัยพิบัติจากตั๊กแตนผ่านไป ในแดนกวนจงก็ไม่มีฝนตกอีกเลย รวงข้าวในท้องนาใบหงิกงออย่างไร้ชีวิตชีวา เมื่อเห็นสภาพเช่นนี้แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็คงต้องโดนแสงอาทิตย์ที่ร้อนระอุเผาจนเ**่ยวเฉา ในร่องนามีผู้หญิงและเด็กกำลังตักน้ำรดอยู่ในทุ่งนา เทลงไปทีละกระบวยๆ เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ซึมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้านหลังเพิ่งจะรดน้ำเสร็จ ที่นาด้านหน้าที่เพิ่งจะรดไปก็ยังคงอ้าปากอันแห้งเผือดอยู่ ภัยพิบัติเพิ่งจะผ่านพ้นไป ก็เกิดความแห้งแล้งขึ้นสวรรค์ที่โหดร้ายจะคร่าชีวิตกันเลยหรืออย่างไร

 

 

สวี่จิ้งจงกลับรู้สึกสบายใจ ดูจากหลายวันที่ผ่านมานับตั้งแต่ที่ออกจากฉางอันอวิ๋นเยี่ยไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าเขา เพียงแค่ต้องการให้ตัวเขาอยู่ข้างกายเพื่อคอยเฝ้าดู ไม่อยากให้ตัวเองไปทำให้สำนักศึกษาเสียหาย อย่างไรเสียข้าสวี่จิ้งจงก็เป็นแค่หนอนหนังสือที่ร่ำเรียนมาอย่างยากลำบากคนหนึ่ง ทำไมต้องระแวดระวังข้าถึงเพียงนี้ หรือจะบอกว่าเจ้าสามารถอ่านใจข้าได้?

 

 

มองจากอวิ๋นเยี่ยที่สวมหมวกฟางที่อยู่ไกลๆ สวี่จิ้งจงได้แต่สะกดความสงสัยในใจไว้และตามขบวนกองทัพเร่งเดินทางต่อไป

 

 

เหล่าหนิวหยิบถุงหนังใส่น้ำออกมาและดื่มน้ำไปหนึ่งอึกและสั่งให้นายพันเร่งการเดินทาง ไม่เช่นนั้นคืนนี้คงไม่สามารถไปถึงค่ายพักแรมได้ การเป็นแม่ทัพใหญ่มานาน ประสบการณ์ในการเดินทัพย่อมต้องเชี่ยวชาญเป็นธรรมดา ตอนนี้สภาพอากาศร้อนอบอ้าว คาดว่าอีกไม่นานก็จะมีฝนตกหนัก ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเดินทัพ แต่เป็นข่าวที่ดีที่สุดสำหรับต้นกล้าที่อยู่ในท้องนา

 

 

“ท่านลุงหนิว เป้าหมายของพวกเราคือเมืองซั่วฟางพวกเราจะถึงเมื่อไหร่ หลานจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” อวิ๋นเยี่ยแกะผ้าขนหนูที่คอออกและนำมาเช็ดเหงื่อพลางบ่นอุบ

 

 

“ใครใช้ให้เจ้านำของมามากมายก่ายกองเพียงนี้ พวกเราไปทำสงคราม ไม่ได้ไปท่องเที่ยว นำสมุนไพรมาก็ยังพอเข้าใจ ทำไมต้องนำเครื่องปรุงมามากมายเช่นนี้ เมื่อไหร่ที่ปากของเจ้าจะสามารถปรับให้เข้ากับมื้ออาหารบ้านๆ ของกองทัพได้กัน

 

 

การเดินทางไปซั่วฟางคราวนี้ยังต้องใช้เวลาอีกสิบวัน เจ้าค่อยๆ อดทนไปเถอะ เมืองซั่วฟางเพิ่งจะสงบลงเมื่อปีที่แล้ว ไฉเซ่า เซวียว่านเช่อฆ่าชาวเผ่าหูในเมืองจนเกือบจะหมดอยู่แล้ว ตอนนี้แม้แต่วิญญาณก็มีให้เห็นไม่มาก เจ้ายังคิดจะทำการค้าอีกหรือ”

 

 

