ตอนที่ 440 นายอย่าไปนะ
ขณะพูดก็ยังยื่นนิ้วมือที่บาดเจ็บของตัวเองยื่นมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน เอ่ยอย่างน้อยอกน้อยใจ “นิ้วฉันบาดเจ็บอยู่ไง เจ็บมากๆ เลย”
ซือเหยี่ยนเห็นอย่างนี้ก็หยุดชะงักไปเพียงไม่กี่วินาที สุดท้ายเอื้อมมือไปหิ้วปูที่กำลังเตรียมจะหนีขึ้นมา
เจียงมู่เฉินตาลุกวาว รีบตามมาอยู่ข้างหลังของซือเหยี่ยน
“พี่ชาย…นายนี่เป็นคนดีจริงๆ”
ขมับของซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก เขาไม่พูดอะไร แล้วเดินเข้าไปในโรงอาหาร
เวลานี้ในโรงอาหารไม่มีใครสักคน เจียงมู่เฉินคิดอยู่ในใจ ถ้ามีคนอยู่ก็แปลกแล้ว เขาอุตส่าห์เลือกเวลามาอย่างดี
‘ถ้าไม่อย่างนั้นจะมาเปิดเตาในโรงอาหารได้ยังไง’
ร่างกายสูงใหญ่ของซือเหยี่ยนโค้งลงเล็กน้อย เขายื่นอยู่ต่อหน้าอ่างล้างจานล้างปูให้เจียงมู่เฉิน
ไม่รู้ว่าเจียงมู่เฉินไปหาเมล็ดแตงโมมาจากไหน เขานั่งลงบนโต๊ะที่อยู่ข้างๆ นั่งขัดสมาธิทำหน้าเอ้อระเหยลอยชายมองดูซือเหยี่ยนขัดกระดองปูด้วยแปรง
“ซือเหยี่ยน ทางขวา ทางขวา…ตรงนั้นก็ต้องขัดให้สะอาดนะ…
…ทางซ้ายด้วย ทางซ้าย…”
เจียงมู่เฉินจ้องมองปูตัวนั้นไป เอ่ยปากไม่หยุด
ซือเหยี่ยนหยุดการกระทำในมือลงกะทันหัน หันมามองเจียงมู่เฉิน แสดงท่าทีให้รู้ว่า ‘ถ้ายังพูดอีก เขาจะไม่ทำแล้ว’
เจียงมู่เฉินรีบปิดปากทันที ไม่กล้าพูดออกมาสักคำ
‘ถึงยังไงกว่าจะได้มานั้นช่างยากเย็น ถ้าหากทำให้เขาไม่พอใจแล้วเขาล้มเลิกไม่ทำต่อขึ้นมา ก็ขาดทุนหนักแล้วงานนี้’
ซือเหยี่ยนเห็นเขาไม่พูดแล้ว เวลานี้ถึงได้หันหน้ากลับไป
เจียงมู่เฉินเห็นท่าทางที่ไม่เป็นมืออาชีพของเขา ก็ชักจะร้อนใจนิดหน่อยแล้ว ตรงบริเวณที่ควรล้างก็ไม่ล้างเลยสักนิด
ถ้าไม่ใช่เพราะหวาดกลัวสายตาซือเหยี่ยนเมื่อครู่นี้ เจียงมู่เฉินเปิดปากรัวๆ ใส่ไปตั้งแต่แรกแล้ว
อดทนได้ไม่กี่นาที ในที่สุดเจียงมู่เฉินก็อดทนต่อไม่ไหวแล้ว
เขาเอ่ยปากเสียงอ่อน “พี่ชาย ให้ฉันพูดสักประโยคได้ไหม”
ซือเหยี่ยนไม่ได้พูดอะไร แต่หยุดการกระทำลง เจียงมู่เฉินก็เข้าใจได้ในพริบตา ความหมายคือเขาอนุญาตแล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงรีบเอ่ยต่อ “ซือเหยี่ยน นายขัดตรงก้ามปูจะได้ไหม”
