ตอนที่ 163 น้องชายฝาแฝด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

พอรู้สึกดีขึ้นบ้าง นางก็ถามบุรุษหนุ่มผู้นั้นออกไปว่า ” ไม่ทราบว่า…..ซูเม่ยกับเจ้าเป็นอะไรกัน? “ 

 

 

ถึงแม้ว่าเมื่อครู่เขาจะเป็นคนอุ้มนางข้ามกำแพงมา ตู๋กูซิงหลันก็ยังคงมองเห็นป้ายหน้าประตูที่มีอักษรตัวโตเขียนว่า ‘จวนหย่งเฉิงอ๋อง’ 

 

 

ที่นี่คือบ้านของซูเม่ย 

 

 

หย่งเฉิงอ๋อง ซูอู๋มีธิดาสายหลักเพียงคนเดียว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเอนตัวลงบนเตียง พยายามผ่อนลมหายใจให้สงบลง มองดูบุรุษหนุ่มที่งดงามดุจมารร้ายผู้นั้น นางก็ชักจะมีคำถามขึ้นมามากมายเสียแล้ว 

 

 

อย่างเช่นว่า ทำไมอยู่เขาถึงได้ปรากฏตัวขึ้นมาช่วยเหลือนาง? 

 

 

ทำไมถึงมียาถอนพิษ? 

 

 

ทำไม…..ถึงได้มีหน้าตาคล้ายคลึงกับซูเฟยถึงแปดส่วน 

 

 

” ข้าเป็นน้อยชายฝาแฝดของนาง” บุรุษหนุ่มนั่งลงที่ข้างกายนาง คลี่ยิ้มให้อย่างสดใส ” ข้าเรียกว่าซูเยา[1]” 

 

 

” ซูเยา” ตู๋กูซิงหลันทบทวนชื่อของเขา ศิลปะในการตั้งชื่อของหย่งเฉิงอ๋องสามีภรรยาช่างไม่ธรรมดาเสียจริงๆ 

 

 

พอได้ยินนางเรียกชื่อของตนเอง บุรุษหนุ่มก็ยิ้มให้นางอย่างอ่อนหวาน 

 

 

นางไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆว่าซูเม่ยมีน้องชายฝาแฝดด้วย 

 

 

คล้ายว่าเขาเองก็สังเกตเห็นความระแวงของนางได้ตั้งแต่แรก บุรุษหนุ่มจึงกล่าวให้ฟังว่า ” บิดาของข้ามีชะตาไร้บุตร ดังนั้นพอข้าเกิดมาจึงถูกส่งไปเลี้ยงดูที่อื่น เพราะเกรงว่าข้าจะต้องสิ้นไปตั้งแต่เยาว์วัย ท่านพ่อท่านแม่จึงไม่ได้แพร่งพรายออกไปสู่ภายนอก ดังนั้นเจ้าไม่รู้จักข้าก็ถือว่าธรรมดา” 

 

 

บุรุษหนุ่มอธิบายอย่างใจเย็น ” ตั้งแต่เล็กข้าก็ได้ฝึกฝนวิชากับอาจารย์ที่เป็นเซียนท่านหนึ่ง ท่านอาจารย์มอบยาให้กับข้าไว้ไม่น้อย พอดีมีเม็ดหนึ่งเป็นยาขจัดร้อยพิษ จึงให้เจ้ากินเข้าไป โชคดีที่มันได้ผล” 

 

 

ตู๋กูซิงหลันนอนฟังอย่างเงียบๆ อดรู้สึกไม่ได้ว่าเขาอธิบายได้อย่างไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ 

 

 

นางจดจ้องมองเขา ถึงแม้ว่าจะมีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับซูเม่ย แต่ว่ากลิ่นอายบนร่างก็ไม่เหมือนกัน 

 

 

ซูเม่ยนั้นงดงามราวจุติจากฟากฟ้า ซูเยากลับคล้ายมารจำแลงเป็นมนุษย์ 

 

 

