ตอนที่ 1139 คนข้างกายของซูหลี / ตอนที่ 1140 ตรวจสอบ!

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 1139 คนข้างกายของซูหลี

 

 

นี่ไม่ใช่จี้เหิงหรานเจตนาพูดให้ตื่นกลัว สภาพการณ์ของตัวซูหลีนั้นไม่เหมือนกันเขา

 

 

ตลอดเส้นทางนี้เขากับฉินเย่หานเดินมาด้วยกัน เป็นธรรมดาที่จะรู้ว่าคนไหนบ้างที่มีเจตนาไม่ดี

 

 

อีกทั้งวันเวลาที่ซูหลีเข้ามาเป็นขุนนางในราชสำนักยังไม่นานนัก ข้างกายมีคนดีและคนเลวปะปนเต็มไปหมด ไม่ว่าคนประเภทไหนก็มี

 

 

หากมีคนที่อยู่ข้างกายนางพูดอะไร ถึงทำให้นางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ นั่นก็เห็นท่าจะไม่ดีแล้ว

 

 

จี้เหิงหรานนั้นทราบถึงความสำคัญของซูหลีที่มีในใจของฉินเย่หาน แต่ก็ทราบดีว่าตนเองอยู่ในตำแหน่งอะไร หากพวกเขาทั้งสองคนเกิดความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะต่อเขา ต่อซูหลี แม้กระทั่งต่อฉินเย่หาน

 

 

ล้วนไม่ใช่เรื่องดีนัก!

 

 

“ตุบ!” มือของฉินเย่หานที่กำลังเคาะบนโต๊ะพลันหยุดลง

 

 

เขาเหลือบตาขึ้น และไม่ได้มองไปทางจี้เหิงหราน แต่กลับเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “อั้นอี”

 

 

“พรึ่บ!” ทันทีที่เขาพูดจบ ก็มีชายชุดดำปรากฏตัวต่อหน้าเขากับจี้เหิงหราน ประหนึ่งสายลมมิปาน

 

 

สำหรับการปรากฏอย่างกะทันหันของชายชุดดำต่อหน้าจี้เหิงหรานนั้น ไม่ได้สร้างความประหลาดให้เขาแม้แต่น้อย

 

 

“นายท่านขอรับ” อั้นอีคุกเข่าคำนับอย่างนอบน้อม จากนั้นเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

“หลายวันมานี้ คนที่ปรากฏข้างกายซูหลีมีใครบ้าง และนางพบปะกับใครบ่อยครั้ง หรือพูดอะไรบ้าง” จี้เหิงหรานเป็นคนถามขึ้น เขาเอ่ยถามคำถามที่ตนสงสัยออกมาอย่างหมดเปลือก

 

 

อั้นอีรู้ดีว่าตำแหน่งของจี้เหิงหรานที่อยู่ข้างกายของฉินเย่หาน สำหรับเรื่องที่เขาเอ่ยถาม ก็ไม่ได้มีความคิดเห็นแตกต่างอะไรนัก เขาชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นจึงเอ่ยว่า

 

 

“ความเคลื่อนไหวทางด้านใต้เท้าซูนั้นเป็นไปตามปกติ ในช่วงเวลานี้ไม่ได้มีคนพิเศษอะไรปรากฏตัวขึ้น มีเพียง…”

 

 

“มีเพียงอะไร” จี้เหิงหรานขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นถามเสียงเขา

 

 

แม้แต่ฉินเย่หานก็ยังปรายตากวาดมองไปที่อั้นอี

 

 

อั้นอีรีบเอ่ยต่อ “มีเพียงวันที่หอหร่วนเซียงเชิญใต้เท้าซู ในวันนั้นพบปะกับคนจำนวนมาก ทว่ากลับไม่มีท่าทีแตกต่างจากปกติขอรับ!”

 

 

ข้างกายซูหลีมีคนที่ฉินเย่หานสอดแทรกไว้ตลอด เรื่องนี้พวกเขาทราบดี ตัวซูหลีเองก็ทราบดี

 

 

ที่จริงคนเหล่านี้มีไว้เพื่อปกป้องซูหลี ทว่าในบางเวลา หากความประพฤติของซูหลีผิดแผกไปจากเดิม เขาก็สามารถใช้คนเหล่านี้ได้

 

 

ซูหลีไปที่ใด พบปะกับใครบ้าง ขอเพียงฉินเย่หานอยากจะรู้ ก็มีคนมารายงานเขาทันที

 

 

“ในวันที่หอหร่วนเซียงเชิญไปวันนั้น…” สีหน้าของจี้เหิงหรานเข้มขึ้น นี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ยากจะตรวจสอบ หากเป็นวันนั้นละก็ คนที่ซูหลีพบปะนั้นมีมากเกินไป

 

 

อีกทั้งวันนั้นเพราะว่าในช่วงท้ายเกิดเรื่องขึ้น ทั้งหอหร่วนเซียววุ่นวายไปหมด สรุปแล้วเป็นใครที่พูดอะไรกับซูหลี อย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตรวจสอบได้ง่ายโดยแท้