ซือเหยี่ยนก้มลงมือก้ามปูที่ตัวเองมองข้ามตลอด ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาก็ขัดตามที่บอกทันที
เจียงมู่เฉินพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “ฝีมือการขัดปูของพี่ชายไม่เลวจริงๆ”
ในที่สุดซือเหยี่ยนก็หาเคล็ดลับเจอ เขารีบลงมือล้างปูตัวใหญ่สองตัวให้สะอาด หลังจากนั้นก็เอาใส่ลงหม้อที่อยู่ข้างๆ
ทำทุกอย่างนี้เสร็จ ซือเหยี่ยนก็เช็ดมือจะเดินออกไป
เจียงมู่เฉินเห็นแบบนี้แล้ว ก็รีบเอื้อมมือไปกอดเอวซือเหยี่ยนไว้
ซือเหยี่ยนชะงักงันไปชั่วขณะ ร่างกายแข็งทื่อไปทั้งตัว สายตาที่มองเจียงมู่เฉินเจือความตะลึงงันอยู่ในนั้น
แต่มีหรือที่เจียงมู่เฉินจะสังเกตเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของซือเหยี่ยน เขาเงยหน้ามองซือเหยี่ยน พร้อมทำหน้าทำตาหน้าสงสาร “ซือเหยี่ยน ซือเหยี่ยน นายอย่าไปนะ”
ซือเหยี่ยนฉีกมุมปากขึ้น “ไม่ไป แล้วจะอยู่ที่นี่ทำอะไร”
“พี่ชาย ช่วยส่งพระทั้งที ก็ต้องส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก[1] เดี๋ยวอีกสักพักนายแกะปูให้ฉันสักหน่อยสิ”
มุมปากซือเหยี่ยนกระตุกแล้วกระตุกอีก ที่แท้เมื่อยอมตกลงรับปากเจียงมู่เฉินเรื่องหนึ่งแล้ว ต่อจากนั้นจะมีเรื่องอีกมากมายตามมาเป็นพรวนจริงๆ
“ไม่ทำ”
เจียงมู่เฉินยื่นมือมากอดเอวซือเหยี่ยนไว้อย่างเอาเป็นเอาตายไม่ยอมปล่อย “ฉันยังเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจนพิการคนหนึ่ง นายใจแข็งเห็นฉันได้แต่มองปูนึ่งแต่กลับกินไม่ได้ได้ลงคอเหรอ”
ซือเหยี่ยนอยากดึงมือเจียงมู่เฉินออก แต่เจียงมู่เฉินกอดแน่นมากถึงขั้นสุด ไม่ปล่อยมืออยู่แล้ว
ยิ่งซือเหยี่ยนดึงออก เจียงมู่เฉินยิ่งกอดรัดตัวซือเหยี่ยนมากขึ้น
เพียงไม่นานคนทั้งคนก็ติดสอยอยู่บนร่างของซือเหยี่ยน
เจียงมู่เฉินโอบกอดคอของซือเหยี่ยนไว้ด้วยท่าทีไม่ยอม ทั้งตัวเกี่ยวรั้งอยู่ข้างบน “พี่ชาย นายช่วยฉันหน่อยนะ”
ทั้งใจเจียงมู่เฉินคิดถึงแต่เรื่องอยากให้ซือเหยี่ยนช่วยเขาแกะปู ดังนั้นจึงไม่ได้คิดถึงตอนนี้ที่พวกเขาเป็นแบบนี้ คนข้างๆ เห็นก็ดูเหมือนพวกเขาสนิทสนมกันมาก
ซือเหยี่ยนยกมือขึ้นมาดึงมือเขาที่เกี่ยวคอตัวเองอยู่ “ปล่อย”
