หลอกคนจนตายแต่ไม่ยอมชดใช้ชีวิต
ขณะที่กองกำลังของอวิ๋นเยี่ยเดินทางผ่านที่นาแห่งสุดท้าย ชาวนาอยู่หลายคนที่ถกขากางเกงขึ้นกำลังรดน้ำอยู่ในทุ่งนา แม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลผ่านอย่างช้าๆ เมื่อเลี้ยวที่โค้งด้านหน้า ต้นหลิ่วที่อยู่ข้างหน้าก็ดูราวกับเข็มขัดหยกวนล้อมรอบหมู่บ้านธรรมดาแห่งนั้น
อวิ๋นเยี่ยยืนอยู่บนสะพานไม้โบราณเล็กๆ ชื่นชมกับความเงียบสงบอันหายากนี้ เพียงแต่หมู่บ้านที่สร้างขึ้นจากการก่อกองดิน ทำให้เขาจินตนาการก้าวกระโดดไปนับพันปี เขาชอบความเงียบสงบแบบนี้ หรืออาจจะกล่าวได้ว่าเขาควรอยู่ในสถานที่แห่งนี้ ตะไคร่น้ำบนกำแพง ก้อนอิฐและกระเบื้องที่แตกร้าว วัวควายที่ส่งเสียงร้อง ทำให้เขาจินตนาไปต่างๆ นานาไม่หยุดนิ่ง ดวงอาทิตย์ที่เพิ่งพ้นขอบฟ้า ฝูงนกแข่งขันกันส่งเสียงร้อง หมู่บ้านบนภูเขาร้างทำให้บรรยากาศเงียบสงบยิ่งขึ้นไปอีก
เขายืนชมทิวทัศน์อยู่บนสะพาน แต่เขาไม่รู้ว่าคนที่ชมทิวทัศน์กำลังมองเขาอยู่
มีเกษตรกรหลายคนในนากำลังมองเขาอยู่ หากสายตาของอวิ๋นเยี่ยดีกว่านี้อีกสักหน่อยหรือหากมีกล้องส่องทางไกลในมือ เขาจะพบว่ามีคนรู้จักสองคนอยู่รวมในกลุ่มเกษตรกรห้าหกคนนั้น
ชายชราที่ใบหน้าเ**่ยวย่นคนหนึ่งที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้ดึงหญ้าป่าขึ้นมากำหนึ่ง เลือกก้านที่มีรสหวานใส่เข้าปากค่อยๆ เคี้ยว จนกระทั่งกลืนรสหวานสุดท้ายในก้านแล้วคายมันออกมา หลายๆ คนที่นั่งล้อมเขาอยู่ดูเหมือนจะเคารพต่อเขามาก ไม่มีใครส่งเสียง เพียงแค่รอให้ชายชราพูด
“หลีสือ เจ้าคลุกคลีอยู่กับเจ้าหนุ่มนี่มานานที่สุด เจ้าเชื่อในสิ่งที่เขาพูดหรือไม่ เขามาจากสถานที่ที่แปลกประหลาดแห่งนั้นจริงๆ หรือ เจ้าลองพูดความคิดเห็นของเจ้าให้ฟังหน่อย”
“หมิงเหล่า หลีสืออยู่กับเขาเป็นเวลาห้าเดือนสิบวัน ข้าเชื่อว่าเขาเป็นเด็กดีคนหนึ่ง เฉลียวฉลาด มีสายตาเฉียบแหลม มีความรู้กว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือความใจกว้างของเขาที่หาได้ยากนัก ศิษย์เคยใช้ความลับของหลายสำนักมาตั้งคำถามเขา พบว่าเขาเองดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่างและก็กระทำโดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ไม่ได้พูดพล่อยๆ อย่างเด็ดขาด แม้ว่าบางอย่างจะฟังไม่เข้าใจ แต่ศิษย์กลับยินดีที่จะเชื่อคำตอบที่เขาให้มา จะต้องเป็นสิ่งที่ใช้ได้จริง
