ชายผู้นั้นสง่างามอย่างยิ่ง แม้ใบหน้าจะเต็มไปด้วยฝุ่นที่เห็นได้ชัดว่าเร่งเดินทางมา
ชุดเกราะบนร่างของเขาถูกเคลือบด้วยฝุ่นหนาเตอะเช่นเดียวกัน แต่ยังคงเจิดจ้า เหมือนเจ้าตัวที่ยืนสง่าดั่งดวงอาทิตย์กลางทุ่งข้าวฟ่างสีเขียวสด
คนเช่นนี้ ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนนักฆ่า
ซึ่งความจริงแล้ว ชายผู้นี้ก็มิใช่นักฆ่าจริงๆ แม้เขาจะมาฆ่าซูหลีก็ตาม
ชายผู้นี้มิได้มาดี และมิได้มาร้าย แต่ก็มิได้ปิดบังรังสีฆ่าฟันของตน รังสีฆ่าฟันที่บริสุทธิ์ยิ่ง
ขณะมองดูชายผู้เจิดจ้าในแสงอรุณ เฉินฉางเซิงก็รู้สึกแสบตาเล็กน้อย คล้ายความรู้สึกขณะอยู่บนที่ราบหิมะ ตอนเห็นซูหลีเป็นครั้งแรก
แสงเดินทางจากระยะไกล สาดไปรอบๆ ร่างของชายผู้นี้ แต่ไม่โดนร่างเขา สิ่งที่สะท้อนแสงมิใช่ชุดเกราะและใบหน้าของเขา แต่เป็นรัศมีป้องกันไร้รูปดวงหนึ่ง ถึงได้เจิดจ้าถึงเพียงนี้
รัศมีป้องกันไร้รูปกับแสงอันเจิดจ้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคือผู้แข็งแกร่งซึ่งบำเพ็ญเพียรถึงขั้นรวบรวมดวงดาวผู้หนึ่ง
มองปราดเดียว เฉินฉางเซิงก็แน่ใจว่า ชายผู้นี้มิใช่นักฆ่าที่อยู่ในป่าต้นฮว่าเมื่อหลายวันก่อน…ชายผู้นี้สว่างจ้าเกินกว่าจะซ่อนเร้นการดำรงอยู่ อีกทั้งยังมองออกว่า ชายผู้นี้เหมือนไม่เคยคิดที่จะทำอะไรแบบนั้น…เขายืนรอการมาของเฉินฉางเซิงและซูหลีใต้แสงอรุณอย่างสง่าผ่าเผย
เฉินฉางเซิงลงจากรถ แก้เชือกตรงคอให้กวางพื้นเมือง แล้วตีเบาๆ เข้าที่บั้นท้ายพวกมัน ตอนนี้กวางพื้นเมืองสองตัวสื่อกระแสจิตกับเขาได้ จึงเข้าใจความหมาย พวกมันวิ่งเหยาะๆ เข้าไปในทุ่งข้าวฟ่าง ห่างออกไปหลายร้อยจั้ง แล้วค่อยหันมามองเหตุการณ์ รอให้เจ้านายหนุ่มเรียกพวกมันกลับ
เฉินฉางเซิงหันมามองในรถ
ซูหลีห่มหนังสัตว์ หลับตาเอนหลังอยู่ในรถ โดยมีผ้ากำมะหยี่อุดหูอยู่ เหมือนกำลังหลับใหล
“ผู้อาวุโส” เฉินฉางเซิงเรียก
เห็นชัดว่าประสิทธิภาพของผ้ากำมะหยี่ในหูของซูหลีเทียบไม่ได้กับของม่ออวี่ เพราะมีเสียงตอบกลับว่า “หือ?”