 

 

“ฉินมู่ปิงอยู่ที่ใด” ทว่าในขณะที่จี้เหิงหรานอับจนหนทาง ฉินเย่หานที่นั่งเงียบมาโดยตลอด พลันเอ่ยถามด้วยเสียงเยียบเย็น

 

 

จี้เหิงหรานชะงักไปวูบหนึ่ง จากนั้นเหลือบตามองที่ฉินเย่หานอย่างรวดเร็ว

 

 

ทว่าฉินเย่หานกลับไม่มองทางเขา กลับมองอั้นอีคนนั้น

 

 

ดวงตาของอั้นอีเปล่งประกายเล็กน้อย จากนั้นเอ่ยว่า “ซื่อจื่อก็อยู่ด้วยขอรับ อีกทั้งในวันนั้นยังนั่งอยู่ข้างใต้เท้าซู”

 

 

ฉินมู่ปิงเป็นคนที่พวกเขาจับตาสังเกตมากที่สุด ในยามปกติจะจับตาดูการเคลื่อนไหวของเขา ดังนั้นรู้ว่าเขาเข้าใกล้ซูหลี จึงไม่ใช่เรื่องแปลก

 

 

“เป็นเขา!” คำพูดของอั้นอี กลับทำให้สีหน้าของจี้เหิงหรานเปลี่ยนไปเล็กน้อย

 

 

“เขานั้นใจกล้าไม่น้อย ต้องการโน้มน้าวในซูหลีเข้าใจผิดในสถานการณ์แบบนั้น!” จี้เหิงหรานแค่นยิ้มเย็นออกมา ครั้นอยู่ต่อหน้าฉินเย่หาน เขาไม่เก็บซ่อนอาการเลยแม้แต่น้อย

 

 

“พูดถึงซื่อจื่อ วันนั้นก็มีเรื่องประหลาดเรื่องหนึ่งขอรับ” หลังจากอั้นอีชะงักค้างไปครู่ พลันเอ่ยเสริมขึ้นประโยคหนึ่ง

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 1140 ตรวจสอบ!

 

 

“เรื่องประหลาดอะไร” จี้เหิงหรานขมวดคิ้วแล้วเอ่ยขึ้น

 

 

“ซื่อจื่อกับใต้เท้านั่งอยู่ด้วยกันในวันนั้น คนที่ใต้อาณัติกลับไม่กล้าเข้าใกล้พวกเขามากเกินไป และไม่รู้ว่าทั้งสองคนพูดอะไรกัน ทว่า…ดูเหมือนว่าซื่อจื่อจะเขียนตัวอักษรตัวหนึ่งบนโต๊ะ หลังจากที่ใต้เท้าซูเห็นตัวอักษรนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนไปทันที”

 

 

อั้นอีฉุกคิดถึงสถานการณ์ในวันนั้น จากนั้นรายงานด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น

 

 

“เห็นชัดเจนว่าเป็นตัวอักษรอะไรหรือไม่” คิ้วของจี้เหิงหรานย่นจนจะกลายเป็นตัวอักษรชวน[1]แล้ว

 

 

เขียนตัวอักษรตัวเดียวก็สามารถทำให้ท่าทีของซูหลีเปลี่ยนไปมากขนาดนี้เลยหรือ

 

 

เรื่องนี้ฟังดูแล้ว อย่างไรก็แปลกประหลาดจริงๆ

 

 

“ไม่ขอรับ” คนที่คุ้มกันซูหลีอยู่ในความสนใจของอั้นอี ทว่ากลับมองไม่เห็นตัวอักษรบนโต๊ะ

 

 

“หลังจากนั้นเล่า ซูหลีมีท่าทีอย่างไร”

 

 

“หลังจากนั้นก็เกิดการปะทะในหอหร่วนเซียง ใต้เท้าซูก็ต่อสู้กับคนอื่น คล้ายกับไม่ได้ใส่ใจเรื่องนั้นมิปาน” อั้นอีก้มหน้าลงและเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา

 

 

หลังจากจี้เหิงหรานได้ยินคำพูดประโยคนี้แล้ว จึงส่งเสียงร้องไม่พอใจออกมา ใบหน้าฉายแววเย้ยหยัน

 

 

ไยจะไม่ใส่ใจเรื่องนี้กัน

 

 

ซูหลีเป็นคนที่เฉลียวฉลาดเกินใคร ก็เพราะความเฉลียวฉลาดนี้ ถึงทำให้นางไม่ถูกควบคุมได้

 

 

“ลงไปเถอะ” ฉินเย่หานที่ฟังคำพูดของทั้งสองคนมาโดยตลอด พลันโบกมือขึ้นสื่อให้อั้นอีออกไป

 

 

อั้นอีได้ยินดังนั้น จึงขานตอบอย่างรวดเร็ว และหายไปจากตรงหน้า รวดเร็วดุจสายลมมิปาน

 

 