“เรื่องความรู้เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นข้าจะสนใจ ข้าแค่อยากรู้ว่าเขารู้จักไป๋อวี้จิงได้อย่างไร ตามที่เขาพูด อาจารย์ของเขาขาครึ่งหนึ่งได้ก้าวเข้าไปในไป๋อวี้จิงแดนสวรรค์มาแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะอะไรจู่ๆ ก็ถอนตัวกลับมา หลักการที่ว่าการมีชีวิตอมตะต้องกลายเป็นหินเป็นเรื่องจริงหรือไม่ อย่าเพิ่งถกกันว่าจริงหรือเท็จ ข้าอยู่ในโลกมาห้าสิบกว่าปีแล้ว สิ่งเดียวที่ใฝ่ฝันคือสักวันหนึ่งจะสามารถได้ไปเยือนแดนสวรรค์ไป๋อวี้จิง ความสำเร็จครั้งใหญ่ แม้ว่ามันจะกลายเป็นหินข้าก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว จิตแห่งเต๋าจะต้องแน่วแน่ หลีสือ เจ้าอยู่ในโลกคาวโลกีย์มานานเกินไปแล้ว จิตแห่งเต๋าเริ่มเปรอะเปื้อน มนุษย์โลกเมื่อเทียบกับพวกข้าแล้วก็เสมือนมดก็ไม่ปาน อย่าได้คิดเกิดจิตสงสาร”
หลีสือก้มหน้าและสอดมือเข้าใต้แขนเสื้อประสานมือยอมรับ
ชายชราถามชายร่างใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ขึ้นอีก “เจ้าตามหาร่องรอยการมีชีวิตอยู่ของเขาในโลกนี้ แล้วค้นพบหรือไม่”
ชายร่างใหญ่นั่นก็คือซีถง เขาในเวลานี้สวมชุดผ้าป่านเก่าๆ ยืนเท้าเปล่าอยู่ในทุ่งนา หน้าแข้งเต็มไปด้วยดินโคลน ไม่หลงเหลือท่าทีของนักดาบพเนจรเลยแม้แต่น้อย
“ศิษย์ค้นทุ่งร้างว่างเปล่าจนทั่วก็ไม่พบเบาะแสแม้แต่น้อย จากร่องรอยบนลูกม้าตัวนั้นติดตามไปถึงฝูงม้าที่ไม่ใหญ่มาก สถานที่นั้นน่าจะเป็นสถานที่ที่เขาปรากฏตัวเป็นครั้งแรก สาวกสิบหกคนค้นพบเศษขี้เถ้ากองไฟ กองซากกระต่ายป่าอยู่บริเวณตาน้ำพุ ส่วนสิ่งอื่นๆ ไม่พบอะไรเลย ราวกับว่าเขาได้มาถึงโลกนี้ในพริบตา เขาเป็นลูกหลานตระกูลอวิ๋นจริงหรือไม่ก็ยากที่จะตัดสินได้ ในตอนนั้นประสบภัยพิบัติอย่างกะทันหัน ผู้คนในเหตุการณ์ที่ตายก็ตาย ที่หนีก็หนี อีกทั้งช่วงเวลาที่ทิ้งห่างกันเป็นเวลานานจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ ศิษย์ให้นักดาบพเนจรปลอมตัวเข้าใกล้เขา พบว่าเขาไม่มีวรยุทธ เป็นแค่ชายหนุ่มธรรมดาคนหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดอื่น”
