ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 82 สอนเต็มเวลา (4)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ตอนข้าถามถึงนักพรตจี้ เจ้าว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลย…หลอกข้าหรือเปล่า?” ซูหลีถามพลางมองหน้าเขา

สิ่งที่เฉินฉางเซิงทำได้คือนิ่งเงียบ เพราะเขาไม่ถนัดโป้ปด

ซูหลีจึงพูดเองเออเอง “เช่นนี้ การที่ตาเฒ่าเหล่านั้นทั้งผลักทั้งดันเจ้าเพื่ออะไรกัน?”

บางครั้งการสนทนาก็มักจบลงด้วยความเงียบ เฉินฉางเซิงหาคำตอบไม่เจอ ซูหลีจึงได้แต่คิดเอาเองในเวลาสั้นๆ ที่มี

เมื่อแน่ใจว่าทหารม้าต้าโจวไปไกลจริงๆ แล้ว เฉินฉางเซิงจึงแบกซูหลีก้าวผ่านป่าหลิวดำไปทางทิศใต้ต่อ หรือวิ่งต่อก็ว่าได้ อากาศค่อยๆ อุ่นขึ้น ทิวทัศน์ที่ทั้งสองเห็นเข้าใกล้ความจริงขึ้นทุกขณะ ในจิงตู ตอนนี้น่าจะอยู่ในช่วงฤดูใบไม้ผลิบานสะพรั่ง ส่วนเขาหลีซานทางใต้ก็น่าจะอยู่ในช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิ แต่ที่นี่กลับยังหนาวเย็นอยู่ ยังมองเห็นหิมะตกปรอยๆ คล้ายจุดดาว แต่ก็เห็นจุดดาวบนต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวบ้าง

ยอดหญ้าสีเขียวอ่อนงอกขึ้นใหม่จากต้นเดิมซึ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว ทำให้เฉินฉางเซิงนึกถึงระยะเวลาหนึ่งปีเต็มตั้งแต่ตนจากเมืองซีหนิงมา ในหนึ่งปีนี้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นมากมาย แม้ตนยังคงเป็นเด็กหนุ่มมองโลกในแง่ดี แต่ทุกครั้งที่มองย้อนกลับ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าแบบชายวัยกลางคน

ตอนวิ่งผ่านหมู่บ้านชาวนาวั่วหลีถุนนั้น ข้างกายของทั้งสองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย มีรถลากเพิ่มขึ้นมาหนึ่งคัน ซึ่งลากโดยกวางพื้นเมืองแข็งแรงสองตัว

เฉินฉางเซิงนั่งอยู่หน้ารถ กุมเชือกที่คล้องคอกวางพื้นเมืองสองตัวไว้ พร้อมส่งเสียงที่ไม่รู้ความหมายออกมาเป็นระยะ เลียนแบบวิธีการควบคุมกวางพื้นเมืองของชนพื้นเมือง เห็นชัดว่าพวกมันฟังคำสั่งของเขาไม่ออก แต่ดีที่พวกมันยังวิ่งอยู่บนเส้นทางหลักสู่แดนใต้อันไกลโพ้น ขอเพียงยืนหยัดต่อ ย่อมต้องเข้าใกล้จุดหมายปลายทางเรื่อยๆ

ซูหลีเอนหลังอยู่ในรถ ท่อนล่างห่มผ้านวม ท่อนบนห่มหนังสัตว์อันอ่อนนุ่ม ด้านข้างมีร่มกระดาษทองและสุราอาหาร มือถือขลุ่ยไม้ไผ่ ริมฝีปากอยู่ที่ตัวขลุ่ย เป่าเสียงขลุ่ยอันไพเราะเสนาะหูออกมาให้ได้ยินเป็นระยะ ดูไปแล้วสบายใจยิ่ง ไม่มีเค้าของคนบาดเจ็บหนีตายที่น่าเวทนาแต่อย่างใด

วิ่งอยู่สองวัน เมืองสีเหลืองดินก็ปรากฏให้เห็นรำไรอยู่ข้างหน้า ต่างกับค่ายทหารที่พบในตอนแรก นี่เป็นเมืองแห่งหนึ่งจริงๆ ดูจากโครงสร้างเมืองแล้วอย่างน้อยน่าจะจุคนได้หลายหมื่นคน คิดว่าด้านในต้องคึกคักมาก ราวกับถ้าคิดติดต่อกับคนบนโลก ที่นี่ต้องสะดวกที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย

เฉินฉางเซิงหันมองซูหลี ใช้สายตาถามเขาว่าจะเข้าเมืองหรือไม่

ซูหลีกำลังตั้งอกตั้งใจใช้ผ้ากำมะหยี่เช็ดรูขลุ่ย จึงไม่สนใจเขา

เฉินฉางเซิงเข้าใจ แต่ไม่ค่อยกระจ่าง เขาส่ายหน้าไปมา แล้วดึงเชือกให้กวางพื้นเมืองสองตัวเลี้ยวเข้าทางเบี่ยง วิ่งบนดินแข็งๆ ในทุ่ง ตระเวนรอบเมืองสีเหลืองดิน

เมืองทางใต้มีป่าต้นฮว่า (ต้นเบิร์ช) ใบดกหลายพันต้น คล้ายกระบี่อย่างไรอย่างนั้น พวกมันงอกออกจากพื้นดิน พุ่งตรงสู่ท้องฟ้า จนถึงปลายฤดูใบไม้ผลิ ก็ไม่เห็นหญ้าเขียวงอกบนพื้นดินใต้ป่าต้นฮว่ามากนัก เวลามองจึงไม่เป็นอุปสรรคต่อสายตา ด้วยสามารถเห็นสิ่งที่อยู่นอกป่าได้ไกลหลายลี้

อย่าทะเล่อทะล่าเข้าไปในป่า นี่มิใช่ประสบการณ์การเดินทางที่ซูหลีสอนเฉินฉางเซิง แต่เป็นคำโบราณที่เฉินฉางเซิงเห็นในบทความเบ็ดเตล็ดหลายบทความ

เฉินฉางเซิงดึงเชือกเบาๆ ตามสัญชาตญาณ ให้กวางพื้นเมืองหยุดวิ่ง โดยมิได้รู้สึกถึงอันตรายใดๆ

ซูหลีที่เอนหลังอยู่ในตัวรถพยายามยืดตัวตรง ขลุ่ยไม้ไผ่ในมือถูกเสียบไว้กับเอวไม่รู้เมื่อไร ส่วนในมือปรากฏร่มกระดาษทองแทน

เขามองดูป่าต้นฮว่าอันเงียบสงบ พลันว่า “มาแล้ว”

อะไรมาแล้ว? ย่อมเป็นศัตรูมาแล้ว ผู้ที่คิดฆ่าซูหลีมาแล้ว

เฉินฉางเซิงตื่นตัวฉับพลัน รีบกระโดดลงจากรถ ผละออกจากเชือกที่คล้องคอกวางพื้นเมืองทันที แล้วใช้ฝักกระบี่ตีหนักๆ สองทีลงบนหลังหนาๆ ของพวกมัน กวางพื้นเมืองรู้สึกเจ็บ จึงวิ่งออกจากป่าต้นฮว่า แต่สัตว์ชนิดนี้เชื่อง วิ่งได้ไม่ไกลก็หันมามองเฉินฉางเซิงอย่างงุนงง คล้ายไม่เข้าใจว่าเหตุใดต้องตีพวกมันด้วย

“เจ้าห่วงแต่ชีวิตพวกมัน แล้วข้าเล่า?” ซูหลีว่าพลางมองเฉินฉางเซิงเคืองๆ

เฉินฉางเซิงจับฝักกระบี่ขณะตอบ “ตกลงผู้อาวุโสจะเข้าหรือไม่เข้าเมืองกันแน่?”

ตอนเพิ่งออกจากบ่อน้ำร้อนใหม่ๆ เขาเคยถามคำถามนี้กับซูหลี แต่ซูหลีเหมือนไม่อยากเข้า อีกอย่างดูไปแล้ว ตอนนี้ซูหลีก็ยังไม่เปลี่ยนความคิด หัวเราะเย็นชาแล้วว่า “ถ้าเข้าไปแล้วเจ้าตาย ข้าจะทำอย่างไร? ข้าไม่อยากฝากชีวิตไว้กับผู้อื่น โดยเฉพาะคนอ่อนแอเช่นเจ้า”

เฉินฉางเซิงคิดในใจ นี่ย่อมมีเหตุผล แม้ตอนนี้ผู้อาวุโสไม่สามารถต่อสู้ แต่ประสบการณ์การต่อสู้และความรู้ที่มี กว้างไกลกว่าตนหลายร้อยเท่า มีท่านอยู่ข้างกาย ย่อมช่วยได้บ้าง ในป่าต้นฮว่าเงียบสงบ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แต่เขารู้สึกไม่สบายใจ จึงถาม “แล้วเรา ควรทำอย่างไรต่อ? ข้าควรบุกเข้าป่าหรือไม่?”