ในตอนที่เอ่ยนั้น ซูหลียังคงหลับตา
“ด้านหน้า…มีคนผู้หนึ่ง” เฉินฉางเซิงชี้ไปยังชายที่อยู่ในทุ่งข้าวฟ่าง
“แล้วอย่างไร?” ซูหลียังไม่มีทีท่าว่าจะลืมตา
เฉินฉางเซิงว่า “คนผู้นี้…แข็งแกร่งมาก ข้าสู้ไม่ได้”
ซูหลีหลับตาพูด “ข้าสอนเจ้าก็หลายวันอยู่ กะอีแค่นักฆ่าคนเดียว ถ้าเจ้ายังจัดการไม่ได้ ก็สมควรไปตายเสีย”
เฉินฉางเซิงว่า “แต่เมื่อวานผู้อาวุโสบอกว่า นั่นไม่ใช่การบำเพ็ญเพียร แต่เป็นการคุยโม้ ถ้าเจอคู่ต่อสู้ที่ห่างชั้นกันมาก นอกจากคุกเข่าแล้วก็ต้องวิ่งหนีอย่างเดียว ข้าจึงอยากถามว่า เราในตอนนี้จะวิ่งหรือคุกเข่าดี?”
เงียบกริบ ซูหลีลืมตาในที่สุด แล้วลุกขึ้นมองไปยังทุ่งข้าวฟ้างสีเขียวขจี พลางว่า “ขั้นรวบรวมดวงดาว…เจ้าก็สู้ได้นี่”
เฉินฉางเซิงชั่งน้ำหนักในใจอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ก่อนส่ายหน้าแล้วว่า “นี่…สู้ไม่ได้จริงๆ ”
ตอนนี้ซูหลีค่อยเห็นร่างในชุดเกราะชัดเจนขึ้น เป็นชายหนุ่มผู้สง่างามเจิดจ้าไร้ที่เปรียบ เขาจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วว่า “อา…เจ้าหมอนี่นั่นเอง เช่นนั้นเจ้าก็สู้ไม่ได้จริงๆ แล้วล่ะ”
เฉินฉางเซิงพลันเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเรารีบเผ่นกันเถอะ”
ซูหลีพูดอย่างขุ่นเคือง “อย่าว่าแต่ข้าซูหลี ชีวิตนี้ไม่เคยหนีมาก่อน ต่อให้คิดหนีจริงๆ…จะหนีพ้นหรือ?”
เฉินฉางเซิงกำลังจะพูดว่า ถ้าข้าคิดวิ่งหนีขึ้นมาจริงๆ แล้วล่ะก็ ไม่มีใครในต้าลู่วิ่งตามข้าทันหรอก แต่ยังไม่ทันไรก็เห็นม้าศึกสีแดงเพลิงทั้งตัวปรากฏขึ้นในทุ่งรกร้างที่ห่างออกไป
ดูคุ้นเคยอยู่บ้าง
ทันใดนั้น เขาก็เกิดความรู้สึกที่ไม่ค่อยดีนัก
เพราะนึกออกแล้วว่า ม้าศึกสีแดงเพลิงที่เห็นในทุ่งรกร้างห่างออกไปนั้น ที่แท้ก็คือ…กิเลนเมฆแดง
ซูหลีว่า “น้องชายแท้ๆ ของเซวียสิ่งชวน ขุนพลเทพลำดับที่ยี่สิบแปด เซวียเหอ อืม ตำแหน่งของเขากับตำแหน่งของเซวียสิ่งชวนก็ต้องเกื้อกูลกันแบบพี่น้อง”
เฉินฉางเซิงจึงตัดความคิดที่จะวิ่งหนีทิ้งไป
ที่นี่ไม่มีกระเรียนขาว และเขาไม่ใช่จินอวี้ลวี่ อย่างไรก็ไม่น่าจะวิ่งได้เร็วกว่ากิเลนเมฆแดงที่บินได้
เขาคิดไม่ถึงว่า ระหว่างทางกลับใต้ นักฆ่าคนแรกที่เจอจริงๆ จะเป็นผู้แข็งแกร่งเช่นนี้
หวนคิดอีกทีก็ถูก ถ้าคิดฆ่าซูหลี ต่อให้เขาบาดเจ็บสาหัส ถึงส่งผู้แข็งแกร่งธรรมดาๆ มาหลายคนก็ไม่มีประโยชน์ ผู้มาแน่นอนว่าควรเป็นระดับขุนพลเทพเซวียเหอ
“คารวะท่านซู ขออภัยที่ข้าสวมชุดเกราะอยู่ ไม่สะดวกทำความเคารพ”
เซวียเหอยืนพูดบนทุ่งรกร้างสีเขียวอย่างองอาจราวกับเทพองค์หนึ่งที่เพิ่งมาจุติโดยมิได้คุกเข่า แต่น้ำเสียงขณะพูดกับซูหลีกลับอ่อนน้อมถ่อมตน
ซูหลีตอบกลับเขาด้วยสีหน้าเฉยชา “ดูจากที่เจ้ารู้จักข้า เจ้าชื่นชมข้าน่ะถูกแล้ว”
คำพูดหลงตัวเอง ไปจนถึงคำพูดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกสะอิดสะเอียนต่างๆ เมื่อออกจากปากของอาจารย์ปู่เล็กแห่งเขาหลีซานท่านนี้ ไม่รู้ทำไม มักทำให้ผู้คนรู้สึกว่าเป็นเรื่องจริงที่เชื่อถือได้
เซวียเหอย่างก้าวเข้ามา แสงอรุณที่สะท้อนรอบตัวเขาแปรเปลี่ยนไม่หยุด รอยต่อของชุดเกราะกระทบกันเสียงดังแกรกกราก เขาใช้ความเงียบตอบกลับว่าเห็นด้วย
ซูหลีจึงถาม “ใครให้เจ้ามาปรากฏตัวที่นี่?”