“พวกเจ้าไม่รู้ เยี่ยทัวได้ไปตามเส้นทางที่จะไปยังสระสวรรค์ของเจ้าแม่ซีหวังหมู่บนเขาคุนหลุนตามที่อวิ๋นเยี่ยบอกต่อหลีสือแล้ว พิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงดังเช่นที่เขาพูด ฤดูหนาวของที่นั่นจะมีสภาพอากาศหนาวเย็น เยี่ยทัวต้องสูญเสียคนไปถึงสิบหกคนจึงไปถึงสระสวรรค์ได้ เขาไม่ได้พูดผิด ที่นั่นมีเพียงบึงน้ำสีเขียวมรกต ไม่มีทิวทัศน์ที่งดงามตลอดสี่ฤดู มีเพียงหิมะและน้ำแข็งเต็มท้องฟ้า เป็นดินแดนที่แห้งแล้งจริงๆ เยี่ยทัวเป็นยอดฝีมือที่นับตัวได้ในใต้หล้านี้ บุกฝ่าทะเลทรายและทุ่งร้างมานานปี แม้แต่เขาเองก็แทบจะเอาชีวิตไม่รอด อวิ๋นเยี่ยเด็กหนุ่มคนหนึ่งจะไปถึงที่นั่นได้อย่างไร”
ในสายตาของลูกศิษย์ ชายชราผู้นี้สามารถทำได้ทุกอย่าง ตอนนี้เมื่อเผชิญกับปัญหาของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง กลับขมวดคิ้วและปวดเศียรเวียนเกล้ามาก
“สำหรับมันฝรั่งศิษย์ได้นำมาจากในวังด้วย ถึงตอนนี้เป็นการเพาะปลูกครั้งที่สองแล้วซึ่งผลผลิตน่าอัศจรรย์มาก คำโอ้อวดที่ว่าเก็บเกี่ยวได้ห้าสิบตั้นนั้นมีความเป็นไปได้อยู่จริงๆ เพียงแต่เพื่อให้ได้มาซึ่งมันฝรั่งของจริง จึงต้องสูญเสียสายลับที่แฝงตัวอยู่ในวังมาหลายปีไปหนึ่งคน ที่บ้านอวิ๋นเยี่ยมีเครื่องปรุงรสแปลกๆ อยู่อย่างหนึ่งเรียกว่าพริกขี้หนู ศิษย์ถามชาวเผ่าหูจนหมดแล้วแต่ไม่มีใครรู้จัก ที่บ้านเขายังมีปลูกไว้อีกห้าต้นดูเหมือนอวิ๋นเยี่ยจะใส่ใจมากเป็นพิเศษ ได้ยินเขาบอกกับแม่เฒ่าว่ามันเรียกว่า ข้าวโพด ต่อไปในภายหน้าจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าเช่นเดียวกับมันฝรั่ง ศิษย์ช่างโง่เขลานัก จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่สามารถสืบได้ว่าพืชสามชนิดนี้ถือกำเนิดจากที่ไหน”
ชายชรามองอวิ๋นเยี่ยที่ยืนอยู่บนสะพาน ปรากฏรอยยิ้มบนใบหน้าพูดพึมพำกับตัวเอง “หรือว่าเจ้าจะเป็นไม้ที่ไร้ราก น้ำที่ไร้ต้นน้ำกัน เจ้าหนุ่ม เจ้าต้องเป็นเทพเจ้า เจ้าต้องเป็นเทพเจ้าแน่ มิฉะนั้น ความมุ่งมั่นห้าสิบปีของข้าคงต้องกลายเป็นเรื่องตลกแล้ว…”
คนจีนใฝ่ฝันกับเรื่องการมีอายุยืนยาวอย่างคลั่งไคล้ ตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันต่างก็แสวงหาชีวิตอมตะ ตั้งแต่จักรพรรดิผู้สูงส่งไปจนถึงผู้สันโดษที่พเนจรอยู่ในถิ่นทุรกันดาร พวกเขาคิดหาหลายวิธีเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์ในการมีชีวิตอมตะ แต่น่าเสียดายที่ทุกครั้งต่างล้มเหลว พวกเขาได้สร้างเรื่องราวให้เป็นตำนานพิศดารเพื่อปลอบใจตนเองเท่านั้น