ซูหลีไม่เข้าใจความหมายของเขา ถามกลับ “เจ้าจะบุกเข้าป่าทำไม?”

“เมื่อวานผู้อาวุโสบอกว่า การต่อสู้ สิ่งสำคัญสุดคือ ชั่วขณะของการเปลี่ยนจากรับเป็นรุก ถ้าสามารถทำสิ่งเหนือคาดหมายได้จริง ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามแกร่งแค่ไหนก็ต้องพ่ายแพ้”

ซูหลีจ้องมองเขาพลางว่า “ดังนั้นเจ้าจึงเตรียมบุกเข้าไปในป่า หาคนผู้นั้นให้เจอ แล้วก็ฆ่าทิ้ง?”

เฉินฉางเซิงพยักหน้าอย่างตรงไปตรงมา

ซูหลีพูดไม่ออก “เจ้ารู้หรือไม่ว่า มือสังหารในป่าบำเพ็ญเพียรถึงขั้นไหน?”

เฉินฉางเซิงส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา

ซูหลีเริ่มโมโห “แล้วเจ้ายังจะบุกเข้าไปอีก? อยากตายหรือไรฮึ?”

เฉินฉางเซิงงงงวย ไม่รู้ว่าควรพยักหน้าหรือส่ายหน้าดี คิดสักพักค่อยว่า “นี่มิใช่…วิธีปฏิบัติตามที่ผู้อาวุโสสอนหรอกหรือ?”

ซูหลีคลายจากความโกรธเป็นทำอะไรไม่ถูก “เจ้าต้องเข้าใจว่า สิ่งที่ข้าพูดนั้น ก่อนอื่นต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเจ้ากับคู่ต่อสู้อยู่ในระดับที่ต่างกันไม่มาก คือต่างกันพอควร ไม่ใช่ต่างกันจนเกินไป”

เฉินฉางเซิงเอ่ยย้ำขึ้น “แต่ผู้อาวุโสพูดจริงๆ นะว่า…ถึงคู่ต่อสู้แข็งแกร่งแค่ไหนก็พ่ายแพ้ได้”

ซูหลีเริ่มมีน้ำโห “บำเพ็ญเพียร นี่คือการบำเพ็ญเพียร! เจ้ารู้จักการบำเพ็ญเพียรหรือเปล่า! ส่วนการโม้นั้น เป็นศิลปะการพูดอย่างหนึ่ง!”

เฉินฉางเซิงก้มหน้าเงียบ ผ่านไปสักพัก ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าถาม “เช่นนั้นถ้าบังเอิญพบกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งกว่ามากจะทำอย่างไร?”

คำตอบของซูหลีตรงไปตรงมา รวบรัดชัดเจนยิ่ง “หนี หรือไม่ก็คุกเข่า”

หนี? ความเร็วที่เฉินฉางเซิงแบกซูหลีวิ่งหนีไม่ได้เร็วไปกว่านักฆ่าในป่าที่ไม่เคยปรากฏตัวแต่อย่างใด ต้องรู้ว่า นักฆ่ามืออาชีพมีวิชาและเร็วกว่าผู้บำเพ็ญเพียรปกติมาแต่ไหนแต่ไร

คุกเข่า? เฉินฉางเซิงเป็นเหมือนซูหลี ไม่มีทางฝากชีวิตทั้งหมดไว้กับผู้อื่นเป็นอันขาด รวมทั้งผู้ที่ไว้ใจได้ แล้วนับประสาอะไรกับผู้ที่ต้องการฆ่าตน

เมื่อหนีไม่ได้และคุกเข่าไม่ได้ ความจริงแล้วยังมีวิธีรับมืออีกวิธีหนึ่ง นั่นคือ รอ

เฉินฉางเซิงชักกระบี่สั้นออก มองดูป่าต้นฮว่าที่เงียบสงัด มองดูต้นไม้ใบหญ้าที่ใกล้เฉาตายในระยะไกล มองดูยอดอ่อนที่ยากพานพบในระยะใกล้ รอให้คนผู้นั้นปรากฏตัว