พี่ชายของเซวียเหอ เซวียสิ่งชวน ขุนพลเทพลำดับสองแห่งต้าลู่ หลังจากขุนพลเทพฮั่นชิงทำหน้าที่เฝ้าสุสานเทียนซู ก็ได้เป็นขุนพลเทพที่แข็งแกร่งสุดในโลก เป็นรองเพียงห้านักปราชญ์และแปดมรสุม ที่สำคัญสุดคือ ผู้คนทั้งโลกล้วนดีรู้ว่า เซวียสิ่งชวนคือผู้ติดตามที่จงรักภักดีต่อจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์มากสุด ว่ากันตามเหตุผลแล้ว การปรากฏตัวของเซวียเหอ ย่อมเผยให้เห็นความจริงอันน่ากลัวและโหดร้ายว่า ผู้ที่ต้องการฆ่าซูหลีก็คือจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์
แต่ซูหลีกลับไม่คิดง่ายๆ เช่นนี้ จึงถามขึ้น
เซวียเหอก็ตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ไม่มีใครสั่งข้า ข้ามาของข้าเอง”
ซูหลีเงียบ เข้าใจความหมายนี้แล้ว
แต่เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจ แม้ไม่ใช่คำสั่งของจักรพรรดินีศักดิ์สิทธิ์ และไม่ใช่คำสั่งของนิกายหลวง ในเมื่อขุนพลเทพท่านนี้ชื่นชมซูหลี แล้วทำไมถึงคิดฆ่าเขา จึงฉวยโอกาสถาม “เพราะอะไร?”
เซวียเหอไม่สนใจเขา จ้องมองซูหลีนิ่งพลางว่า “มีเพียงการรวมเหนือใต้เท่านั้น ที่ทำให้ต้าโจวข้ารวมแคว้นให้เป็นหนึ่ง เพื่อเอาชนะพวกมารได้อย่างแท้จริง แต่เพราะการดำรงอยู่ของท่าน ทำให้ยากดำเนินการมาโดยตลอด หลายคนทั้งในราชสำนักและนิกายหลวงล้วนหวังให้ท่านเปลี่ยนท่าที แต่ข้ารู้ว่าท่านไม่มีทางเปลี่ยน ดังนั้น…ท่านต้องตาย”
ซูหลีพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้า…เปลี่ยนได้”
นี่เป็นมุกตลก แต่ไม่ตลก และไม่มีใครเชื่อ
แต่ซูหลีแสดงออกอย่างน่าเชื่อถือ ด้วยการพูดจากใจจริง “ขอเพียงเจ้ายอมปล่อยข้า ข้าย่อมสามารถเปลี่ยนท่าทีมาสนับสนุนให้เหนือใต้รวมตัวกันแน่”
เซวียเหอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนว่า “ข้ายึดท่านเป็นแบบอย่าง จึงรู้ว่าท่านไม่มีวันเปลี่ยน”
ซูหลีพูดขึ้นอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเล็กน้อย “เหตุใดเจ้าถึงได้ดื้อรั้นเช่นนี้ ข้าบอกว่าเปลี่ยนได้ก็ต้องเปลี่ยนได้แน่”
“ถ้ายอมเปลี่ยนปณิธานเพราะแรงกดดันจากภายนอก ก็ไม่ใช่ท่านแล้ว” เซวียเหอจ้องมองเขาพลางพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉยต่อ “ถ้าท่านไม่ใช่ท่านอีกต่อไป ข้าฆ่าท่านก็เท่ากับกำจัดอุปสรรคทางใจได้ทุกอย่าง”
ซูหลีเงียบไปสักพัก ค่อยหันมองเฉินฉางเซิง พลางว่า “หรือข้าพูดไม่หมด?”