เพื่อชีวิตที่ยืนยาว บางคนถึงกับไม่สนใจชีวิตที่มีอยู่ ขณะที่เขาได้ยินชื่อของไป๋อวี้จิงจากการบอกเล่าของผู้อื่นเป็นครั้งแรกนั้น เขารู้สึกดีใจ ดีใจเป็นบ้าเป็นหลัง แต่ต่อมาก็คุกเข่าสารภาพผิดต่อหน้าป้ายวิญญาณของบรรพบุรุษ บอกว่าเขาไม่ควรสงสัยในบรรพบุรุษเลย เรื่องราวที่สืบทอดจากบรรพบุรุษนั้นเป็นเรื่องจริงไม่ได้หลอกลวงลูกหลานรุ่นหลัง แดนสวรรค์ไป๋อวี้จิงมีอยู่จริง มีบางคนเคยไปที่นั่นมาแล้ว ใครไปถึงเป็นคนแรก ชายชราที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้ไม่สนใจ เขาสนใจเพียงแต่ว่าถนนสายนี้ที่เขาเดินมีจุดสิ้นสุด ไม่ใช่ถนนสุดปลายฟ้าที่ไม่มีที่สิ้นสุด
การปรากฏตัวของอวิ๋นเยี่ยนั้นแปลกเกินไป หลายตระกูลที่เก็บตัวอยู่ก็กำลังตรวจสอบชาติกำเนิดเขา ต่างก็ตามหาอาจารย์ของเขา ต่างก็ต้องการที่จะรู้ว่าเขาในช่วงสิบห้าปีที่ผ่านมาประสบพบเจออะไรบ้าง พวกเขาล้มเลิกการเข้าใกล้ตัวอวิ๋นเยี่ยโดยไม่ได้นัดหมาย เพียงแต่ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อค้นหาตัวตนของอวิ๋นเยี่ยผู้ซึ่งเป็นบุคคลที่ลึกลับคนนี้ให้ชัดเจน
เขาให้สร้างความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งให้กับผู้ฝึกฌาณ เป็นตัวอย่างที่จับต้องได้ของคนที่แสวงหาชีวิตอมตะจำนวนมากมาย ผู้คนเหล่านี้เข้าหาอวิ๋นเยี่ยผ่านช่องทางต่างๆ ช่วยแก้ปัญหานับไม่ถ้วนให้กับเขา แม้แต่ช่วยฆ่าคนแทนเขา
บนสวรรค์ไป๋อวี้จิงที่รุ่งเรือง สิบสองเมืองกับอีกเก้าตำหนัก เทพเซียนลูบหัวด้วยเมตตารัก เกล้าผมเพื่อปกปักษ์ชีวิตยั่งยืน
นี่คือบทกวีของหลี่ไป๋ นี่เป็นสิ่งเดียวที่อวิ๋นเยี่ยพอจะรู้มาเพียงเล็กน้อย ก่อนหน้านั้นเขาไม่เคยรู้ว่าไป๋อวี้จิงคืออะไร รู้สึกเพียงว่าบทกวีนี้เป็นสิ่งที่เลื่อนลอยมากและเป็นเรื่องของเทพเจ้า เพื่อที่จะให้เป็นไปตามเรื่องที่เขาพูด จึงได้แต่งเรื่องยกสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งขึ้นมา เขาไม่รู้เลยว่าผู้อื่นต้องจ่ายค่าตอบแทนราคาเท่าไร
หากว่าชายชราที่สวมชุดผ้าเก๋อปู้รู้ถึงความจริงของเรื่องนี้ เขาคงจะฉีกอวิ๋นเยี่ยเป็นชิ้นทั้งเป็นแล้วกลืนลงไปเป็นแน่ น่าเสียดายที่เบาะแสทั้งหมดบ่งชี้ว่าอวิ๋นเยี่ยเป็นศิษย์ของผู้สูงส่ง ดังนั้นเหตุการณ์ยังคงต้องดำเนินต่อไป คนอย่างไรก็ต้องตาย ยังคงต้องสิ้นเปลืองพลังงานต่อไป แต่ความเพ้อฝันที่จะได้ชีวิตอมตะก็ยังคงเป็นเพียงความเพ้อฝัน
