ส่วนที่ 4 ตอนที่ 3

เจาะเวลาสู่ต้าถัง

เมืองซั่วฟางที่แหลกสลาย

 

 

 

เฉิงฉู่มั่วลงจากหลังม้าค่อยๆ เดิน ก้าวข้ามพุ่มไม้เตี้ยๆ โลกที่อยู่เบื้องหน้าดูเหมือนจะเปิดกว้างขึ้นในทันทีทันใด ท้องฟ้าสีฟ้าครามทอดตัวยาวไปถึงสุดเขตแดน กอหญ้าที่สูงประมาณครึ่งเอวสูงปกคลุมพื้นดินที่ขรุขระอย่างมิดชิด ที่นี่ไม่มีเสียงนกร้องและสัตว์ป่าเดินเพ่นพ่าน เนินเขาเตี้ยๆ ทั้งเนินมีแต่กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง แม้แต่นกแร้งที่ชอบกินซากศพที่สุดก็ยังถอยหนีไปไกลจากดินแดนแห่งความตายนี้

 

 

แหวกกอหญ้าที่เกะกะ ศพของคนวัยเยาว์ที่เสียชีวิตไปนานแล้วนอนอยู่กลางพงหญ้า ลูกธนูสามแฉกทะลุผ่านคอหอย ตรึงชีวิตของเขาให้หยุดอยู่ในช่วงเวลาที่งดงามที่สุดนี้ไปตลอดกาล ปลายแหลมของลูกธนูได้หักไปหนึ่งด้าน ราวกับหัวเราะเยาะในความไร้สามารถของเฉิงฉู่มั่ว

 

 

เมื่อก้าวไปข้างหน้าต่อ ต้นหญ้าที่อยู่บนพื้นดินถูกเหยียบย่ำจนเละเทะไปหมด ศพที่อยู่ใกล้ๆ ก็มีมากขึ้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นศพทหารต้าถังที่เปลือยกาย พวกชาวเผ่าทูเจวี๋ยที่อำมหิตไม่เพียงแต่ฆ่าพวกเขา ยังถอดเสื้อผ้าของพวกเขาไปด้วย

 

 

ไม่มีผู้รอดชีวิต รวมทั้งสิ้นสิบสองคน นี่คือจำนวนคนเพียงกลุ่มเดียว

 

 

เฉิงฉู่มั่วเริ่มตามหากลุ่มทหารที่หายตัวไปตั้งแต่ตอนเช้า จนกระทั่งตกบ่ายจึงพบพวกเขา แต่น่าเสียดายที่กลายเป็นเหยื่อไปทั้งหมดแล้ว

 

 

ล้วนแล้วแต่เป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายของเขา ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา เมื่อคืนก่อนออกไปลาดตระเวนยังได้ล้อเล่นกับเขาอยู่ว่าหลังจากกลับไปฉางอันแล้ว ต้องพาพวกเขาไปที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพื่อกินอาหารที่อร่อยที่สุดในโลก ดื่มเหล้าชั้นเลิศที่หอมหวานที่สุด จากนั้นไปที่หอเอี้ยนไหลโหลวหานางรำที่สวยที่สุด

 

 

ทุกศพดวงตาเบิกกว้าง จ้องมองไปที่ท้องฟ้าสีฟ้าคราม บางทีพวกเขาอาจต้องการระลึกถึงความงามสุดท้ายของโลกนี้

 

 

สงครามทำให้คนๆ หนึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับเฉิงฉู่มั่ว เขาไม่แสดงอารมณ์รุนแรงใดๆ ออกมาและก็ไม่มีความทุกข์โศกที่มากเป็นพิเศษ เพียงแค่ปิดตาพี่น้องให้หลับลงทีละศพๆ จากนั้นร่วมกับพี่น้องคนอื่นๆ ใช้พลั่วขุดหลุมขนาดใหญ่และฝังพวกเขาไว้ด้วยกัน ไม่ได้ตั้งป้ายวิญญาณและไม่จำเป็นต้องมีด้วย คนที่ตายที่นี่ไม่มีใครมาเซ่นไหว้แน่นอน

 

 