เฉินฉางเซิงพยักหน้า
ซูหลีจึงว่า “ตาเจ้าพูดอะไรบ้างแล้ว”
เฉินฉางเซิง “ผู้อาวุโส ข้าไม่ถนัดพูดจริงๆ”
ขณะมองดูซูหลีกับเฉินฉางเซิงต่อปากต่อคำกัน ดวงตาเซวียเหอก็ฉายแววประหลาดใจ แต่ก็รีบเก็บความรู้สึกไว้ ก่อนพูดอย่างเคร่งขรึม “ท่านบาดเจ็บสาหัส ข่าวการเดินทางกลับใต้ ตอนนี้ยังไม่ค่อยมีใครรู้ ท่านตายภายใต้คมดาบของข้า ย่อมดีกว่าตายด้วยน้ำมือของโจรเล็กโจรน้อย หรือดีกว่าตายด้วยเล่ห์เพทุบายของพวกนักฆ่าเป็นไหนๆ”
ซูหลีส่ายหน้า แล้วว่า “ตายอย่างไรก็ไม่ดีทั้งนั้น มีชีวิตอยู่สิถึงจะดี”
เซวียเหอไม่พูดมากความอีก มือขวาจับด้ามดาบที่สะพายอยู่ด้านหลังหนึ่งเล่ม
หลังยุคโจวตู๋ฟู ในดินแดนต้าลู่ มีผู้แข็งแกร่งไม่กี่คนที่เลือกใช้ดาบ เพราะมีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว ขุนพลเทพทั้งสามสิบแปดคนของต้าลู่ส่วนใหญ่คุ้นเคยกับการใช้กระบี่ และเพราะได้เห็นหอกน้ำค้างเทพของจักรพรรดิไท่จงด้ามนั้น ทำให้ขุนพลเทพหันมาใช้หอกกันไม่น้อย ขุนพลเทพที่ใช้ดาบได้ดีเยี่ยม จึงมีเพียงเซวียเหอเพียงผู้เดียว
การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ทำให้ดาบที่เหลืออีกหกเล่มบนหลังของเซวียเหอมิได้ถูกชักออกจากฝัก แต่กลับมีเจตจำนงดาบทั้งหกเล่มพุ่งขึ้นปกคลุมทุ่งรกร้างสีเขียว สร้างอาณาเขตดาบขึ้นมา
ซูหลีค่อยๆ ข่มกลั้นอารมณ์ เขาคิดไม่ถึงว่า คนแรกที่มาฆ่าตน จะเป็นคนที่ลงมืออย่างโหดร้ายเช่นนี้
เฉินฉางเซิงถามเสียงแปร่งเล็กน้อย “ผู้อาวุโส ทำอย่างไรดี?”
ซูหลีพูดหน้าตาเฉย “เจ้าก็ดูออกใช่ไหมว่า เนื้อย่างของหมอนี่กับเจ้าเป็นแบบเดียวกัน เย็นหน่อยเป็นไม่ได้ แล้วข้าจะทำอะไรได้?”
เฉินฉางเซิงเหลือบมองเขา ก่อนถามอย่างไม่เข้าใจ “เนื้อ?”
“น้ำมันกับเกลือไม่เข้าเนื้อเลย”
ซูหลีพูดเคืองๆ ก่อนก้าวลงจากรถอย่างยากลำบาก มายืนมองทุ่งรกร้างสีเขียว พลันกะพริบตาปริบๆ อีกครั้ง
ทุ่งข้าวฟ่างเตี้ยมาก แต่ในทุ่งรกร้างยังมีคนอีกคนหนึ่งซ่อนตัวอยู่
น่าจะเป็นผู้ที่อยู่ในป่าต้นฮว่าผู้นั้น