ตอนที่ 442 เฉินเฉิน ไม่ต้องอายหรอก / ตอนที่ 443 นายจะเสียใจทีหลังไหม

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 442 เฉินเฉิน ไม่ต้องอายหรอก  

 

 

           นิ้วมือซือเหยี่ยนสะดุ้ง เวลานี้ถึงได้ยื่นมือไปแก้เชือกด้านบน หลังจากนั้นก็แกะกระดองปูออก 

 

 

           หลังจากแกะเนื้อปูเสร็จ ซือเหยี่ยนถึงได้ส่งเนื้อปูต่อให้เจียงมู่เฉิน 

 

 

           เจียงมู่เฉินรีบร้อนรับต่อมา กวาดของที่อยู่ด้านข้างออกให้หมด หลังจากนั้นก็กัดเนื้อปูเข้าไปคำหนึ่ง 

 

 

           รสชาติความสดใหม่อบอวลอยู่ในปาก คิ้วเจียงมู่เฉินคลายปมด้วยความสบายใจ 

 

 

           เขากินไข่ปูจนเกลี้ยงแล้วส่งจานกลับคืนให้ซือเหยี่ยน “พี่ชาย แกะอีกสิ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนก็ไม่ได้พูดอะไร แกะปูให้เจียงมู่เฉินอีก เจียงมู่เฉินนั่งขัดสมาธิอยู่บนโต๊ะ กินปูราวกับกินอะไรที่เอร็ดอร่อยที่สุดในโลกนี้ 

 

 

           แววตาลึกล้ำของซือเหยี่ยนจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าของเจียงมู่เฉิน นัยน์ตาเจือความสับสน 

 

 

           หลังจากกะพริบตา นัยน์ตาก็กลับมาใสดังเดิม 

 

 

           ขณะที่เจียงมู่เฉินกินไปด้วย ก็ยังไม่ลืมที่จะแบ่งให้ซือเหยี่ยนส่วนหนึ่งด้วย “นี่ให้นายนะ นายก็กินด้วยสิ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูปูตัวนั้นก็ส่ายหัว “ไม่ต้อง” 

 

 

           เจียงมู่เฉินคิด ซือเหยี่ยนคงจะรังเกียจปูของที่หน้าตาน่าเกลียดแบบนี้ ดังนั้นจึงกินไม่ลง 

 

 

           ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เขาก็จะไม่บีบบังคับ พอดีเขากินแค่ชิ้นเดียวก็ยังไม่จุใจอยู่ดี 

 

 

           ด้วยเหตุนี้เจียงมู่เฉินจึงกินปูตัวใหญ่สองตัวอยู่ตรงนั้นจนหมดเกลี้ยงด้วยความรวดเร็วฉับไว 

 

 

           หลังจากกินเสร็จ เจียงมู่เฉินทำตาปรือนั่งอยู่ตรงนั้น ใบหน้าอิ่มเอม 

 

 

           ซือเหยี่ยนเองก็ไม่ได้พูดอะไร จัดการสะสางขยะที่เจียงมู่เฉินสร้างขึ้นมาทั้งหมดให้เรียบร้อย 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอามือเท้าคางมองซือเหยี่ยน พลางเอ่ยขึ้นนิ่งๆ “ซือเหยี่ยน ถ้านายเป็นผู้หญิง คุณชายรับรองจะแต่งนายเข้าบ้านเลย” 

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่ถือจานอยู่หยุดชะงักไป เขากระชับมือแน่น เอ่ยตอบกลับไป “ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ผมจะไม่แต่งคุณเข้าบ้านแน่” 

 

 

           พูดจบก็วางจานลงต่อหน้าเจียงมู่เฉิน แล้วเดินออกจากโรงอาหารไป 

 

 

           เจียงมู่เฉินนั่งอยู่บนโต๊ะ ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองกลับมาเท่าไหร่นัก 

 

 

