บทที่ 439 อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 439 อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลา

 

 

“เจ้าพูดมากเกินไปแล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินยกกระบี่ชี้หน้าฝ่ายตรงข้าม “อย่ามาทำให้ข้าเสียเวลาโฆษณา”

 

 

นี่คือการยกกระบี่ขึ้นมาอย่างธรรมดาที่สุด

 

 

แสงแดดยามเช้าส่องต้องคมกระบี่เป็นประกายแวววาว

 

 

ความรวดเร็วในการยกกระบี่ชี้หน้าจัดอยู่ในขั้นเชื่องช้า

 

 

อย่างน้อยทุกคนก็สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า

 

 

และหลินเป่ยเฉินก็ไม่ได้ใช้พลังปราณธาตุไฟของตนเอง

 

 

แต่คมกระบี่กลับเกิดลำแสงสีเงินสว่างเจิดจ้า

 

 

หลินเป่ยเฉินตวัดกระบี่และยืนอยู่ตรงนั้น

 

 

เด็กหนุ่มลดกระบี่ลงมา

 

 

ลักษณะเหมือนหลินเป่ยเฉินคิดจะโจมตีได้ครึ่งทาง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจล้มเลิกการโจมตีนั้นกลางคัน

 

 

ทว่า คำพูดของเขากลับสื่อความหมายในทางตรงกันข้าม

 

 

“เจ้าแพ้แล้ว”

 

 

หลินเป่ยเฉินเอียงหน้าทำมุม 45 องศารับกระจกถ่ายทอดสดมาดเท่

 

 

แต่แล้วก็อดบ่นอยู่ในใจไม่ได้ว่า แสงแดดสะท้อนกับกระจกแสบตาจังเลยโว้ย!

 

 

แต่นี่คือการโพสท่าที่หลินเป่ยเฉินก๊อปมาจากพวกนายแบบเน็ตไอดอลสมัยที่เขายังอยู่บนโลกมนุษย์

 

 

บังเกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นรอบเวที

 

 

เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

 

หลังจากชะงักไปเล็กน้อย เกาตี้ผิงก็ส่งเสียงหัวเราะเยาะด้วยความขบขัน “เจ้าไม่ต้องแกล้งทำเป็นคุยโว เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าใคร…”

 

 

แต่คำพูดกลับติดค้างอยู่ในลำคอ

 

 

แคว่ก!

 

 

ได้ยินเสียงเสื้อผ้าฉีกขาด

 

 

พื้นเวทีหยุดการสั่นสะเทือน

 

 

เกาตี้ผิงก้มหน้ามองด้วยความเหลือเชื่อ

 

 

เขาพบว่าตรงตำแหน่งหน้าอกข้างซ้ายบริเวณหัวใจ เสื้อคลุมที่สวมใส่ทะลุเป็นรูโหว่จากคมกระบี่

 

 

คมกระบี่แทงทะลุเสื้อคลุมชั้นนอกและเสื้อตัวใน ทิ้งขีดสีแดงจางๆ เอาไว้บนผิวหนังของเขา

 

 

ถ้าไม่ได้เป็นเพราะว่าเสื้อคลุมฉีกขาด เกาตี้ผิงก็คงยังไม่รู้ตัวว่าตนเองถูกกระบี่ทิ่มแทงเข้าให้แล้ว

 

 

“เจ้า… นี่คือกระบวนท่าอันใดกัน?”

 

 

เกาตี้ผิงเงยหน้าขึ้นมาอย่างแช่มช้า ความมั่นใจบนใบหน้าหายลับไปนานแล้ว บัดนี้มีเพียงความขมขื่นที่ต้องกล้ำกลืนรสชาติแห่งความพ่ายแพ้เท่านั้นที่แสดงออกมา

 

 

พ่ายแพ้

 

 

พ่ายแพ้อย่างไม่มีทางสู้

 

 

แต่เขาต้องเผชิญหน้ากับมันให้ได้

 

 

ทว่า สิ่งที่น่าตกใจที่สุดก็คือหลินเป่ยเฉินไม่ได้ใช้กระบี่นี้โจมตีอย่างเต็มประสิทธิภาพ

 

 

คมกระบี่เพียงแทงทะลุเสื้อผ้า เพื่อเป็นเจตนาย้ำเตือนให้เกาตี้ผิงได้รับทราบว่า เขาสามารถแทงหัวใจศัตรูได้โดยที่อีกฝ่ายยังไม่ทันรู้ตัวด้วยซ้ํา