สำหรับเหล่าองครักษ์ลับที่ทำตัวลึกลับที่อยู่ข้างกายฉินเย่หาน จี้เหิงหรานนั้นชินกับเรื่องนี้แล้ว หลังจากอั้นอีออกไปแล้ว เขาจึงเอ่ยเสียงเบาว่า

 

 

“เกรงว่าฉินมู่ปิงคงไม่พูดอะไรดีๆกับซูหลี ทว่าพูดอย่างจริงจังแล้ว นอกจากเรื่องที่ข้าต้องการลงมือกับซูหลีก่อนหน้านี้ ข้าก็คิดไม่ออกจริงๆว่า ยังมีเรื่องอะไรที่สามารถทำให้ท่าทีที่ซูหลีมีต่อข้าเปลี่ยนไป”

 

 

ฉินเย่หานได้ยินดังนั้น ดวงตาจึงลุ่มลึกขึ้น ทว่ากลับไม่พูดตอบอะไร

 

 

จี้เหิงหรานไม่รู้ ทว่าฉินเย่หานอาจจะรู้สาเหตุของเรื่องนี้ก็ได้

 

 

เรื่องที่ซูหลีกระทำให้ช่วงเวลานี้ ดูเหมือนจะยุ่งเหยิงไม่เป็นระบบระเบียบ อีกทั้งใช้กำลังทั้งหมดประหนึ่งลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์[2] จัดการกับทั้งสองสกุลใหญ่จนล่มสลายไป

 

 

เรื่องนี้ดูเหมือนว่า รังแต่จะทำให้คนรู้สึกว่าซูหลีใช้อำนาจบาตรใหญ่ก็เท่านั้น

 

 

อย่างไรสิ่งที่แอบแฝงอยู่ภายในนี้ กลับเป็นเรื่องของสกุลหลี่

 

 

หลังจากเขารับรู้เรื่องเหล่านั้นแล้ว จึงไม่ยากที่จะรู้ว่า เรื่องที่ซูหลีเข้ามาเป็นขุนนาง เรื่องที่นางจัดการกับสกุลป๋ายและสกุลเซียว ล้วนเป็นเพราะเรื่องของสกุลหลี่

 

 

บัดนี้ที่จู่ๆท่าทีของนางเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ จักต้องเกี่ยวข้องกับสกุลหลี่อย่างแน่นอน

 

 

สำหรับซูหลีแล้ว ควรจะไม่มีเรื่องอะไรสำคัญเท่ากับเรื่องของสกุลหลี่

 

 

เรื่องนี้ฉินเย่หานนั้นทราบดี ทว่าคนอื่นกลับไม่สามารถรับรู้ได้

 

 

ทว่า…

 

 

ครั้นทราบเรื่องนี้แล้ว เห็นว่าเพื่อเรื่องของสกุลหลี่แล้ว ซูหลีไม่แม้กระทั่งจะเชื่อใจเขา ซ้ำยังถูกฉินมู่ปิงพูดโน้มน้าวจนเข้าใจผิด ทั้งยังแผ่ความเย็นยะเยียบออกมารอบกายฉินเย่หานอย่างไม่หยุดหย่อน

 

 

จี้เหิงหรานที่ยืนอยู่ข้างเขารู้สึกถึงอากาศเย็นยะเยียบระลอกหนึ่ง ร่างกายอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ จากนั้นจึงหันศีรษะมองไปทางฉินเย่หานแล้วเอ่ยว่า

 

 

“ฝ่าบาททรงมีความคิดเห็นอะไรหรือไม่”

 

 

ดวงตาของฉินเย่หานลุ่มลึก ครั้นได้ยินกลับไม่มองเขา แต่กลับแสดงสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ยว่า “ตรวจสอบ!”

 

 

ตรวจสอบอะไร

 

 

แน่นอนว่าตรวจสอบว่าฉินมู่ปิงพูดอะไรบ้าง และทำให้ซูหลีเข้าใจผิดได้อย่างไร

 

 

ในดวงตาของจี้เหิงหรานฉายความรู้สึกไม่สบายใจออกมา เขาต้องการจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าของฉินเย่หานแล้ว จึงกลืนคำพูดที่ตนอยากจะพูดลงไป

 

 

สำหรับซูหลีคนนี้ ที่จริงแล้วเขาไม่ค่อยวางใจเท่าไรนัก

 

 

ทว่าฉินเย่หานชื่นชอบนาง เรื่องนี้แม้แต่เขาก็ไม่มีวิธีจัดการได้

 

 

ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงตรวจสอบเท่านั้น!

 

 

 

 

——

 

 

[1] ชวน (川) หมายถึงแม่น้ำ ในบริบทนี้ใช้ลักษณะของตัวอักษรบรรยายลักษณะของคิ้วที่ย่นติดกัน

 

 

[2] ลูกวัวแรกเกิดไม่กลัวพยัคฆ์ เป็นสำนวน หมายถึงคนรุ่นใหม่ไฟแรง ไม่กลัวอุปสรรคใดๆ