มีแก่นแท้ที่แตกต่างกัน 

 

 

” พอดีข้าจะมาร่วมฉลองครบรอบยี่สิบปีกับพี่สาว จึงได้ลอบกลับมาเงียบๆ ไหนเลยจะคิดว่าพอผ่านไปยังถนนหลักทิศเหนือ ก็ได้เผอิญเจอกับเจ้า” 

 

 

บุรุษหนุ่มทางหนึ่งพูด ทางหนึ่งก็รินน้ำอุ่นให้นาง ส่งมาให้นางถึงจนถึงเบื้องหน้า 

 

 

ท่าทางที่ดูสนิทสนมเช่นนี้ คล้ายกับว่าเขารู้จักนางมานานนับสิบปีแล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันลังเลอยู่ครู่หนึ่งค่อยยื่นมือออกไปรับ ถ้วยกระเบื้องเคลือบมีน้ำอุ่นกำลังพอดี ทำให้ความเย็นบนร่างของนางลดลงไม่น้อย 

 

 

” ตัวข้าฝึกฝนวิชาเซียนและศาสตร์เวทย์จากอาจารย์ ไม่เช่นนั้นวันนี้คงไม่อาจพาเจ้าออกมาได้โดยง่าย” 

 

 

สายตาของบุรุษชุดแดงทอประกายอบอุ่น ” ก่อนหน้านี้ยามที่ได้อยู่กับพี่สาว มักจะได้ยินนางเอ่ยถึงเจ้าบ่อยๆ เจ้ากับพี่สาวเป็นสหายสนิทกัน ก็นับว่าเป็นสหายของข้าด้วย” 

 

 

” ข้าอายุมากกว่าเจ้า เจ้าต้องเรียกข้าว่าเยาเกอเกอ (พี่ชาย) “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลัน “……..” เยาเกอเกอมารดาของเจ้าสิ! ขนลุกจนร่วงไปครึ่งหนึ่งแล้ว ! 

 

 

พอสังเกตเห็นว่าทั่วทั้งร่างของนางมีปฎิกิริยาต่อต้าน เขาก็แก้คำพูดไหมว่า ” เรียกเยาเยาก็ได้” 

 

 

จะให้เรียกบุรุษตัวโตว่าเยาเยา ตู๋กูซิงหลันรู้สึกกระบิดกระบวนอยู่บ้าง 

 

 

พอเห็นสีหน้าที่ปฎิเสธของนาง บุรุษหนุ่มก็ดึงชายแขนเสื้อของนางขึ้นมา “พี่สาวบอกเสมอว่าเจ้านั้นดีที่สุดเลย ไม่เคยมีข้อแม้กับมิตรสหาย ข้าก็แค่อยากจะได้ยินเจ้าเรียกชื่อข้าสักครั้ง ไม่ได้หรือ? “ 

 

 

” ไม่ได้จริงๆหรือ? “ 

 

 

ชาติก่อนตู๋กูซิงหลันได้พบละอ่อนน้อยมาหลายคนพอสมควร แต่กลับไม่เคยเจอใครที่ดูยั่วเย้าเช่นบุรุษหนุ่มตรงหน้ามาก่อนเลยในชีวิต 

 

 

นางส่งเสียงรับคำในลำคอ ในที่สุดก็ยอมเรียกเขาออกมาคำหนึ่งว่า “เยาเยา” 

 

 

” อ๋าย” ดวงตาของบุรุษหนุ่มเป็นประกายขึ้นมาในทันที 

 

 

วิญญาณทมิฬ ” ข้าอยากจะบอกว่า จะอ้วกแล้ว ได้ไหม? “ 

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้หนุ่มเจ้าชู้นี้ช่วยชีวิตตู๋กูซิงหลันเอาไว้ มันรู้สึกว่าเขาสมควรถูกส่งไปเผาในลำแสง X ชนิดเข้มข้นพิเศษเสียเลย 

 

 