“หลอกคนจนตายแต่ไม่ยอมชดใช้ชีวิต!” เหล่าเหอซ่อนตัวอยู่ในรถม้าชกอกกระทืบเท้า เบื้องหน้าที่เห็นคือที่กว้างยิ่งรกร้างมากขึ้นทุกที หญ้าก็เริ่มงอกขึ้นเรื่อยๆ ในใจรู้สึกผิดหวังชอกช้ำ การหาหนทางสร้างฐานะภายในสนามรบที่เต็มไปด้วยคมหอกคมดาบ ลูกธนูดั่งห่าฝน ตัวเองนั้นโง่เขลามากเพียงไร เงินที่เขานำติดตัวมาทั้งหมดยังไม่ถึงห้าร้อยก้วน เขามองไม่เห็นความหวังที่จะเปลี่ยนเงินห้าร้อยก้วนให้เป็นห้าพันหรือห้าหมื่นก้วนได้เลยแม้แต่น้อย“
เรือผุๆ ที่มีแต่รอยรั่วของอวิ๋นเยี่ยลำนี้ ตัวเองเป็นคนก่อขึ้นมาเองโดยไม่คิดให้ถี่ถ้วน ก็ไม่รู้ว่าเป็นวาสนาหรือภัยพิบัติ
กัดขนมเปี๊ยะแห้งที่แข็งอยู่ในปาก จากนั้นกรอกน้ำเย็นจากถุงน้ำกลืนลงไปอย่างยากลำบาก ในลำคอเกิดตุ่มเลือดขึ้นหลายจุดซึ่งทั้งหมดก็เพราะถูกขนมเปี๊ยะแห้งๆ นี่ปาดจนเป็นแผล ต้องกลั้นน้ำตาไว้ที่ขอบตาไม่ให้ไหลออกมา
เพื่อครอบครัว ฉันต้องยืนหยัดต่อไป ในใจคิดเช่นนี้แล้ว เหล่าเหอก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของตัวเองดูสูงส่งขึ้นมาทันที
หลังจากยืนหยัดได้เป็นเวลาสองวัน อวิ๋นเยี่ยก็ไม่สามารถทนได้อีกต่อไป การสวมชุดเกราะขี่ม้าวิ่งขึ้นหน้าและลงหลังในขบวนทัพดูสง่าน่าเกรงขาม แต่เมื่อนานวันเข้า ขาหนีบสีกับอานม้าจนบวมแดง เพียงแค่นั่งม้านั่งก็ปวดแสบปวดร้อน ซุนซือเหมี่ยวก็ไม่สนใจ บอกว่ามันเป็นเรื่องปกติที่จะขาหนีบจะสีกับอานม้า ไม่จำเป็นต้องรักษา อดทนเพียงแค่ไม่กี่วันเดี๋ยวก็จะหายเอง
เมื่อย้อนคิดถึงกองทหารเว่ยอู่จุ้ยในสมัยจั้นกั๋ว “สวมชุดเกราะหนักหนาที่สามชั้น สะพายธนูสือเอ้อร์กงกับลูกธนูห้าสิบดอก พกดาบถือง้าว นำเสบียงสำหรับสามวันติดตัว เดินทางวันละหนึ่งร้อยลี้” คนอะไรจะสามารถวิ่งได้ร้อยลี้ภายในเวลาครึ่งวัน เมื่อถามเหล่าหนิวสุดท้ายกลับโดนด่า ทั้งยังหัวเราะเยาะที่อวิ๋นเยี่ยเอาความรู้ที่เรียนมาไปทิ้งคลอง หนึ่งฟุตในยุคสมัยนั้นมีระยะทางสั้นกว่าปัจจุบันสามส่วน กล่าวคือครึ่งวันสามารถวิ่งได้หกเจ็ดสิบลี้ เช่นนี้ยังถือว่าเป็นทหารที่ชั้นเลิศ ทหารทั่วไปสามารถวิ่งร้อยลี้ต่อวันซึ่งเป็นทหารที่มีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์
หลังจากที่ด่าเสร็จก็ยังอารมณ์ค้างอยู่ คว้าธนูแข็งไว้ในมือแล้วยิงใส่พงหญ้าอย่างไม่เลือกจุด เมื่อยิงเสร็จก็ให้ทหารคนสนิทแบกเหยื่อกลับมา คืนนี้จะได้เพิ่มอาหารอีกหนึ่งอย่าง จากนั้นก็เอนกายนอนลงบอกว่ามึนศีรษะ ต้องพักผ่อน ไล่อวิ๋นเยี่ยออกนอกรถม้าและตัวเองก็นอนหลับไป