 

 

หากหลินเป่ยเฉินมีจิตใจโหดเหี้ยมอำมหิต เกาตี้ผิงรู้ดีว่าป่านนี้ตนเองคงกลายเป็นคนตายไปแล้ว

 

 

ในที่สุด เมื่อหลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของคู่ต่อสู้ เขาก็เลิกโพสท่าเอียงหน้า 45 องศา

 

 

เด็กหนุ่มต้องกะพริบตาหลายครั้งเพราะแสบตาจากเงาสะท้อนของกระจก จากนั้นจึงปั้นหน้ายิ้มแย้มและกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “รอให้เจ้าสามารถเห็นการโจมตีของข้าได้ถนัดตาเสียก่อน เจ้าถึงคู่ควรที่จะรู้ชื่อกระบวนท่านี้”

 

 

แต่นั่นเป็นเพียงคำแก้ตัวชั่วคราวเท่านั้น… เพราะหลินเป่ยเฉินก็ไม่สามารถตอบได้เช่นกันว่านี่คือกระบวนท่าอะไร เท่าที่เขารู้มันมีชื่อแค่ว่ากระบวนท่าที่ 1 ในวิชากระบี่ 17 คาบสมุทรเท่านั้นเอง

 

 

แม้แต่อาจารย์ติงก็คงไม่รู้ด้วยซ้ำ

 

 

คัมภีร์เปื้อนเลือดที่อาจารย์มอบให้แก่เขาเล่มนั้น ครึ่งเล่มหลังมันได้ถูกฉีกขาดไป…

 

 

เพียงมองดูก็รู้ว่านี่คือเรื่องผิดปกติ

 

 

มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่คัมภีร์ครึ่งเล่มหลังนั้นจะตกไปอยู่ในมือของจูปี้ฉี?

 

 

หลินเป่ยเฉินไม่มีทางลืมเลือนสีหน้ามั่นอกมั่นใจในตัวเองของจูปี้ฉีเด็ดขาด

 

 

และในระยะหลัง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกว่าอาจารย์ติงเป็นคนที่มีลับลมคมในมากมายเหลือเกิน ดังนั้น เขาจึงต้องเตรียมตัวตั้งสติ เพื่อรับมือเหตุการณ์ต่างๆ ตลอดเวลา

 

 

“ก็ได้ ข้าเข้าใจแล้ว”

 

 

เกาตี้ผิงพยักหน้าด้วยความแข็งขัน ต่อจากนั้น สีหน้าที่เศร้าใจก็แปรเปลี่ยนกลับกลายเป็นฮึกเหิมอีกครั้ง “วันนี้ข้าแพ้ แต่สักวันหนึ่ง ข้าจะต้องยืนอยู่ตรงหน้าเจ้าและรู้ให้ได้ว่ากระบวนท่านี้ของเจ้ามีชื่อว่าอะไร”

 

 

พูดจบ เด็กหนุ่มร่างสูงก็กระโดดลงไปจากเวทีประลอง

 

 

“หลินเป่ยเฉินเป็นฝ่ายชนะ”

 

 

กรรมการประกาศผลการประลองออกมาเสียงดัง

 

 

เกิดความเงียบตามมาเล็กน้อย ก่อนที่เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจจะดังกังวานไปทั่วสถานศึกษากระบี่ที่สาม

 

 

เสียงโห่ร้องด้วยความดีใจเช่นนี้ดังกังวานไปทั่วทุกทิศทุกทางในเมืองหยุนเมิ่ง

 

 

หลินเป่ยเฉินเป็นบุคคลที่เก่งกาจอะไรเช่นนี้

 

 

เขามีฝีมือเลิศล้ำเกินไปแล้ว

 

 

นี่คือตัวแทนผู้เข้าแข่งขันจากเมืองหยุนเมิ่งที่ทุกคนภาคภูมิใจ

 

 

ต่อให้ท้าชิงกับตัวแทนทั่วมณฑลเฟิงอวี่ หลินเป่ยเฉินก็ไม่มีอะไรให้หวาดกลัวอีกแล้ว

 

 

บัดนี้ ความเกลียดชังที่ชาวเมืองเคยมีต่อหลินเป่ยเฉินได้สูญสลายหายไปหมดสิ้น

 

 