           ‘ก็แค่พูดสมมติเฉยๆ ว่าซือเหยี่ยนเป็นผู้หญิงไม่ใช่เหรอ ไม่อยากเป็นผู้หญิง หรือว่าดูถูกคุณชายกันแน่’ 

 

 

           เจียงมู่เฉินลูบจมูกปอยๆ รู้สึกว่าเจ้าหมอนี่แปลกๆ จริงๆ 

 

 

           …… 

 

 

           “เฉินเฉิน ทำไมไม่กินล่ะ” 

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นเจียงมู่เฉินจ้องมองชาม ไม่มีท่าทีตอบสนองอยู่นานสองนาน จึงอดจะเอ่ยปากถามไม่ได้  

 

 

           เวลานี้เองที่เจียงมู่เฉินมีท่าทีตอบสนองกลับมา เขากะพริบตาปริบๆ ยิ้มหัวเราะ “เมื่อกี้คิดเรื่องบางอย่างอยู่ครับ” 

 

 

           “ตอนกินข้าว อย่าคิดถึงเรื่องอื่นเลย รีบกินเถอะ ดูว่าอาหารฝีมืออาของเราจะถูกปากเราหรือเปล่า” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ ใช้มือหยิบปูในชามขึ้นมากิน ก้มหน้ากัดเข้าไป ยังเป็นรสชาติที่อยู่ในความทรงจำนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะกะพริบตาไม่ได้ 

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นเขากินข้าวแล้ว ก็เริ่มขยับตะเกียบ เจียงมู่เฉินกัดเนื้อปูเข้าไปคำหนึ่ง แล้วเงยหน้ามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่ง 

 

 

           ก็เห็นเพียงแค่ซือเหยี่ยนที่จ้องมองเขาอยู่ตลอด เมื่อตอนที่เงยหน้าขึ้นมานั้น มุมปากยังเลอะอยู่บ้าง 

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงกระดาษทิชชูจากด้านข้าง มาเช็ดที่มุมปากของเจียงมู่ฌฉินอย่างเบามือ 

 

 

           เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้ ไม่นึกเลยว่าวันนี้ซือเหยี่ยนจะทำอะไรให้เขาดีกว่าเมื่อก่อนได้ 

 

 

           เมื่อก่อนแกะกระดองปูให้เขา ตอนนี้ยังรู้จักเอากระดาษทิชชูมาเช็ดปากให้เขาอีก 

 

 

           ทั้งสองคนอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ของซือเหยี่ยน ท่าทางสนิทสนมชิดเชื้อ ดูแล้วไม่ได้เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ในเวลาอันสั้น 

 

 

           เหวินฮุ่ยเห็นทั้งสองคนโปรยอาหารสุนัข[1]กันเต็มที่ เธอจึงอดจะหรี่ตามองด้วยความอิจฉาไม่ได้ ส่วนคุณพ่อซือที่อยู่ข้างๆ ก็นั่งกินข้าวด้วยสีหน้าสงบนิ่ง 

 

 

           ราวกับมองไม่เห็นพวกเขาสองคนอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           เจียงมู่เฉินนึกขึ้นได้แล้วว่าข้างๆ ยังมีพ่อแม่ของซือเหยี่ยนอยู่ด้วย จึงรีบหยิบกระดาษทิชชูจากมือซือเหยี่ยนมา ตัวเองเอามาเช็ดเอง 

 

 

           เวลาปกติพวกเขาสองคน อย่าเอ่ยถึงแค่เรื่องเช็ดปาก พวกเขาเปลื้องผ้ากอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน ก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไร 

 

 

           แต่ผู้อาวุโสอยู่ต่อหน้าจะทำแบบนี้กันก็ไม่ได้ รู้สึกเขินๆ ยังไงชอบกล 

 

 

           เขารีบทำหน้าขรึมเก็บอาการแล้วกินอาหารต่อทันที เหวินฮุ่ยเห็นอย่างนี้ ก็ยิ้มออกมา “เฉินเฉิน ไม่ต้องอายหรอก” 

 

 

 

 

 