มองไปแต่ไกลมีนกแร้งบินขึ้นมา ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าอยู่ลางๆ นี่คือชาวทูเจวี๋ยที่พาลูกๆ ของพวกเขามาดูผลงานอันมีเกียรติของพวกเขา พวกเขาจะสอนให้รุ่นต่อไปด้วยวิธีเช่นนี้ สืบต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า

 

 

มุมปากเฉิงฉู่มั่วยกสูงขึ้น ในที่สุดก็สามารถระบายความเจ็บปวดที่จุกอกได้แล้ว

 

 

ทหารหนึ่งร้อยยี่สิบคนค่อยๆ อ้อมไปซ่อนตัวอยู่บนเนินเขาอย่างเงียบๆ

 

 

เสียงตะโกนของชาวทูเจวี๋ยดังขึ้นเรียกให้เด็กๆ ที่ขี่ม้าอยู่ด้านหลังรีบๆ ตามมา พวกเขาสวมชุดเกราะหนังที่ทำตามแบบของทหารต้าถัง ในมือถือดาบที่เงาวับ กวัดแกว่งให้พวกพ้องอยู่ไม่ยอมหยุด บอกให้รู้ว่าพวกเขาแข็งแกร่งเพียงไหน ทหารต้าถังอ่อนแอเพียงไร ความสกปรกบนใบหน้าในเวลานี้ได้กลายเป็นหน้ากากที่น่าเกลียดน่ากลัวไป

 

 

เมื่อเขาลงจากหลังม้าแล้วไม่เห็นศพเห็นเพียงหลุมศพใหม่นั้น หัวหน้าของชาวเผ่าทูเจวี๋ยตะโกนเสียงดังขึ้น ชาวทูเจวี๋ยทั้งหมดก็รีบวิ่งไปที่ม้าศึก พยายามออกจากพื้นที่ที่อันตรายนี้โดยเร็วที่สุด เมื่อครู่ดีใจหลงระเริงจนลืมคำสอนของบรรพบุรุษที่ว่าอย่าหลีกห่างม้าศึกของตัวเองง่ายๆ… ช้าไปแล้ว เฉิงฉู่มั่วถอดหน้ากากออก ราวกับปีศาจร้ายจากขุมนรก เขาไม่ใช้ธนู แต่ต้องการใช้ดาบในมือเพื่อล้างแค้นให้สหายที่รบจนตัวตายของเขา ลูกธนูสามแฉกของชาวทูเจวี๋ยไม่สามารถเจาะทะลุเกราะของเขาได้ สร้างไม่ได้แม้กระทั่งร่องรอยความเสียหาย ดาบของเขาสามารถตัดดาบจันทร์เสี้ยวในมือชาวทูเจวี๋ยได้อย่างง่ายดาย และได้ตัดชิ้นเนื้อขนาดใหญ่บนไหล่เขาออกมาด้วย เขายังคงไม่พอใจ ขณะที่เดินข้ามชาวทูเจวี๋ย ได้ยกดาบขึ้นและอาศัยความเร็วของม้าเพื่อตัดศีรษะของชาวทูเจวี๋ย

 

 

นี่เป็นการต่อสู้ที่ไม่ได้คาดหวังมาก่อน นักรบหนึ่งร้อยยี่สิบเอ็ดคนมีเพียงแค่จู่โจมศัตรูไปหนึ่งครั้งก็สามารถจัดการกับชาวทูเจวี๋ยได้หลายสิบคน ชายชราชาวทูเจวี๋ยคนหนึ่งที่เหลืออยู่ได้คุกเข่าวิงวอนต่อเฉิงฉู่มั่ว โดยหวังว่าเขาจะยอมปล่อยเด็กหลายสิบคนที่อยู่ข้างหลังเขาไป

 

 

เฉิงฉู่มั่วไม่ลังเลแม้แต่น้อย ตัดศีรษะของชายชราเผ่าทูเจวี๋ยในดาบเดียว เลือดฉีดพุ่งกลางอากาศ ชาวทูเจวี๋ยส่วนที่เหลือรวมถึงเด็กๆ ถึงกับยกดาบจันทร์เสี้ยวไล่ฆ่าเข้ามา ใบหน้าเล็กๆ ที่สกปรกนั้นดูน่ากลัวเพราะความหวาดกลัว แต่น่าเสียดายที่ร่างกายที่เปราะบางของพวกเขสไม่สามารถต้านทานดาบที่คมกริบได้