เอาเถอะ……..จะอย่างไรใบหน้านั้นก็นับว่าน่าดูดุจมารร้าย ถือว่ายังไม่เลี่ยนมากเท่าไหร่ 

 

 

” ใช่แล้ว ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลย ทำไมเจ้าถึงได้ถูกเจ้าตัวประหลาดนั้นหมายหัวเอา จะต้องฆ่าเจ้าให้ได้กัน ? “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเหลือบตาดูเขาแวบหนนึ่ง ” ตัวประหลาด? ” เจ้ารู้ว่าคนชุดดำนั่นคือตัวอะไรหรือ? “ 

 

 

พอบุรุษหนุ่มที่เรียกว่าซูเยาเขยิบเข้าไปใกล้นาง นางก็สามารถได้กลิ่นหอมที่ไม่เหมือนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กลิ่นนี้แตกต่างกับกลิ่นกุหลาบบนร่างของซูเม่ย 

 

 

แต่จะอย่างไรนางก็ยังคงรักษาความระมัดระวังและสงสัยเกี่ยวกับบุรุษหนุ่มผู้นี้เอาไว้ บางส่วนของความรู้สึกบอกว่าเขาคือซูเม่ยที่ปลอมแปลงเป็นบุรุษ 

 

 

หากไม่ใช่เพราะเห็นว่าบนอกของเขานั้นแบนจนราบเรียบ 

 

 

” ตอนที่ข้าฝึกฝนวิชากับอาจารย์ก็เคยเห็นมันมาก่อน บนร่างอบอวนไปด้วยไอดำ พกพาแส้กระดูกเหล็กชิ้นหนึ่ง ท่านอาจารย์บอกว่านั้นคือศพคืนชีวตที่ฝึกฝนวิชามานานหลายปี จนกลายเป็นสัตว์ประหลาด แส้กระดูดเหล็กที่เป็นอาวุธคู่มือของมันเกิดจากการนำกระดูกสันหลังของศพนับไม่ถ้วนมาหล่อหลอมจนสำเร็จ” 

 

 

บุรุษหนึ่งกล่าวแล้ว ก็จดจ้องมองดูนาง ” เจ้าสามารถรอดชีวิตมาจากกำมือของมันได้ ………นับว่าเป็นสตรีที่ฟ้าทรงเลือกสรรแล้ว! “ 

 

 

ชื่อของเขาเรียกว่าเยา แต่น้ำเสียงกลับยิ่งแฝงไอมารที่ยั่วเย้ายิ่งกว่า 

 

 

โดยเฉพาะเมื่อสวมใส่ชุดแดง ยามยกมือขยับเท้าล้วนมีพลังดึงดูดอย่างไม่สิ้นสุด 

 

 

อย่าว่าแต่การพูดเพียงสักประโยค ก็สามารถทำให้คนต้องขนลุกได้ถึงเพียงนี้ ราวกับว่าเขาเป็นจิ้งจอกจำแลง ที่ดึงดูดหลอกล่อเอาวิญญาณ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันชะงักไปเล็กน้อย ค่อยยิ้มออกมา ” จริงด้วยสินะ อีกทั้งยังถูกเจ้าช่วยไว้อย่างบังเอิญ” 

 

 

ว่าแล้วตู๋กูซิงหลันก็กล่าวต่อว่า ” เจ้าช่วยเหลือเราเอาไว้ เราย่อมต้องตอบแทนเจ้าอย่างแน่นอน จะอย่างไรพรุ่งนี้เจ้าติดตามเรากลับเข้าวัง พี่สาวเจ้าได้พบเจ้าในวังหลวง นางจะต้องยินดีอย่างแน่นอน” 

 

 

บุรุษหนุ่มฟังแล้วก็รีบส่ายศีรษะ “ท่านพ่อท่านแม่ไม่ต้องการให้คนภายนอกรับรู้ตัวตนของข้า กับพี่สาวข้าก็เพียงแต่แอบพบกันเท่านั้น ข้าช่วยเหลือเจ้าด้วยความเต็มใจ ไม่ต้องการให้เจ้ามาตอบแทน” 

 

 

” แต่หากว่าเจ้าต้องการจะตอบแทนจริงๆ…..” 