[1] ช่วยส่งพระทั้งที ก็ต้องส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก สำนวนนี้มีความหมายว่า คิดจะช่วยใคร ก็ควรช่วยให้ถึงที่สุด อุปมาเหมือนช่วยส่งพระ ก็ส่งให้ถึงเมืองทางตะวันตก ซึ่งหมายถึง ชมพูทวีป (อินเดีย) ดินแดนแห่งพุทธศาสนา ที่พระถังซำจั๋งเดินทางไปนำพระไตรปิฎกกลับมาเผยแพร่ในประเทศจีน
ตอนที่ 441 พี่ชาย ช่วยฉันแกะสิ
เจียงมู่เฉินส่ายหัวสุดชีวิต “ไม่ปล่อย ตีให้ยังไงคุณชายก็ไม่ปล่อย”
อาจเพราะเจียงมู่เฉินไร้เหตุผลจนเกินไป ซือเหยี่ยนหาวิธีจัดการเขาไม่ได้เลยสักนิด สุดท้ายต้องจำใจออกปาก “คุณปล่อย แล้วผมจะแกะให้คุณ”
เจียงมู่เฉินตาลุกวาว “พูดจริงนะ ไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม”
“อืม” ซือเหยี่ยนขานรับ “ไม่หลอก”
เวลานี้เองเจียงมู่เฉินถึงได้ปล่อยขา กระโดดลงไปจากตัวซือเหยี่ยน เขาเพิ่งจะยืนทรงตัวได้ก็ยื่นมือที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวสีม่วงจากการฟกช้ำยื่นมาอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน “นายดูสิ เป็นแบบนี้ไปแล้ว”
บวมขึ้นกว่าปกติขึ้นเท่าตัว เห็นแบบนี้แล้ว ดูน่าสงสารอยู่บ้างจริงๆ
สายตาซือเหยี่ยนหยุดลงที่นิ้วมือของเจียงมู่เฉิน รีบมองดูแวบหนึ่ง แล้วหลบสายตาหนีอย่างรวดเร็ว
เจียงมู่เฉินเอ่ยถามด้วยความตัดพ้อ “เป็นยังไงบ้าง น่าเวทนามากใช่ไหม ฉันไม่ได้หลอกนายเลยนะ”
ซือเหยี่ยนจัดแจงเสื้อผ้าที่ถูกเจียงมู่เฉินทำยับสักพัก ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ “อืม”
เจียงมู่เฉินมองดูใบหน้าแสนเย็นชาของซือเหยี่ยน แล้วถอนหายใจอย่างเสียไม่ได้ บุคลิกเช่นนี้ของซือเหยี่ยน เกรงว่าจะไม่มีใครคิดไม่ตกแล้วมาชอบเขาเข้าได้
ยังดีที่ตัวเองใครเห็นใครก็รัก วันข้างหน้าไม่ต้องทุกข์ใจเรื่องนี้เหมือนซือเหยี่ยน
บรรยากาศเงียบงัน เจียงมู่เฉินไม่เอ่ยปาก ซือเหยี่ยนก็จะไม่เป็นฝ่ายพูดเอง
ทั้งสองคนเงียบกันไปกันมาเช่นนี้
แต่จะทำอย่างไรได้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่ชอบความคึกคัก เงียบงันแค่แป๊บเดียวก็รู้สึกไม่สบายแล้ว
ด้วยเหตุนี้เงียบปากได้ไม่ถึงห้านาที เจียงมู่เฉินก็ทนไม่ไหวเอ่ยปากถามขึ้นมา “ซือเหยี่ยน ตั้งแต่เล็กนายก็เป็นแบบนี้เหรอ วันนึงพูดไม่ถึงห้าประโยคงี้?”