“หลานก็ไปเพื่อเป็นผู้ทำการเก็บกวาด สิ่งที่ทางกองทัพไม่ต้องการก็มอบให้หลาน ถึงตอนนั้นจะเกิดประโยชน์ที่ท่านเองก็คาดไม่ถึง”

 

 

“ถุย! เจ้าหนุ่มเจ้าถึงกับคิดจะติดสินบนข้า ประเดี๋ยวฆ่าทิ้งเสียเลย เจ้าคิดว่าด้วยเงินเพียงน้อยนิดของเจ้าสามารถทำให้ข้าหวั่นไหวได้หรือ” เหล่าหนิวเริ่มโกรธเล็กน้อย

 

 

 “การติดสินบนท่านเพียงคนเดียวจะมีประโยชน์อะไร ข้าตั้งใจจะติดสินบนทั้งกองทัพของถนนทางเหนือ รวมแล้วสองหมื่นคน แต่ละคนให้คนละเล็กน้อย ไม่เชื่อว่าจะมีเรื่องที่ข้าทำไม่ได้”

 

 

“ห้ามเจ้าทำเหลวไหล!” เหล่าหนิวร้อนรน เมื่ออวิ๋นเยี่ยพูดเช่นนี้ก็จะทำเช่นนี้ ไม่แน่ว่าอาจจะสำเร็จก็ได้ ถ้าหากเป็นเพราะผลกำไรเล็กๆ น้อยๆ แต่มีผลกระทบต่อการยกทัพปราบปรามชาวเผ่าทูเจวี๋ย แม้เขาตายร้อยครั้งก็ยากที่จะไถ่ถอนความผิดได้ ถึงตอนนั้นคงห่างจากโทษประหารทั้งตระกูลไม่ไกลแล้ว

 

 

“ท่านวางใจได้ เรื่องที่ข้าทำจะเพิ่มกำลังรบให้กับกองทัพเท่านั้น จะไม่ทำลายกำลังรบอย่างเด็ดขาด หลานเพียงแต่จะหาเสบียงอาหารของกองทัพขายให้กับท่านแม่ทัพเท่านั้น จากนั้นช่วยเหล่าพลทหารนำเศษเงินในมือของพวกเขาส่งกลับคืนไปที่บ้าน ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย เหตุใดจะไม่ทำ”

 

 

“เสบียงกองทัพ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะหาเสบียงกองทัพได้ ตอนนี้เมืองซั่วฟางอยู่ห่างไกลจากเขตกวนเน่ยเต้า[1]มาก การขนส่งเสบียงกองทัพไม่ใช่เรื่องง่าย ความเสียหายยิ่งสูงจนน่าตกใจ เสบียงอาหารสิบส่วนเมื่อขนส่งไปถึงที่นั่นเหลือไม่ถึงสามส่วนเสียด้วยซ้ำ ส่วนที่เหลือนั้นก็สูญเสียไประหว่างขนส่ง หากเจ้าสามารถทำได้ ก็ถือเป็นผลงานครั้งใหญ่ของเจ้า” เมื่อเหล่าหนิวได้ยินเรื่องนี้ก็เริ่มมีความคิดที่จะการค้าขึ้น เขาไม่สนใจว่าอวิ๋นเยี่ยจะเอาเสบียงมาจากที่ไหน ขอเพียงกองทัพมีเสบียง หลี่จิ้งก็ไม่ต้องไปยังหม่าอี้เพื่อขอเสบียงแล้ว ซึ่งนี่เป็นผลดีต่อกองกำลังต้าถังที่ต้องการจู่โจมตีในทันที อย่างไรเสียเมืองซั่วฟางก็อยู่ใกล้เมืองเซียงเฉิงมากกว่าเมืองหม่าอี้ ประเด็นสำคัญคืออย่าได้รีบเข้ายึดเอ้อหยางหลิ่ง สิ่งนี้เป็นตัวแปรที่สำคัญซึ่งจะต้องดำเนินการอย่างจริงจัง

 

 

“เจ้าหนุ่ม เจ้าจะไปหาเสบียงออกมาจากส่วนไหน พูดมาให้ข้าฟังก่อน ข้าจะได้คิดพิจารณาสักหน่อย”

 

 

อวิ๋นเยี่ยหยิบของลักษณะสี่เหลี่ยมหนึ่งก้อนออกมาจากกระเป๋าแล้วส่งให้เหล่าหนิว แสดงเจตนาให้เขาชิม