 

 

เขาอยากจะให้นางตอบแทนด้วยการอยู่เคียงข้างกันเหลือเกิน แต่ก็รู้สึกว่าพูดเช่นนั้นออกจะขอมากเกินไป ผ่านมาถึงสิบเก้าปีแล้ว เขาพึ่งจะได้ใช้ฐานะบุรุษพบนางเป็นครั้งแรก หากว่ารุกล้ำมากเกินไป จนทำให้นางตระหนกหวาดกลัวขึ้นมาก็คงไม่ดี 

 

 

เขาชั่งน้ำหนักในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่ายศรีษะ ” หากว่าอยากตอบแทน ก็เล่าให้ข้าฟัง ว่าเจ้าร่ำเรียนวิชาเวทย์เหล่านี้จากที่ใด” 

 

 

นางที่เป็นเพียงสาวน้อย กลับหาญกล้าใช้กำลังต่อกรกับตัวประหลาดคืนชีพตนนั้น จะดูอย่างไร ก็ไม่เหมือนกับอาหลันที่เขาเคยรู้จัก 

 

 

” อาจารย์ของข้าคือนักพรตอู้เจิน เขาเป็นคนจิตใจกว้างขวาง ถ่ายทอดวิชาทั้งหมดที่เขาได้ศึกษามาให้กับข้า หากว่าเจ้าสนใจล่ะก็ ข้าสามารถขอให้เขาสั่งสอนเจ้าได้สักท่าสองท่า” 

 

 

ทุกครั้งที่โดนถามเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันเป็นต้องยกนักพรตอู๋เจินขึ้นมาเป็นเกราะกำบัง 

 

 

ในอารามเทียนเก๋อ นักพรตอู๋เจินอยู่ๆก็จามออกมาติดๆกัน จากนั้นอยู่ๆก็นึกถึงไทเฮาน้อยขึ้นมา จนรู้สึกเหน็บหนาวไปทั่วทั้งร่าง 

 

 

” นักพรตอู๋เจินหรือ ข้าเคยได้ยินท่านอาจารย์เอ๋ยถึง เขาก็แค่นักพรตไม้แขวนเสื้อคนหนึ่ง หากว่าสามารถสั่งสอนศิษย์อย่างเจ้าขึ้นมาได้ ก็ต้องถือว่าบรรชนของเขาเฮี้ยนแล้ว “ 

 

 

บุรุษหนึ่งหัวเราะออกมา มองดูใบหน้ารูปไข่ของนาง ที่มีผิวดั่งทารกน้อย ก็อดที่จะคิดอยากหอมขึ้นมาไม่ได้ 

 

 

คิดถึงตรงนี้ หัวใจของเขาก็กระชุ่มกระชวยเหลือเกิน 

 

 

รอยยิ้มของเขายังไม่ทันได้จืดจาง ทันใดนั้นประตูห้องก็ถูกเปิดออก พ่อบ้านชราของตำหนักหย่งเฉิงอ๋องก็เข้ามาอย่างร้อนรน ” นะ……นายน้อย ฮ่องเต้ทรงเสด็จมาที่ตำหนักของพวกเราอย่างกระทันหัน “ 

 

 

” อะไรนะ? ” บุรุษหนุ่มหน้าเปลี่ยนสีไป พ่อบ้านชราเหลือบตามองดูตู๋กูซิงหลันที่นอนอยู่บนเตียง สีหน้าของเขาสับสนวุ่นวาย เข้าไปกระซิบที่ข้างหูของนายน้อยว่า ” ท่านอ๋องและพระชายา ต่างก็รับเสด็จอยู่ที่ห้องโถงแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งเรียก ให้นายน้อยเข้าเฝ้า……..” 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] 妖 หรือ ‘เยา’ แปลว่า ปีศาจหรือมาร ส่อความหมายในทางยั่วยวน