[1] โปรยอาหารสุนัข เป็นศัพท์ที่ใช้ในหมู่วัยรุ่น กิริยาการอวดผัวอวดเมีย โชว์ความรักให้คนอื่นเขาอิจฉาหมั่นไส้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 443 นายจะเสียใจทีหลังไหม 

 

 

           อาหารมื้อหนึ่งใช้เวลากินนานมาก คนที่ปกติกินเพียงแค่ชามเดียวได้ คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะกินไปแล้วสองชาม เจียงมู่เฉินนั่งอิ่มแปล้อยู่บนเก้าอี้ ไม่ขยับตัวไปไหน 

 

 

           เหวินฮุ่ยกับคุณพ่อซือรู้งานเป็นพิเศษ หาข้ออ้างออกไปเดินเล่นแล้ว 

 

 

           คฤหาสน์ทั้งหลังเหลือแค่เพียงซือเหยี่ยนกับเจียงมู่เฉินสองคน 

 

 

           เจียงมู่เฉินเป็นอัมพาตอยู่บนโซฟา เอ่ยคำขอบคุณแฝงอย่างเงียบๆ “พ่อแม่นายยังเปิดกว้างได้อีกนิดไหมนี่” 

 

 

           ‘ธรรมดาการเข้าพบผู้ใหญ่ของอีกฝ่าย ก็ควรจะตื่นตระหนกมาก แล้วพ่อแม่ซือเหยี่ยนต้องกลั่นแกล้งเขาแล้วไม่ใช่เหรอ… 

 

 

           …แต่พ่อแม่ของซือเหยี่ยนแม้กระทั่งกินอาหารเสร็จแล้ว ก็ยังให้เวลาพวกเขาอยู่กันตามลำพัง ทำไมเรื่องแบบนี้ยังนึกได้’ 

 

 

           โดยเฉพาะเวลาก่อนที่จะออกไป แม่ของซือเหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นพร้อมยิ้มตาหยีให้ “แม่กับพ่อคงจะค่ำๆ ถึงจะกลับมากัน เราสองคนมีอะไรก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไปนะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉิน “…” 

 

 

           ‘ทำยังกับว่าตัวเองอยากจะกับซือเหยี่ยนจะป๊าบๆๆ ไปได้’ 

 

 

           เขาเอามือกุมหน้าผากอย่างจนใจ เขาไม่ได้คิดจะอะไรยังไงกับซือเหยี่ยนจริงๆ นะ 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นเขาทำหน้าตาปลงโลก ก็ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “เพราะว่าพวกท่านชอบคุณ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำพูดนี้ก็อดจะภูมิใจไม่ได้ 

 

 

           “แหงสิ ฉันทั้งเก่ง ฉลาด รูปหล่อขนาดนี้ แล้วยังดึงดูดใจให้คนชอบเป็นพิเศษอีก ใครจะไม่ชอบฉันได้” 

 

 

           รอยยิ้มในแววตาของซือเหยี่ยนหยั่งลึกลงกว่าเดิม เอ่ยเสริมข้างหลังเข้าไป “อืม ใครๆ ก็ชอบคุณ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินกำลังจะเตรียมเชิดหางขึ้น ก็ได้ยินซือเหยี่ยนพูดมาอีกประโยค “แต่ว่าผมชอบคุณที่สุด” 

 

 

           …เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าจู่ๆ หัวใจก็มีแรงผลักไปให้เหมือนกับชิงช้าที่แกว่งไปแกว่งมาอยู่ในอากาศ 

 

 

           เขาขบกราม เอื้อมมือไปคว้าซือเหยี่ยนไว้แน่น ไม่ยอมให้ชี้แจ้งแก้ตัวใดใดทั้งสิ้น เขาเงยหน้าประกบปากซือเหยี่ยนไว้ 

 

 

           พันธนาการด้วยริมฝีปากกันครู่หนึ่ง เจียงมู่เฉินถึงได้เอามือผลักเขาออก แล้วเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “คุณชายอิ่มมาก นายเงียบหน่อยจะได้ไหม” 