หลินเป่ยเฉินโบกไม้โบกมือให้คนดู ค้อมศีรษะลงเล็กน้อยพร้อมกับพูดว่า “ฮ่าฮ่าฮ่า เรื่องธรรมดาน่ะขอรับ ทุกคนไม่ต้องตบมือ อย่าตบมือเลย… ตบมือสิ… อย่าหยุด… อย่าหยุด… อย่าหยุดตบมือเด็ดขาด…”

 

 

บังเกิดเสียงหัวเราะจากกลุ่มคนดูด้วยความชอบใจดังสนั่น

 

 

หลินเป่ยเฉินเห็นดังนั้นก็ล้วงขวดหยกสีเขียวออกมาจากด้านในอกเสื้อ เผยให้เห็นว่าขวดหยกนั้นได้แกะสลักข้อความว่า ‘ยาบำรุงตราหมีขี่เสือ’ ไว้

 

 

“ทุกคนเคยสงสัยบ้างหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด ข้าถึงมีหน้าตาหล่อเหลาและความสามารถเก่งกาจขนาดนี้? เคล็ดลับที่ข้าอยากจะบอกทุกคนก็คือ มันเป็นเพราะข้ารับประทานยาบำรุงตราหมีขี่เสือ สูตรลับเฉพาะอายุ 800 ปี สกัดมาจากสมุนไพร 360 ชนิด นอกจากช่วยบำรุงเรื่องความงามของผิวพรรณแล้ว ยังบำรุงร่างกายให้แข็งแรง อีกทั้งเมื่อรับประทานเข้าไป ยังช่วยเสริมสร้างพลังทางเพศ สามารถทำศึกกับคู่ขาของพวกท่านได้ทั้งวันทั้งคืน”

 

 

เวลาแห่งการโฆษณามาถึงแล้ว

 

 

ผู้คนจำนวนมากที่อยู่รอบเวทีถึงกับตกตะลึง

 

 

หัวหน้าคณะอาจารย์ทั้ง 3 ท่านอย่างฉู่เหิน หลิวฉีไห่ และพานเว่ยหมินถึงกับต้องยกมือขึ้นมาปิดบังใบหน้าตนเอง

 

 

เจ้าลูกเต่าน้อยตัวนี้

 

 

มันกล้ารับงานโฆษณาอีกแล้วหรือ?

 

 

แม้แต่ท่านเจ้าเมืองคนใหม่อย่างฉุยเฮาเฟิง ที่คอยหนุนหลังสนับสนุนหลินเป่ยเฉินอย่างออกหน้าออกตา ก็ยังแอบรู้สึกขัดใจไม่ได้กับการโฆษณาบนเวทีประลองของเด็กหนุ่มในครั้งนี้

 

 

ฉุยหมิงโหลวที่ยืนแฝงตัวอยู่ในกลุ่มคนดูก็ถึงกับทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน

 

 

ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าตนเองยังรู้จักหลินเป่ยเฉินได้ไม่ดีพอ

 

 

ทางด้านเถียนเถียนผู้เป็นอาจารย์ฝึกหัดชั่วคราว ก็รีบนำสมุดออกมาจดเคล็ดลับสู่ความสำเร็จทันที…

 

 

‘เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ : จงหมั่นทำตัวหน้าด้านไร้ยางอาย อย่าได้เกรงกลัวสายตาผู้อื่น…’

 

 

แต่สำหรับกับกลุ่มคนดูทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่เป็นบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ เมื่อพวกเขาได้ยินคำโฆษณาของยาบำรุงตราหมีขี่เสือ ต่างก็ให้สงสัยอยู่ในใจว่ามันจะมีสรรพคุณดีเลิศถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? ราคาแต่ละขวดก็ไม่แพงสักเท่าไหร่ น่าลองซื้อหามารับประทานบ้างสักหลายๆ ขวด โดยเฉพาะในประโยคสุดท้ายของหลินเป่ยเฉิน ยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของเหล่าบุรุษหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

 

 

และต้องไม่ลืมว่าการแข่งขันครั้งนี้มีการถ่ายทอดสดไปทั่วมณฑลเฟิงอวี่

 

 

ท่ามกลางกลุ่มคนดูขณะนี้ เถ้าแก่เจ้าของร้านขายยาผู้เป็นเจ้าของยาบำรุงตราหมีขี่เสือแทบจะหุบยิ้มไม่ลงอีกแล้ว

 

 

การโฆษณาของเด็กหนุ่มช่างคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปเหลือเกิน

 

 