 

 

ศพทั่วพื้น ทั้งชราและเด็ก ทั้งที่ร่างกายกำยำและเปราะบาง พวกเขาทั้งหมดถูกเฉิงฉู่มั่วทำให้กลายเป็นแท่นบูชาเพื่อปลอบใจสหายศึกที่ตายจากไป

 

 

กองทหารไม่มีความเจ็บปวดเหมือนตอนที่มาอีก ทุกคนกำลังหัวเราะ เพราะสงครามก็เป็นเช่นนี้ ไม่ใช่เจ้าตายก็คือข้าม้วย เพียงแต่ต้องดูว่าตายอย่างคุ้มค่าหรือไม่ เฉิงฉู่มั่วเชื่อว่า พวกทหารชนกลุ่มน้อยที่เป็นหน่วยสอดแนมที่โจมตีต้าถังคงหมดแล้ว ทั้งที่แข็งแกร่งและเด็กต่างก็เสียชีวิตไม่มีเหลือ ที่รอพวกเขาอยู่ก็คงมีแต่การถูกชนเผ่าน้อยอื่นๆ กลืนกิน

 

 

ตำแหน่งข่านของเจี๋ยลี่นั้นไม่มั่นคง เขานำกองทหารม้าที่ทรงพลังไม่เพียงแต่ก่อกวนต้าถังเท่านั้น แต่ยังรบกวนประเทศเพื่อนบ้าน รวมไปถึงชนกลุ่มน้อยที่อ่อนแอด้วย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หลี่ซื่อหมินไม่เคยละเลยการสร้างสัมพันธ์กับชนกลุ่มน้อยที่อยู่ภายใต้การนำของข่านเจี๋ยลี่ให้แตกตัวออก ซึ่งทูลี่ที่ถูกกู้ลี่กดขี่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ตอนนี้เจี๋ยลี่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดการลูกน้องที่ไม่ยอมสยบ เขาไม่คิดว่าหลี่ซื่อหมินที่ยอมแพ้ต่อเขาที่สะพานเว่ยสุ่ยเมื่อปีที่แล้ว จะมีกำลังพอที่จะต่อกรกับเขาได้ ชาวเผ่าทูเจวี๋ยเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งมาโดยตลอดและจะแข็งแกร่งต่อไปอีก ชาวถังเป็นเพียงพวกเลี้ยงสัตว์ในทุ่งหญ้า เมื่อถึงเวลาที่อยากจะเก็บกวาดจึงค่อยไปกวาดล้างก็ยังได้

 

 

“นายพัน คราวนี้พวกเราเด็ดศีรษะไปทั้งหมดหนึ่งร้อยสี่สิบสี่คน ท่านคิดว่าจะมีพวกอยากเลื่อนขั้นอีกกลุ่มหนึ่งโผล่มาหรือไม่” เหลียงซานผู้ซึ่งขี่ม้าที่มีหูของชาวทูเจวี๋ยร้อยไว้เป็นพวงแขวนอยู่บนคอม้าได้ถามผู้บังคับบัญชาของเขา สิ่งที่ชายแดนกวนจงให้ความสำคัญมากที่สุดก็คือผลงานทางการทหาร ซึ่งจะทำให้เชิดหน้าชูตาบรรพบุรุษได้

 

 

“พี่น้องเราตายไปสิบสองคนยังมีหน้าที่จะขอความดีความชอบอีกหรือ พวกเราเสียหน้าเกินกว่าจะเสียหน้าแล้ว ในบรรดาหูเหล่านี้ยังมีจำนวนมากที่เป็นหูของเด็ก กลับไปแล้วไม่โดนกฎกองทัพก็นับว่าเราโชคดีมากแล้ว ยังกล้าจะเอาผลงานอีก” เฉิงฉู่มั่วสีหน้าดูดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก็ยังคงดูมืดมน

 

 

“นายพัน ท่านเป็นบุตรชายของฮูหยินเอกของกั๋วกง ขุนนางฝ่ายบันทึกมีหรือที่จะกล้าไม่เกียรติท่าน”

 

 

“หึๆ ถ้าข้าใช้ฐานะกดขี่ พวกเราจะไม่เพียงไม่มีผลงาน แต่กลับจะมีความผิด ถ้าหากสามารถใช้เรื่องมนุษยสัมพันธ์ในกองทัพได้ ยังต้องให้พวกเจ้ามาผายลมแถวนี้หรือ!”