 

 

เหล่าหนิวเปิดสิ่งของที่ห่อด้วยใบบัวออกยกขึ้นดมกลิ่ม กลิ่นหอมของต้นหอมลอยเข้าจมูก เมื่อกัดหนึ่งคำรู้สึกถึงรสหวานหอมในรสเค็ม รสชาติไม่เลว ด้านในดูเหมือนจะเนื้อบดอยู่ หลังจากกินหมดในไม่กี่คำ ก็รู้สึกกระหายน้ำ หลังจากดื่มน้ำคำโตไปหลายอึก พบว่าท้องที่เมื่อครู่ยังส่งเสียงร้องอยู่ตอนนี้กลับไม่รู้สึกหิวเลยแม้แต่น้อย เขาหันกลับมามองอวิ๋นเยี่ยด้วยความประหลาดใจและถามว่า “นี่คืออาหารอะไร เพียงแค่ชิ้นเล็กๆ ก็สามารถทำให้อิ่มท้องได้”

 

 

“ข้าทำของสิ่งนี้เพียงจำนวนหนึ่งก่อนออกเดินทาง ใช้ถั่วเหลือง ข้าวเดือย แป้ง น้ำตาล เกลือและที่สำคัญที่สุดคือหลานเพิ่มตั๊กแตนป่นเข้าไปจำนวนมาก จากนั้นนำส่วนผสมเหล่านี้ไปนึ่งและใช้หินก้อนใหญ่กดทับให้เป็นรูปและนำไปอบแห้งก็จะกลายเป็นสิ่งนี้ ท่านคิดว่าอย่างไร” อวิ๋นเยี่ยกำลังยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ เขาเดินทางไปแนวหน้าครั้งนี้ ไม่ได้ไปแสดงแสนยานุภาพในสนามรบ สิ่งนั้นอยู่ในขอบเขตความสามารถของเฉิงฉู่มั่ว สำนักศึกษาพัฒนามาถึงตอนนี้ มันถึงจุดคอขวดแล้วจุดที่เล็กที่สุดของคอขวดก็คือไม่มีนักเรียนและมีอาจารย์ไม่เพียงพอ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีชื่อเสียงไม่มากพอที่จะสนับสนุนในการพัฒนาของสำนักศึกษา หลี่กังได้พยายามสุดความสามารถแล้ว แม้แต่การใช้ความสัมพันธ์ที่เป็นไม้ก้น**บก็นำออกมาใช้แล้ว จึงได้มีสภาพดังปัจจุบัน ถ้าหากตัวเขายังมีชื่อเสียงไม่เพียงพอและหลี่กังจากไปแล้ว สำนักศึกษาก็จะตกอยู่ในสถานการณ์แตกแยกกระจัดกระจายที่น่าสลดใจเพราะหวาดกลัวพวกเขา

 

 

“ตอนออกเดินทางทำไมจึงไม่บอก เจ้าไม่รู้หรือว่านี่เป็นโทษหนักที่ทำให้การศึกหน่วงเหนี่ยวล่าช้า” เหล่าหนิวสีหน้าแดงก่ำ เขาไม่สนใจเสียหน่อยว่าในขนมนี้จะใส่ตั๊กแตนป่นมากเท่าไร เขาสนใจเพียงแต่ว่าสามารถทให้อิ่มท้องได้หรือไม่เท่านั้น สนใจเพียงว่าทำไมเรื่องสำคัญเช่นนี้อวิ๋นเยี่ยกลับรอจนถึงตอนนี้จึงค่อยบอก

 

 

“ท่านไม่ใช่ไม่รู้ว่าการเลือกซื้อเสบียงกองทัพนั้นเข้มงวดเพียงไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเสบียงใหม่ หากยังไม่ได้ผ่านการทดสอบ ตระกูลอวิ๋นจะกล้าขายให้กับกองทัพเป็นการส่วนตัวได้อย่างไร ก้อนที่ท่านกินนี้เป็นของที่ข้าทำเองและเตรียมไว้กินเอง ท่านอย่าได้เอาโทษหนักเช่นนี้มอบมาให้ข้าอย่างเด็ดขาด ข้าขี้ขลาดรับความตกใจมากไม่ได้” เหล่าหนิวพลั้งปากพูดไม่คิด ใช้กฎทางทหารมาขู่เขาอีกแล้ว อวิ๋นเยี่ยก็เก็บความอัดอั้นตันใจไว้เต็มอก สำนักศึกษาของเขาอยู่ดีๆ แท้ๆ แต่กลับยัดเยียดหนอนเน่ามาหนึ่งตัว ไม่ได้คิดบัญชีกับหลี่ซื่อหมินและยังต้องทำประโยชน์ให้แก่เขาอีก