ต่อจากนี้ ยาบำรุงของเขาจะต้องเป็นที่กล่าวขานไปทั่วเมือง และสูตรลับที่ส่งต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่นจะโด่งดังสมความปรารถนาหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความนิยมหลังจากนี้เอง

 

 

แม้ว่าค่าโฆษณาของหลินเป่ยเฉินจะสูงลิ่วถึง 2000 เหรียญทองคำ ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เถ้าแก่เจ้าของร้านขายยาคนนี้เก็บหอมรอมริบมาถึง 10 ปีเต็ม แต่บัดนี้ เขาก็มั่นใจว่าเงินที่เสียไปนั้นเป็นราคาที่สมเหตุสมผลที่สุดแล้ว

 

 

โดยเฉพาะการพูดประโยคสุดท้ายที่ว่า เมื่อรับประทานเข้าไปแล้ว ยังช่วยเสริมสร้างพลังทางเพศ สามารถทำศึกกับคู่ขาได้ทั้งวันทั้งคืน นั่นแหละคือประโยคเด็ดที่ช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นจำนวนมหาศาล

 

 

แต่ที่สำคัญก็คือผู้พูดประโยคนี้เป็นหลินเป่ยเฉิน ซึ่งเพิ่งจะเอาชนะผู้มีพลังระดับปรมาจารย์ขั้นที่ 7 ได้ด้วยการโจมตีเพียงกระบวนท่าเดียว

 

 

หลังกลับบ้านไปในวันนี้ เห็นทีเด็กๆ ในร้านขายยาของเขาคงต้องทำงานกันทั้งวันทั้งคืน เพื่อผลิตยาบำรุงกำลังตราหมีขี่เสือให้ทันต่อความต้องการของผู้ซื้อแน่นอน

 

 

ยิ่งคิดเถ้าแก่เจ้าของร้านก็ยิ่งมีความสุข

 

 

ในเวลาเดียวกันนี้

 

 

บรรดาผู้เข้าแข่งขันจากเมืองใหญ่ที่เฝ้าดูการประลองเมื่อสักครู่ ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดจริงจังขึ้นมาแล้ว

 

 

“กระบวนท่าเมื่อสักครู่นี้… เจ้ามองเห็นชัดเจนหรือไม่?”

 

 

“มองไม่เห็น”

 

 

“มันรวดเร็วเกินไป”

 

 

“คิดไม่ถึงเลยนะว่ากระบี่ของหลินเป่ยเฉินจะรวดเร็วถึงขนาดนี้…”

 

 

“หากเป็นข้า คงต้องพ่ายแพ้ในกระบวนท่าเดียวนี้แน่… มีหวังได้อับอายแทบแทรกแผ่นดินหนี คงไม่มีทางกลับมาสู้หน้าใครได้อีกแล้ว”

 

 

“ฝีมือของเขาช่างน่ากลัวเหลือเกิน”

 

 

เสียงพูดคุยดังขึ้นไม่ขาดสาย

 

 

เฉินปี้จุน เด็กสาวผมทองก็แสดงสีหน้าเข้มขรึมออกมาเช่นกัน

 

 

นางยังคงตกตะลึงกับฝีมือกระบี่ของหลินเป่ยเฉิน

 

 

คมกระบี่เพียงสาดประกายวูบ

 

 

มันมีความรวดเร็วราวกับมังกรโผบิน เป็นกระบวนท่าที่เรียบง่าย แต่มีความร้ายกาจมากพอที่จะเอาชีวิตฝ่ายตรงข้ามได้ในพริบตาเดียว

 

 

หลินเป่ยเฉินมีฝีมือกระบี่ถึงระดับนี้เชียวหรือ?

 

 

เจียงจี้หลิวที่นั่งอยู่ด้านข้างก็มีสีหน้าประหลาดใจไม่น้อย และดูเหมือนเขาจะมีความสุขมากกว่าใคร

 

 

“ยอดเยี่ยม มีแต่เป็นเช่นนี้แหละจึงทำให้ข้ารู้สึกสนุกมากขึ้น ฮ่าฮ่าฮ่า แต่เท่านี้ยังไม่เพียงพอหรอก หลินเป่ยเฉิน เจ้าต้องแข็งแกร่งให้ได้มากกว่านี้ ถึงจะทำให้การต่อสู้ในรอบชิงชนะเลิศ มีความน่าสนใจขึ้นมาหน่อย”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าเจียงจี้หลิวพลันแสดงออกถึงความลิงโลดยินดีจากใจจริง