 

 

“ข้าน้อยไม่ถามแล้ว ท่านอย่าเพิ่งโกรธ อย่างไรเสียพวกเราก็ทำไปเพื่อล้างแค้นให้พี่น้องที่ตายไป นี่น่าจะพอควรค่าแก่การเฉลิมฉลองกระมัง เมื่อวานตอนช่วยท่านจัดเตียง พบว่าท่านยังมีเหล้าดีๆ อยู่อีกหนึ่งไห คืนนี้พวกเหล่าดื่มให้เกลี้ยงเลยดีหรือไม่” เหลียงซานนับว่าเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในหมู่พี่น้อง รู้ว่าควรเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างไร

 

 

“ใครบอกเจ้าว่านั่นเป็นเหล้า มันเป็นแอลกอฮอล์ที่ใช้ในการรักษา ดื่มลงไปเพียงคำเดียวก็ถึงตายได้

 

 

ข้าน้อยรู้แล้ว ท่านเคยบอกแล้ว เมื่อคืนข้าทนไม่ไหวจึงได้แอบจิบไปอึกหนึ่ง เกรงว่าท่านจะลงโทษ จึงตัดสินใจว่าจะดื่มให้ตายไปเลย ใครจะรู้ว่าถึงตอนนี้ก็ยังไม่ตาย เมื่อครู่ยังฆ่าชาวทูเจวี๋ยได้สองคน เรี่ยวแรงมากจนใช้ไม่หมด นี่เป็นสัญญาณว่าข้าใกล้จะตายใช่หรือไม่”

 

 

คำพูดของเหลียงซานทำให้เกิดหัวเราะดังขึ้น ก็มีคนกล้าพอที่จะพูดต่อในทันใด

 

 

“ข้าน้อยเองก็เบื่อโลกแล้ว แต่ว่าการถูกตัดศีรษะมันเจ็บเกินไป การแขวนคอน่าเกลียดเกินไป นายพัน ไม่เช่นนั้นท่านอนุญาตให้ข้าดื่มสักชาม ดื่มจนล้มพับไปเลย เมื่อคืนเหลียงซานหายใจรดใส่พวกเรา กลิ่นเหล้านั้นหอมมาก ท่านคงจะไม่คิดเสียดายกระมัง”

 

 

พูดกันจนเฉิงฉู่มั่วหน้าแดงไปถึงใบหู อวิ๋นเยี่ยก็พูดกับเขาเช่นนี้ เขาก็เคยแอบชิมแล้ว ถึงแม้ว่าเหล้าจะดีกรีสูงไปเล็กน้อย แต่มันก็เป็นเหล้าที่ดีที่สุดจริงๆ ในใจก็เกิดความสงสัยอยู่ว่าอวิ๋นเยี่ยกลัวว่าเขาดื่มเหล้าแล้วจะเสียงาน จึงจงใจหลอกเขาใช่หรือไม่

 

 

“พูดเหลวไหลอะไร พี่น้องข้าเป็นหมอเทพ นี่คือสิ่งที่เขาพูดยังจะเป็นคำโกหกได้หรือ อีกไม่กี่วันเขาจะมาที่เมืองซั่วฟาง หากอยากดื่มเหล้าดีเขาต้องมีติดมือมาแน่ ถึงตอนนั้นทุกคนจะได้ดื่มคนละชาม ไม่มีบิดพลิ้วแน่นอน” เฉิงฉู่มั่วก็ถือว่าเป็นคนที่รู้ก่อนเป็นคนแรกว่าอวิ๋นเยี่ยจอมวายร้ายจะมา

 

 