แต่แล้วคนผู้นั้นก็ไม่ปรากฏตัวสักที

เวลาค่อยๆ ผ่านไป มือที่จับกระบี่เริ่มเมื่อย จึงตะโกนเข้าไปในป่า “ออกมาเถิด เขาเห็นเจ้าแล้ว”

ซูหลีนึกไม่ถึงจริงๆ ว่าเฉินฉางเซิงจะทำเช่นนี้ จึงส่ายศีรษะไปมากับท้องฟ้า รู้สึกอายเล็กน้อย

ในป่าไม่มีใครตอบกลับ เฉินฉางเซิงจึงกดเสียงให้ต่ำ แล้วว่า “ผู้อาวุโส ดูๆ ไปวิธีการล่อศัตรูออกมาก็ไม่ได้ผล”

ก่อนหน้านี้ การพูดจากันระหว่างเขากับซูหลีจะเรียกว่าโต้เถียงก็ได้ แต่ย่อมไม่ใช่การโต้เถียงจริงจัง

ขณะมองความเงียบของป่าต้นฮว่า ซูหลีเหมือนกำลังใช้ความคิดพลางว่า “มันไปแล้ว”

“หือ?” เฉินฉางเซิงรู้สึกผิดคาด

ซูหลีกลับเข้าไปนั่งในรถใหม่ วางร่มกระดาษทองลง แล้วหยิบขลุ่ยไม้ไผ่ขึ้น

กวางพื้นเมืองสองตัวค่อยๆ วิ่งกลับมาตามเสียงเรียกของเฉินฉางเซิง พวกมันยอมให้สวมเชือกคล้องคออีกครั้งแต่โดยดี

เสียงขลุ่ยไม้ไผ่เริ่มดัง ทั้งหมดออกเดินทาง

……

……

การเดินทางในเวลาต่อมา เฉินฉางเซิงเงียบลง จนคล้ายกับตนเองในยามปกติก็ว่าได้…มีเพียงตอนอยู่ต่อหน้าถังซานสือลิ่วกับซูหลีเท่านั้น ที่เขาพูดมากขึ้น

เขาในตอนนี้เงียบขรึม แน่นอน เพราะไม่รู้ว่านักฆ่าผู้นั้นจะปรากฏตัวขึ้นเมื่อไร

เหมือนบางครั้ง ไม่พูดมีน้ำหนักกว่าพูด ศัตรูที่ไม่ปรากฏตัวย่อมน่ากลัวกว่าศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า แต่ซูหลีกลับมีทีท่าเหมือนยามปกติ ไม่พบเห็นความไม่สบายใจใดๆ เขาเป่าขลุ่ยไป ดื่มสุราไป ประคองอาการบาดเจ็บไป เช่นเดียวกับวันที่เอนหลังอยู่ในบ่อน้ำอุ่นก็มิปาน สงบสุขและสบายอุราอะไรปานนั้น คล้ายมิได้บาดเจ็บสาหัสแต่อย่างใด เพียงกำลังเดินทางตามปกติ

ขณะที่เฉินฉางเซิงต้องคอยจับตาดูทุกสิ่งทุกอย่างในสายตา จึงรู้สึกกดดันยิ่ง ประกอบกับการนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทำให้เขาเครียดขึ้นเรื่อยๆ

การเจอนักฆ่าสองคนในค่ายทหาร และการถูกทหารม้าต้าโจวตามหา แสดงให้เห็นว่าซูหลีเดาถูก คนชุดดำคาดการณ์เส้นทางหนีของพวกตนได้ จึงกระจายข่าวนี้ออกไปให้ขุมอำนาจต่างๆ ในโลกมนุษย์รู้ แล้วขุมอำนาจเหล่านี้จะทำอย่างไรต่อ? ถ้าจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์สั่งจับตายซูหลี นางรู้หรือไม่ว่าตนอยู่กับซูหลี? ถ้ารู้ เป็นไปได้หรือไม่ว่านางจะสั่งให้นักฆ่าหรือผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นฆ่าตนด้วย? ถ้าใช่…แล้วบุคคลระดับสูงในวังหลีที่คิดฆ่าซูหลี รู้หรือไม่ว่าตนยังมีชีวิตอยู่? หรือพวกมารจงใจปกปิดเรื่องการดำรงอยู่ของตน?