 

 

“อารมณ์เสียแล้วใช่ไหม กล้าพูดเช่นนี้กับผู้ใหญ่ หากไม่เห็นแก่ที่ตอนนี้เจ้าได้หมั้นหมายแล้ว ไม่แน่ว่าข้าจะต่อยเจ้าอีกรอบ”

 

 

“ท่านวางใจ ผู้หญิงและเด็กที่บ้านกำลังทำของสิ่งนี้ทั้งกลางวันและกลางคืน หลังจากนี้อีกระยะหนึ่งไม่แน่ว่าจะส่งมายังเมืองซั่วฟาง หลานก็เพียงแค่ระบายอารมณ์ไปเรื่อยเปื่อย จะไม่ทำให้งานใหญ่ล่าช้าแน่นอน ในความคิดหลานมีเพียงเรื่องที่เกี่ยวพันถึงสำนักศึกษาเพียงอย่างเดียวจึงจะถือเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอื่นยังไม่คู่ควรให้พูดถึง” อวิ๋นเยี่ยรู้สึกเหนื่อยล้าจากการถูกผู้อื่นหลอกใช้ไปมา แม้ว่าจะมีคำพูดที่โด่งดังในยุคปัจจุบันที่ว่า การที่คุณถูกคนอื่นหลอกใช้นั่นพิสูจน์ว่าคุณยังคงมีคุณค่าในการใช้งาน หากไม่มีใครหลอกใช้นั่นจึงจะเป็นเรื่องน่าเศร้า ประโยคที่พูดเหมือนผายลมนี้ อวิ๋นเยี่ยเคยมองว่าเป็นความจริง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าประโยคนี้โง่เป็นที่สุด

 

 

“เจ้าหนุ่ม ระวังตัวด้วย ความคับแค้นใจในใจเจ้าพูดต่อหน้าข้า ระบายออกมาบ้างก็ไม่เป็นไร หากอยู่ต่อหน้าสาธารณะอย่าได้พูดเหลวไหลเป็นอันขาด เมื่อใส่หน้ากากแล้วก็อย่าได้คิดจะถอดออก ในเมื่อเจ้าได้เตรียมการไว้แล้วข้าพร้อมจะรับมือไปกับเจ้า ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับวาสนาเจ้าแล้ว” เหล่าหนิวควบม้าไปทะลุขบวนขึ้นไปด้านหน้า ออกคำสั่งเสียงดังให้เร่งฝีเท้าอย่างเต็มที่ เขาเป็นคนซื่อสัตย์และไม่ต้องการได้ยินคำพูดที่ไม่ดีเกี่ยวกับหลี่ซื่อหมิน

 

 

เกิดลมแรงขึ้นบนพื้นถนน พัดธงปลิวสะบัดจนเกิดเสียง ฝุ่นดินฟุ้งตลบจนทุกคนมองไม่ชัด ได้แต่ก้มศีรษะมุ่งหน้าต่อไป เมื่อครู่ยังแดดแรงสองแสงจ้าทั่วผืนดิน พริบตาเดียวกลับเป็นเต็มไปด้วยฝุ่นคละคลุ้ง เม็ดฝนขนาดใหญ่เพิ่งพัดผ่านไปกับสายลมก็กระหน่ำเทลงมา พื้นดินที่เป็นที่ราบข้างทางไม่มีต้นไม้แม้สักต้น ทุกคนจึงต้องทนฝ่าฝนเร่งฝีเท้าเท่านั้น

 

 