“อวิ๋นโหวก็จะมาที่เมืองซั่วฟางด้วยหรือ มีเขาอยู่ด้วย ข้าน้อยก็วางใจไปกว่าครึ่ง หากไม่ทันระวังจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ท่านต้องช่วยข้าน้อยด้วย ขอให้อวิ๋นโหวช่วยต่อชีวิตใหม่ให้ด้วย วันนี้ทำไมพวกเราจึงลืมไว้ชีวิตชาวทูเจวี๋ยไว้บ้าง หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในอนาคต ก็จะได้ยืมชีวิตของพวกเขามาใช้ได้ “คำพูดของเหลียงซานทำให้ทุกคนเกิดความเสียดายขึ้น

 

 

ใกล้จะพลบค่ำแล้ว เฉิงฉู่มั่วจึงได้นำผู้คนกลับมาถึงเมืองซั่วฟาง

 

 

เมืองซั่วฟางเป็นเมืองใหญ่ที่มีชื่อเสียงบนทุ่งหญ้า เนื่องจากขาดวัสดุหิน กำแพงเมืองจึงทำมาจากดิน แต่หลังจากสงครามครั้งใหญ่ปีที่แล้วยังไม่ทันได้ซ่อมแซมกำแพงเมือง จึงมีแต่ช่องโหว่แตกหักเล็กๆ ใหญ่ๆ อยู่เต็มไปหมด

 

 

หลังจากที่เหลียงซือตูเสียชีวิตไปแล้ว ลูกพี่ลูกน้องของเขาเหลียงลั่วเหรินได้ยอมจำนนต่อต้าถังและถูกเรียกตัวมาเป็นแม่ทัพใหญ่ประจำที่เมืองฉางอัน โดยไม่ได้กลับเมืองซั่วฟางอีกเลย

 

 

ตอนนี้แม่ทัพหลักคือไฉเส้าสวามีขององค์หญิงผิงหยางมีแม่ทัพที่ดุดันอย่าง เซวียว่านจวิน เซวียว่านเช่อสองพี่น้องเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา หลังจากบุกทำลายเหลียงซือตูพวกเขาไม่ได้กลับไปที่เมืองหลวง แต่กลับตั้งค่ายประจำการขึ้น แม้ว่าการขนส่งเสบียงและอาวุธยุโธปกรณ์นั้นจะยากต่อการขนส่ง หลี่ซื่อหมินก็ไม่เคยมีความคิดที่จะยอมแพ้ พี่ชายของเขาไม่เคยมีความคิดที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับข่านเจี๋ยลี่

 

 

การสร้างเมืองบนทุ่งหญ้านั้นยากเกินไป ส่วนกำแพงที่สร้างจากดินนั้นก็ไม่แข็งแรงพอจะต้านลมและฝนได้จำเป็นต้องซ่อมแซมทุกปี ซึ่งมีค่าใช้จ่ายมาก

 

 

ยกเว้นการซ่อมแซมเมืองถ่งว่านเฉิงของเฮ่อเหลียนปั๋วปัว คนบ้าคนนี้ได้สร้างเมืองถ่งว่านเฉิงไว้ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อนแล้วโดยดินทั้งหมดถูกนึ่งมาก่อน นอกจากนี้ยังมีคำสั่งว่า หากกำแพงถูกตะปูเหล็กตอกเข้าไปได้ลึกถึงหนึ่งนิ้วจะฆ่าช่างแรงงานทิ้ง ถ้าหากตอกไม่เข้าก็จะฆ่าทหารที่ทำหน้าที่ตอกตะปูเหล็ก หลังจากกำแพงสร้างเสร็จแล้ว ได้ยินว่าสามารถใช้ลับคมขวานได้ ตอนนี้ยังคงยืนตระหง่านอยู่ชายแดนที่ทะเลทราย

 

 