พลบค่ำ ขณะอยู่ห่างจากเมืองเทียนเหลียงราวแปดร้อยลี้ รถกวางก็หยุดพักผ่อนข้างทางท่ามกลางแสงสนธยาสีเข้มปานโลหิต

เฉินฉางเซิงพูดเรื่องไม่สบายใจให้ซูหลีฟังโดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย ตอนนี้ไม่ว่าระหว่างเขากับพวกของซูหลีจะมีปัญหากันอย่างไร เมื่อเขาตัดสินใจไม่ทิ้งซูหลีตอนอยู่ในสันเขาหิมะ ก็ไม่มีเหตุผลที่จะทิ้งซูหลีไว้กลางทาง ตอนนี้พวกเขานั่งอยู่บนรถกวางคันเดียวกัน ย่อมต้องร่วมมือกันฟันฝ่าคลื่นลมแรงที่กำลังจะมาถึง

“มีคนไม่มากหรอกที่รู้ว่าข้าบาดเจ็บสาหัส อย่างที่ข้าบอกเจ้าเมื่อวันก่อน เราวิเคราะห์ได้จากการลอบสังหารในค่ายทหาร…ถ้าถือว่าปฏิบัติการหละหลวมน่าขันนั่นเป็นการลอบสังหาร ต่อด้วยการถูกทหารม้าต้าโจวหลายร้อยคนตามล่า ก็จะเห็นได้ชัดว่า ทั้งพวกที่อยากฆ่าข้า หรือข้าที่อาจถูกพวกเขาฆ่า ล้วนแล้วแต่ไม่ต้องการให้คนทั้งต้าลู่รู้เรื่องนี้”

ซูหลีหยิบกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาวาดแผนที่บนดิน แล้วชี้ไปที่เส้นตรงเส้นหนึ่ง พลางว่า “พวกเขาไม่ต้องการกองหนุน เห็นได้จากตอนนี้ก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร เหตุผลเพียงหนึ่งเดียวคือ เราเดินทางกันเร็วมาก หลังจากสลัดหลุดทัพเหนือ คนเหล่านี้ก็ไม่ทันส่งนักฆ่ามือฉมังมาฆ่าเรา ถ้ามองว่านี่คือสนามรบ กองกำลังหลักของพวกเขาก็กำลังไล่ตามมา…”

เฉินฉางเซิงนั่งยองๆ ตั้งใจฟังอยู่ด้านหนึ่ง

หลายวันมานี้ เกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นหลายครั้ง เช่น ปกติซูหลีมักพูดจาสบายๆ แต่ในเวลาเช่นนี้ กลับดูจริงจังเป็นพิเศษ เขาสอนเฉินฉางเซิงถึงวิธีสังเกตความแตกต่างของคนกับสัตว์ป่า พรรณไม้ชนิดไหนที่กินได้ ชนิดไหนมีพิษ สิ่งสำคัญที่สุดในการต่อสู้คืออะไร กระทั่งสอนยุทธวิธีการรบ

นอกจากกระบี่และการบำเพ็ญเพียรแล้ว เขายังสอนเรื่องอื่นๆ ให้เฉินฉางเซิงมากมาย

เฉินฉางเซิงจึงถามเขาอีกครั้ง “ผู้อาวุโส เหตุใดท่านจึงสอนเรื่องเหล่านี้ให้ข้า?”

เลือกสังฆราชในอนาคตแทนคนทิศใต้? อาจเป็นคำตอบที่เป็นไปได้จริงๆ แต่เท่านี้ยังไม่พอ

“เพราะข้าเคยสอนให้ชิวซานแล้ว” ซูหลีโยนกิ่งไม้ทิ้ง แล้วว่า

“เขาเคยเรียนกับข้ามาเดือนหนึ่ง ถ้ายังพอมีเวลาระหว่างเดินทาง ข้าก็สามารถสอนเจ้าให้เท่ากับสอนเขาในเดือนหนึ่ง เจ้านำร่มกระดาษทองมาคืนข้า ข้าพาเจ้าออกจากที่ราบหิมะ ก็ถือว่าหมดหนี้บุญคุณกัน แต่เจ้าไม่ได้ไปจากภูเขาหิมะ ดังนั้นข้าจึงติดหนี้บุญคุณเจ้าอีก เจ้าก็ถือว่าข้าชดใช้ให้ก็แล้วกัน”

“หนี้บุญคุณ?”