เป็นห่วงจริงๆ ว่าทหารเหล่านั้นจะแบกคนออกมาจากพงหญ้า เนื้อมนุษย์ย่างยามดึกนั้น อวิ๋นเยี่ยขอขอบคุณแต่ไม่ขอรับไว้จะดีกว่า
ไม่เลว คนป่วยติดเตียงยังสามารถยิงหมาป่าได้ นับถือผู้เฒ่าคนนี้จริงๆ เขาได้เสพสุขตลอดการเดินทางนี้ เหล่าซุนและอวิ๋นเยี่ยดูแลเขาเสมือนดูแลหมีแพนด้าตัวใหญ่ อาหารของทุกวันล้วนแล้วแต่อวิ๋นเยี่ยลงมือทำเอง ซุนซือเหมี่ยวทำการฝังเข็ม ต้มยาให้เขาทุกวัน แม้กระทั่งฮ่องเต้ก็ใช่ว่าจะมีวาสนาเช่นนี้ เขารับไปหมดอยู่คนเดียว
ที่จริงแล้วขบวนกองทัพไม่จำเป็นต้องให้อวิ๋นเยี่ยดูแล พวกเขาเป็นทหารผ่านศึกทั้งหมด ม้าของหน่วยสอดแนมก็ถูกปล่อยออกไปตั้งนานแล้ว กองกำลังปีกซ้ายปีกขวาก็ยังมีหน่วยสอดแนมทำหน้าที่อยู่ เป็นลักษณะการเดินทัพที่ได้มาตรฐานอย่างชัดเจน รับมือคนที่ปีนขึ้นจากกองซากศพได้ไม่ยาก
หมอบอยู่บนเพลารถและมองลงไปด้านล่างเห็นถนนค่อยๆ เคลื่อนไปด้านหลังอย่างช้าๆ มองดูอยู่ครู่หนึ่งก็เกิดเวียนศีรษะจากนั้นก็แอบนอนพักหนึ่ง เพียงแค่พักหนึ่ง พักหนึ่งที่ฝืนเดินทางมุ่งหน้าสู่เมืองซั่วฟาง
ด้านหน้ามีเสียงแตรดังขึ้น เหล่าหนิวก็รีบพุ่งตัวขึ้นยืนบนพื้นและกางแขนออก ทหารก็สวมชุดเกราะให้แก่เขาในทันที ทุกคนช่วยกันสวมด้วยความคุ้นเคย เมื่อม้าศึกของเหล่าหนิวถูกจูงเข้ามา เขาก็แต่งตัวเรียบร้อยแล้ว ขึ้นขี่ม้า ดึงหอกหม่าซั่วลงจากที่วางอาวุธบนหลังม้า มุ่งไปหาอวิ๋นเยี่ยและโกนว่า “ซ่อนตัวให้ดี” ขยับโกลนเบาๆ และแทรกตัวขึ้นไปข้างหน้า อวิ๋นเยี่ยเพิ่งสวมชุดเกราะเสร็จ ก็ได้ยินเสียงแตรอีกสองครั้ง ทหารผ่านศึกที่เตรียมพร้อมสำหรับการออกรบค่อยๆ ผ่อนคลายลงในทันที ใครมีหน้าที่อะไรก็ทำไป
เมื่อถามแล้ว จึงได้รู้ว่าที่แท้เป็นคนกันเองไม่ใช่ชาวทูเจวี๋ย อวิ๋นเยี่ยจึงปลอบใจเหล่าเหอที่กำลังจะปัสสาวะรดกางเกง บอกให้เขาปล่อยมือที่จับชุดเกราะของตัวเองไว้ออก ขณะที่กำลังจะขึ้นไปข้างหน้าเพื่อดูว่าใครมารอต้อนรับตัวเอง กลับเห็นสวี่จิ้งจงปีนลงมาจากรถม้า ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าของเขาอย่างสุขุม เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยมองเขาจึงเดินเข้ามาข้างหน้าประสานมือ “อวิ๋นโหว เป็นทหารที่เมืองซั่วฟางส่งมาต้อนรับใช่หรือไม่”