 

 

           ‘เขาอิ่มจนไม่ไหว แต่ซือเหยี่ยนดันจงใจยั่วเย้าเขา นี่ไม่ใช่การทำให้เขาเกิดคึกขึ้นมาจะๆ หรือไง’ 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองดูริมฝีปากแดงระเรื่อของเจียงมู่เฉิน เสียงต่ำขานรับ “อืม ได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอนหลังบนโซฟาสักพัก ยังรู้สึกอิ่มมากอยู่ เขาครุ่นคิดแล้วจึงเอื้อมมือไปดึงซือเหยี่ยนมา “นายมาดึงฉันขึ้นหน่อย ฉันต้องออกไปเดินสักหน่อย” 

 

 

           ซือเหยี่ยนส่งมือไปดึงเขาขึ้นมา 

 

 

           ทั้งสองคนออกมาข้างนอก เจียงมู่เฉินเดินโซซัดโซเซด้วยอย่างอ้อยอิ่ง สีหน้าสังเวชตัวเอง 

 

 

           ซือเหยี่ยนเห็นอาการของคนตรงหน้าแล้ว ก็ยกยิ้มมุมปากขึ้นอย่างขบขัน “อาการหนักขนาดนี้จริงๆ เหรอ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินมองเขาแวบหนึ่งอย่างไม่สบอารมณ์ “ไม่โอเค นายมาลองไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยกมือลูบจมูกปอยๆ ตัดสินใจไม่พูดต่อ 

 

 

           เดินเป็นเพื่อนเจียงมู่เฉินวนรอบสวนดอกไม้ไปสองรอบ เจียงมู่เฉินรู้สึกว่าอาหารที่จุกอกอยู่ในที่สุดก็ย่อยไปบางส่วนแล้ว  

 

 

           เขานึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ที่ซือเหยี่ยนเดินเล่นเป็นเพื่อนเขาขึ้นมา แล้วอดจะเอ่ยแซวไม่ได้ “ซือเหยี่ยน นายว่าเมื่อกี้นี้นายเหมือนมาเดินเล่นเป็นเพื่อนคนท้องไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนแววตาลึกล้ำลงอีกนิด “ถ้าคุณเป็นคนท้อง ก็เหมือนอยู่” 

 

 

           ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินคิดถึงอะไรขึ้นมา เขากะพริบตาปริบๆ “นายว่าถ้าคุณชายมีลูกให้นายจะเป็นยังไงบ้าง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนดึงนิ้วเจียงมู่เฉินมากำไว้เล็กน้อย 

 

 

           เจียงมู่เฉินอ่อยเสร็จ ก็เริ่มสาดน้ำเย็นเบรกซือเหยี่ยนไว้ “น่าเสียดาย คุณชายเป็นผู้ชายเอาจริงเอาจัง จะมีลูกก็ไม่ต้องคิดแล้ว” 

 

 

           ‘ไม่อย่างนั้นถ้ายึดตามระดับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแนบแน่นที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ป่านนี้คงจะมีลูกเต็มบ้านวิ่งละลานตาไปหมดแล้ว’ 

 

 

           “อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ 

 

 

           เจียงมู่เฉินเอียงหน้ามองเขา “นายคบกับคุณชาย ต่อไปก็จะไม่มีลูก นายจะเสียใจทีหลังไหม” 

 

 

           ซือเหยี่ยนมองเจียงมู่เฉินด้วยท่าทีสงบนิ่ง เอ่ยถามย้อนกลับ “แล้วคุณล่ะ จะเสียใจทีหลังไหม” 

 

 

           เจียงมู่เฉินได้ยินคำถามนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึม ราวกับกำลังครุ่นคิด ผ่านไปครู่ใหญ่เขาก็พยักหน้าให้ “ควรจะเสียใจทีหลังมั้ง” 

 

 

           นัยน์ตาซือเหยี่ยนประกายวาบ นิ้วมือกำแน่นโดยไม่ตั้งใจ