คราวนี้อวิ๋นเยี่ยเป็นเจ้าหน้าที่ที่นำกองทัพจึงไม่มีทางที่จะซ่อนตัวอยู่ในรถม้าได้เหมือนครั้งที่แล้ว น้ำฝนไหลเข้ามาตามช่องว่างของชุดเกราะจนถึงเสื้อผ้า ไม่นานนักก็เปียกโชกไปทั่วตัว เห็นว่าหนังวัวค่อยๆ พองตัว การนั่งบนอานม้าก็เหมือนกับการขี่เนื้อเน่าเปื่อยที่ทั้งลื่นทั้งรู้สึกแย่

 

 

เช็ดน้ำฝนที่อยู่บนใบหน้า มองผ่านสายฝนที่เลือนลางจึงเห็นลางๆ ว่าเหล่าหนิวกำลังส่งเสียงดัง ไม่รู้ว่ากำลังพูดอะไรอยู่ จนกระทั่งทหารแจ้งข่าวมาแจ้งจึงได้รู้ว่าเหล่าหนิวให้หน่วยเสบียงโอบล้อมเป็นวงกลมแล้วกางผ้าใบกันน้ำบนรถม้า ให้ทุกคนได้หลบฝนชั่วคราว ฝนตกหนักมากจริงๆ

 

 

ไม่ต้องรอให้อวิ๋นเยี่ยออกคำสั่งทหารผ่านศึกของตระกูลอวิ๋นก็เตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ผ้าใบกันน้ำผืนใหญ่ก็กางออก พอจะกลายเป็นสถานที่ที่หลบฝนได้ชั่วคราว อีกทั้งยังกางผ้าใบกันน้ำให้สัตว์พาหนะด้วยเพราะกลัวว่าพวกมันจะป่วย ทุกคนขดตัวสั่นอยู่ใต้ผ้าใบกันน้ำอวิ๋นเยี่ยเองก็เช่นกัน เมื่ออยู่ในกองทัพก็ไม่พิธีรีตรองเหมือนเช่นขณะอยู่บ้าน

 

 

ในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม ในเวลาที่ไม่เหมาะสม มักจะมีคนที่ไม่เหมาะสมปรากฏตัวขึ้น ดังเช่นท่านนี้

 

 

ซีถงถูกจับมัดมือไพล่หลังไว้และถูกส่งมาให้อวิ๋นเยี่ย เป็นเรื่องธรรมดาที่จะดีใจเมื่อได้เห็นคนรู้จักเก่า เพียงแต่ทำไมทุกครั้งที่เจอกันเขาถึงถูกมัดอย่างแน่นหนา หรือจะบอกว่าชะตาผูกพันกับเชือก ได้ยินทหารคนสนิทของเหล่าหนิวพูดจึงได้รู้ว่า ผู้ชายคนนี้ยืนควบม้ามาเพียงลำพัง แม้ว่าถูกฝนตกหนักจนเปียกปอนดูไม่ได้ แต่ความองอาจผึ่งผายก็ยังคงอยู่ เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพยังกล้าพูดเสียงดังใส่ ทั่วใต้หล้านี้ก็คงมีเพียงท่านนี้เท่านั้น

 

 

ได้ยินมาว่าจะมาขอขมาต่ออวิ๋นโหว เหล่าหนิวจึงไม่เกรงใจที่จะจับคนมัดไว้และส่งมาให้อวิ๋นเยี่ย

 

 

 บางครั้งคนแดนกวนจงก็คุยกันไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยโผงผางหรือฟังเรื่องนักดาบพเนจรมากเกินไป สรุปแล้วก็คือไม่เคยเห็นความสำคัญของชีวิตของตัวเอง ตอนนี้อวิ๋นเยี่ยเริ่มเชื่อแล้วว่ามีผู้ชายสองคนเพียงเพื่อต้องการประลองกันว่าใครแกร่งกว่าใครอยู่ในโรงเตี๊ยมถือมีดคนละเล่มเฉือนเนื้อที่ขาของเขาเองแกล้มเหล้า

 

 

แล่เนื้อเฉือนหนังเพื่อแกล้มเหล้า สรวลเสเฮฮาผีสางเทวายังตะลึง

 

 

พวกเขาจะคุยอะไรกัน พูดคุยกันว่าเนื้อใครอร่อยกว่ากัน เหมาะที่จะนำไปย่างหรือไม่ หรือจะนำไปจิ้มจุ่ม มีคนเช่นซีถงดำรงอยู่อวิ๋นเยี่ยก็เชื่อว่าคนโง่และวิปริตที่กล่าวถึงในบทกวีจะต้องมีอยู่จริงอย่างแน่นอน ทั้งยังจะสืบทอดกันในแดนกวนจงไม่มีที่สิ้นสุดอีกด้วย