ในเวลานี้อวิ๋นเยี่ยไม่มีอารมณ์มาชื่นชมความงามของทุ่งหญ้า เพราะฝนที่ตกหนักเมื่อหลายวันก่อนทำให้หนิวจิ้นต๋าเป็นหวัดและมีไข้สูงไม่ลด อวิ๋นเยี่ยได้นำยาแผนปัจจุบันที่ยังไม่หมดอายุให้เขากิน จึงค่อยๆ รักษาชีวิตเขาไว้ได้ อย่างไรเสียเหล่าหนิวก็สูงวัยแล้ว ร่างกายเทียบกับสมัยเยาว์วัยไม่ได้ เมื่อป่วยครั้งนี้จึงทำให้โรคเก่าที่เป็นทั้งหมดกำเริบขึ้น โรครูมาตอยด์ ความดันโลหิตสูง ม้ามและกระเพาะอาหารทำงานผิดปกติ แม้กระทั่งอาการปวดหัวไมเกรน ตามเขาบอกมาเขารักษาอาการปวดไมเกรนด้วยการผูกแถบผ้าบนศีรษะแล้วดึงให้แน่น

 

 

จากการบังคับเข้ารับอำนาจทางทหารของเหล่าหนิว อวิ๋นเยี่ยจึงกลายเป็นหัวหน้าดูแลกองกำลังที่มีอำนาจสูงสุด กองกำลังที่น้อยกว่าหนึ่งพันคนแต่เรื่องใหญ่เล็กมีให้ต้องจัดการไม่มีที่สิ้นสุด อวิ๋นเยี่ยไม่เพียงแต่ต้องรับผิดชอบเป็นผู้นำ ยังต้องแก้ไขข้อพิพาทต่างๆ ด้วย ยิ่งต้องใส่ใจกับความปลอดภัยของกองกำลังนี้ด้วย

 

 

ภายในเวลาไม่ถึงสามวัน อวิ๋นเยี่ยหวังอย่างยิ่งว่าเหล่าหนิวจะอาการดีขึ้น หลังจากจัดการกับการล่วงละเมิดทางเพศระหว่างผู้ชายกับผู้ชายเสร็จแล้ว จึงรีบไปที่ข้างรถม้าของซุนซือเหมี่ยวดูว่าเหล่าหนิวอาการดีขึ้นแล้วหรือไม่ น่าขยะแขยงจริงๆ เมื่อคิดถึงพฤติกรรมของสองคนนั้นอวิ๋นเยี่ยก็อยากจะอาเจียน

 

 

เหล่าหนิวมีสีหน้าแดงก่ำนั่งอยู่บนรถม้า ถือชามไม้อยู่ในมือกำลังใช้ช้อนตักกินอยู่ อวิ๋นเยี่ยตั้งใจปรุงอาหารที่บำรุงร่างกายให้เป็นพิเศษ แม้เห็นอวิ๋นเยี่ยมาเขาก็ไม่สนใจก้มหน้าก้มตากินไม่หยุด

 

 

“สีหน้าท่านเริ่มมีเลือดฝาด ดูแล้วอาการดีขึ้นมาก หลายวันก่อนหลานถือวิสาสะยึดอำนาจทางทหารของท่าน ตอนนี้ขอมอบคืนให้ท่านดีหรือไม่”

 

 

“ข้าไม่เคยคิดโทษความผิด เมื่อผู้บัญชาการหลักป่วยหนัก การที่รองผู้ช่วยจะเข้ารักษาการแทนเดิมก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลอยู่แล้ว จะมาขอโทษอะไรกัน ไม่เห็นหรือว่าตอนนี้ข้าป่วยจนแทบไม่เหลือสภาพแล้ว เรื่องต่างๆ ในกองกำลังดูแลไม่ไหวแล้ว เจ้าก็ทนเหนื่อยไปอีกสองสามวัน นี่ก็ใกล้จะถึงเมืองซั่วฟางแล้ว” หลังจากพูดจบ ยังให้ทหารคนสนิทที่อมยิ้มที่มุมปากห่มผ้าห่มบางๆ ให้เขา โดยบอกว่าถ้าไม่ถึงเมืองซั่วฟางอย่ามาเรียกเขา ตาเฒ่าคนนี้เห็นหลายวันนี้อวิ๋นเยี่ยดูแลกองกำลังได้ไม่เลว จึงเริ่มเกิดความขี้เกียจ เมื่อวานยังเห็นเขากินไก่ได้ทั้งตัว ตอนนี้ก็มาแกล้งอ่อนแอป่วยติดเตียง

 

 

ไม่มีทางเลือก อวิ๋นเยี่ยจึงต้องเรียกสติอีกครั้งและจัดการกับงานจิปาถะต่อไป!!!