“ในวันข้างหน้า เจ้าต้องสู้กับชิวซานแน่ ข้าไม่อยากเห็นเจ้าแพ้จนหมดรูป การชดใช้บุญคุณ จึงเป็นสิ่งที่ยุติธรรมกับเจ้ามากที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้”

นี่เป็นอีกครั้งหลังออกจากบ่อน้ำร้อนที่เฉินฉางเซิงรู้สึกตื้นตันใจต่อการกระทำของผู้อาวุโสสูงส่งอย่างซูหลี จึงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้ามิได้คืนร่มกระดาษทองให้ท่าน เพียงให้ท่านยืมต่างหาก”

ซูหลีจ้องมองเขา แล้วพลันหัวเราะออกมา “ไม่คุ้นชินกับบรรยากาศอุ่นๆ สิท่า ถึงจงใจขัดจังหวะเช่นนี้?”

เฉินฉางเซิงว่า “ขอรับ”

ซูหลีจึงว่า “ข้าก็เหมือนกัน ดังนั้นต่อไปอย่าถามคำถามเช่นนี้กับข้าอีก”

เฉินฉางเซิงมองตาเขาพลางพูดจริงจัง “ผู้อาวุโส ท่านเป็นคนดีจริงๆ”

ซูหลีมองตาตอบ พลางพูดจริงจังเช่นกัน “คำพูดเช่นนี้ต่อไปก็อย่าพูดอีก”

“ทำไมหรือ?”

“เพราะต่อไปเจ้าจะรู้ว่า ข้าไม่เคยเป็นคนดีตามแบบแผนประเพณี ข้าอารมณ์แปรปรวน ไม่ประนีประนอม เอะอะขึ้นมาก็ฆ่าคน”

“ดูไม่ออกจริงๆ เลยท่าน…เอาเถิด…ผู้อาวุโส แม้คำพูดเมื่อครู่ท่านจงใจพูด แต่ความจริงอย่างไร ร่มกระดาษทองก็เป็นของข้าอยู่ดี”

“เอ๊ะ เจ้าไม่เชื่อจริงๆ หรือว่าข้าเอะอะก็ฆ่าคนได้!”

“ผู้อาวุโส ถ้าตอนนี้ท่านยังสามารถฆ่าคนได้ง่ายๆ เช่นนั้นเราจะรอให้รุ่งสางก่อนค่อยออกเดินทางกันทำไม”

เมื่อชอบขัดกัน ก็ไม่ต้องพูดกันอีก ในแสงสนธยาที่เข้มขึ้นเรื่อยๆ เฉินฉางเซิงเริ่มเตรียมตัวกินข้าวเย็นแล้วนอนหลับพักผ่อน

ซูหลีมองดูเด็กหนุ่มที่ยุ่งอยู่ข้างกองไฟ พลางหรี่ตาลงเล็กน้อย ก่อนลูบขลุ่ยไม้ไผ่ในมือไปมา ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่

แสงสีส้มจางหาย หลังเนื้อย่างง่ายๆ ถูกกินจนหมด เฉินฉางเซิงก็เบากองไฟไม่ให้สว่างจ้าจนเกินไป

เสียงเงียบตลอดคืนจนใกล้รุ่งสาง ลมเย็นเล็กน้อย เจือกลิ่นน้ำค้างและความเขียวของต้นไม้ใบหญ้า ทำให้รู้สึกสดชื่นแจ่มใส กวางพื้นเมืองสองตัวก็ก้าวย่างอย่างเริงร่า ไม่นานนักก็วิ่งออกไปไกลสิบกว่าลี้

พืชสีเขียวที่เจริญเติบโตในถิ่นทุรกันดารอันกว้างใหญ่ได้น่าจะเป็นข้าวฟ่าง แต่ข้าวฟ่างเหล่านี้เพิ่งแตกใบอ่อน จึงมิได้เขียวทึบอย่างที่เคยได้ยินมา ไม่สามารถใช้บดบังเงาร่างใดๆ ได้

ดังนั้นเฉินฉางเซิงจึงเห็นชายผู้หนึ่งในทุ่งข้าวฟ่าง เขาดูสง่างามในชุดเกราะ สะพายดาบยาวเจ็ดเล่มไว้ด้านหลัง แวววาวสุดจะเปรียบท่ามกลางแสงแดดยามรุ่งอรุณ

มองอย่างไรก็ไม่เหมือนนักฆ่า