 

 

“โหวเหยีย ข้าน้อยซีถงเข้าใจท่านผิดไป ท่านเป็นคนดีจริงๆ ไม่ได้เลวอย่างที่พวกเขาพูดกัน ท่านเอาชีวิตข้าไปเถอะ!” คำพูดนั้นพูดออกมาอย่างสบายๆ ไม่ทุกข์ร้อน ราวกับกำลังพูดถึงชะตากรรมของหมูไม่ใช่ของตัวเอง  แววตามีความรู้สึกผิดแต่ไม่มีร่องรอยของความหวาดกลัวแม้แต่น้อย

 

 

ชายฉกรรจ์สูงสองเมตรแม้คุกเข่าอยู่บนพื้นแต่แผ่นหลังยังคงเหยียดตรง อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเอวของเขาคงไม่เคยโค้งให้ผู้ใด

 

 

ไล่ตามมาหนึ่งพันกว่าลี้เพียงเพื่อนำชีวิตมามอบให้ เพียงเพราะรู้สึกผิด นี่ช่างเป็นผู้ติดตามที่ดีเพียงใดกัน ดูเขาที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ ดวงตากลมโตปากหนาใหญ่เหมาะแก่การนำมารับลูกธนูในสนามรบเสียจริงๆ ขณะรบกันชุลมุนวุ่นวายให้รับดาบแทนไม่มีใครดีเกินเขาอีกแล้ว พวกเหล่าจวงไม่สามารถเทียบกับซีถงได้

 

 

เมื่อตัดสินใจได้แล้ว ไม่รับลูกน้องประเภทนี้ไว้มันต่อหลักทำนองคลองธรรม ในที่สุดวันนี้ฉันก็สามารถพิชิตและรับลูกน้องที่แท้จริงได้ด้วยบารมีของตนเองจริงๆ เสียที อวิ๋นเยี่ยปัดเส้นผมที่เปียกฝนแล้วแปะติดอยู่บนหน้าออก หยิบมีดสั้นออกมา ตัดเชือกที่มัดซีถงไว้ ตบไหล่ของเขาแล้วพูดกับเขาด้วยเสียงที่เบาที่สุดว่า

 

 

“เจ้าตามมามอบตัวไกลถึงหนึ่งพันลี้ ก็เพื่อมอบชีวิตให้ ถือว่าเป็นผู้มีคุณธรรมน้ำใจที่รักษาสัจจะดังที่คนโบราณว่าไว้ ข้านับถือจากใจจริง การสังหารวีรบุรุษที่มีคุณธรรมเช่นนี้ถือเป็นเรื่องอัปมงคล ข้าจะไม่ทำเรื่องที่ผิดต่อศีลธรรมและคำคนด่า เรื่องเข้าใจผิดระหว่างเราก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ดีหรือไม่”

 

 

“เจ้าไม่ฆ่าข้า?”

 

 

“แน่นอน!”

 

 

“บุญคุณความแค้นพวกเราจบแต่เพียงนี้”

 

 

“เห็นเจ้ามีคุณธรรมมากถึงเพียงนี้ ใครจะตัดใจทำได้ลงคอ”

 

 

หลังจากพูดประโยคนี้ อวิ๋นเยี่ยก็ยืนหน้าเชิดอกตรงและรอให้ซีถงก้มศีรษะยอมสวามิภักดิ์เขา รออยู่เป็นเวลานานไม่เห็นปฏิกิริยาใดๆ เมื่อหันกลับไปมอง กลับพบว่าเงาที่กำยำสูงใหญ่ของซีถงค่อยๆ หายไปท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมา ทั้งยังมีเสียงฮัมเพลงเบาๆ ให้ได้ยินอีกด้วย

 

 

เพื่อปกปิดความอับอายของตัวเอง อวิ๋นเยี่ยพูดกับเหล่าจวงว่า “ช่างเป็นคนที่มีอิสระอย่างแท้จริง”

 

 

 

 

——

 

 

[1] เต้า เป็นเขตการปกครองในสมัยจีนโบราณ ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างประมาณระดับมณฑลในปัจจุบัน