ถึงแม้ว่าพ่อแม่พวกเขาจะเป็นเพื่อนสนิทกัน แต่พวกเขาสองคนไม่ได้คลุกคลีกัน ไม่ชอบหน้ากันมาตลอด ดังนั้นสำหรับความทรงจำก่อนหน้านี้ของซือเหยี่ยน เจียงมู่เฉินค้นหารีดข้อมูลจากในสมองออกมาไม่ได้เยอะเท่าไหร่จริงๆ
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง “แล้วคุณล่ะ พูดมากขนาดนี้ตลอดเลย?”
ประโยคที่ว่า ‘พูดมาก’ ตบเข้าสมองเจียงมู่เฉินจะๆ เขาอดไม่ได้ที่จะลูบจมูกปอยๆ ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้
‘เขา…พูดมากเหรอ’
คุณชายน้อยเจียงใช้ชีวิตจนโตมาขนาดนี้ ยังไม่เคยได้ยินว่ามีใครบอกว่าเขาพูดมากมากก่อน เพิ่งจะมีสดๆ ร้อนๆ ก็ตอนนี้เอง
เขาเคลื่อนตัวจากโต๊ะ เข้าใกล้ซือเหยี่ยนอีกนิด ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ฉันพูดมากจริงๆ เหรอ”
ซือเหยี่ยนกวาดสายตามองเขาแวบหนึ่ง แสดงท่าที ‘รู้แล้วยังแกล้งถาม’
เจียงมู่เฉินหรี่ตาลง ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยถาม “ซือเหยี่ยน นายไม่ชอบคนอื่นพูดมากใช่ไหม”
ซือเหยี่ยนก็ยังคงแสดงท่าที ‘รู้แล้วยังแกล้งถาม’ อีก
เจียงมู่เฉินยิ้มเบาๆ อดจะคิดในใจไม่ได้ ในเมื่อซือเหยี่ยนไม่ชอบคนพูดมาก ยังหวังจริงๆ ว่าวันข้างหน้าซือเหยี่ยนจะหาภรรยาเป็นคนพูดมากคนหนึ่งได้
แล้วพูดทั้งวันทำให้ซือเหยี่ยนหงุดหงิดตาย
เพียงแค่คิดได้อย่างนี้ เจียงมู่เฉินอดจะยิ้มหัวเราะออกมาไม่ได้ คนทั้งคนนั่งบนโต๊ะหัวเราะคิกคัก
ซือเหยี่ยนเชิดตามองเจียงมู่เฉินแวบหนึ่ง เหมือนท่าทีตอบสนองแบบนี้ของเขาเห็นว่าแปลกจนไม่แปลกแล้ว
ไม่พูดจาสักคำ พิงอยู่บนโต๊ะข้างๆ
เจียงมู่เฉินหัวเราะไปพักหนึ่ง ถึงค่อยๆ หยุดลง พอคิดถึงว่าหลังจากนี้ซือเหยี่ยนจะโกรธจนระเบิดลง แต่กลับทำให้อีกฝ่ายตายไม่ได้ ในใจก็รู้สึกสบายๆ ขึ้นมา
ขณะที่เจียงมู่เฉินกำลังวาดภาพในจินตนาการครั้งแล้วครั้งเล่าอยู่นั้น ซือเหยี่ยนก็ยืนขึ้นมากะทันหัน เขาเดินไปอยู่ต่อหน้าหม้อนึ่งปู ยื่นมือไปเปิดฝาออก
ทันทีหลังจากนั้นก็คีบปูออกมาวางใส่จาน แล้วยกมาวางต่อหน้าเจียงมู่เฉิน
“อะนี่”
เจียงมู่เฉินเห็นปูขนตัวใหญ่สีแดงสด น้ำลายแทบจะไหลลงมาแล้ว
เขามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งทันที
ซือเหยี่ยนทำหน้าเย็นชามองเจียงมู่เฉินกลับมา
เจียงมู่เฉินรออยู่ตั้งนานก็ไม่เห็นซือเหยี่ยนทำอะไรสักที จึงรีบพูดขึ้น “พี่ชาย ช่วยฉันแกะสิ”