บทที่ 441 หมอทำไมเป็นอย่างนี้ จับมั่วซั่วได้ยังไง

ยัยหมอวายร้ายที่รัก

ยัยหมอวายร้ายที่รัก บทที่ 441 หมอทำไมเป็นอย่างนี้ จับมั่วซั่วได้ยังไง
“…คือคุณมัวร์ ฉันอยากถามคุณหน่อย คุณบอกว่าลูกของฉันสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัด คุณบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าจะรักษามันยังไง”

เส้นหมี่พยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองสุภาพที่สุด จุดประสงค์ก็เพื่อไม่ทำให้คุณหมอคนนี้โกรธอีก

คุณหมอมัวร์มองเธอ “ก็ต้องผ่าเส้นเลือดของคุณออก แล้วเอาลิ่มเลือดที่อยู่ข้างในออกมา”

เมื่อเส้นหมี่ได้ยินก็รู้สึกผิดหวังทันที

ที่เธอเราก็คิดว่าเป็นวิธีนี้เหมือนกัน

แต่มันไม่ใช่เส้นเลือดเส้นเดียว แต่เป็นเส้นเลือดที่ต้องผ่านกระดูกสันหลังส่วนเอว มันเป็นโรคแล้ว ผ่าตัดยากมาก เขาจะช่วยเธอผ่าเส้นเลือดทุกเส้นหรอ

เส้นหมี่หมดความสนใจอีกครั้ง “คุณหมอมัวร์คุณกำลังล้อเล่นอยู่หรอ ร่างกายของฉันเป็นแบบนี้…”

“ดังนั้นเรามาทำสิ่งที่เป็นอันตรายต่อชีวิตคุณมากที่สุดก่อน ด้วยโรคของคุณ ถ้าหลอดเลือดที่สำคัญสามารถผ่าตัดได้ อวัยวะภายในของคุณก็จะทำงานได้อย่างเสถียร ส่วนหลอดเลือดอื่นๆที่ร้ายแรงน้อยกว่า มันก็จะฟื้นฟูเองตามธรรมชาติ”

หมอผู้เสียงแหบแห้งพูดขัดจังหวะเธอ และอธิบายแผนการรักษาของเขาออกมาเสียงเรียบ

ในที่สุดเส้นหมี่ก็เงียบอีกครั้ง

เธอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน

ถึงเธอจะเป็นหมอเหมือนกัน แต่เธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรม ดังนั้นสิ่งที่เขาพูดเธอจึงไม่ได้ไปศึกษา

ดังนั้นเธอยังมีโอกาสรอดจริงหรอ

หัวใจในอกของเส้นหมี่ที่ห่อเหี่ยวไปหมดแล้ว ตอนนี้กลับมาเต้นอีกครั้ง…

หลายวันต่อจากนั้น เส้นหมี่ก็เริ่มเชื่อฟัง พยาบาลให้เธอทำอะไรเธอก็ทำอย่างนั้น ได้ยินมาว่าการทานยาเพื่อทำให้หลอดเลือดอ่อนตัวสามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จของการผ่าตัดได้

เธอทนรสขมที่สุดในปาก และกลืนมันลงไป

นอกจากนี้หมอยังบอกว่าเธอควรออกกำลังกาย เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการอ่อนแอเกินไประหว่างการผ่าตัด

ดังนั้นเธอจึงไปออกกำลังกายที่สวนทุกวัน

แต่เธอรู้สึกไม่สะดวกมาก เพราะเธอมองไม่เห็น ทุกครั้งต้องมีพยาบาลคอยดูแล ถ้าไม่มีพยาบาล เธอก็ไม่กล้าออกประตูนี้

ไม่มีใครรู้ว่าโลกนี้น่ากลัวเพียงใดสำหรับคนตาบอดกะทันหัน

วันนี้พยาบาลมีธุระไม่มาอีกครั้ง

“ไฮ เส้นหมี่ รอฉันก่อน”

ทันใดนั้นก็มีเพื่อนคนไข้นอกวอร์ดเรียกเธอไว้ เส้นหมี่ดีใจมาก เธอเข็นรถเข็นคลำออกไปนอกห้องทันที

เมื่อเพื่อนคนไข้เห็นก็เดินมาเข็นเธอออกไปด้วยกัน

“เส้นหมี่ ช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ฉันเห็นว่าสภาพจิตใจของเธอดีขึ้นเรื่อยๆเลย”

“จริงหรอ”

ระหว่างทั้งสองคนลงมาที่ลิฟต์ เพื่อนคนไข้ก็เห็นสีหน้าของเธอก็พูดแซวขึ้นมา

เธออยู่ชั้นเดียวกับเส้นหมี่ และเป็นคนไข้เกี่ยวกับเลือดเหมือนกัน ดังนั้นทั้งสองจึงค่อนข้างสนิทกัน

เส้นหมี่ได้ยินเธอพูดอย่างนี้ก็ดีใจมาก เพราะอารมณ์ดี ก็หมายความว่าเริ่มเข้าใกล้วันผ่าตัดมากขึ้นแล้ว

ทำให้วันนี้เส้นหมี่ออกกำลังกายอย่างมีชีวิตชีวากว่าปกติ มีหลายครั้งที่เธอเกือบจะล้ม

“เห้ย…”

“ระวัง!”

ในช่วงวิกฤติก็มีแขนแข็งแรงคู่หนึ่งจับเธอไว้ ทำให้เธอไม่ล้มลงกับพื้นด้วยความตกใจ

เส้นหมี่ได้ยินเสียงแหบแห้ง จึงเตรียมจะขอบคุณคุณหมอ แต่ทันใดนั้นเธอก็ได้กลิ่นหอมจางๆเข้ามาในจมูก

เส้นหมี่ตกตะลึง

“โอเคแล้ว คราวหน้าไม่ต้องออกกำลังกายเข้มข้นขนาดนี้ ออกแค่พอดีก็พอแล้ว” มัวร์เก็บมือของเขา และเรียกพยาบาลมาอย่างรวดเร็ว

เส้นหมี่ไม่มีอะไรจะพูด

เมื่อกี้มีอะไรบางอย่างแบบเข้ามาในหัวของเธอ แต่เมื่อเธอกำลังจะจับมัน มันก็หายไปเร็วมากอย่างไร้ร่องรอย

เธอหลงละเมอหรือเปล่า

ถึงได้มีความคิดไร้สาระแบบนี้

เส้นหมี่รีบส่ายหัว และบอกตัวเองว่าอย่าคิดเรื่องไร้สาระพวกนี้ เธอให้พยาบาลพาเธอกลับห้องพัก

หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้น ในที่สุดผลชี้วัดของเธอก็ถึงเป้า สามารถผ่าตัดได้แล้ว

“คุณเส้นหมี่ ก่อนผ่าตัดอยากสั่งเสียอะไรไหม”

วันนี้หลังพยาบาลพาเธอไปตรวจ เธอก็ถามอย่างใส่ใจว่าก่อนผ่าตัดเธอต้องการอะไรไหม

ความต้องการหรอ

เส้นหมี่นิ่งคิดไปชั่วขณะ

ที่จริงเธอเข้าใจดีถึงความหมายที่พยาบาลถามสิ่งนี้ การผ่าตัดครั้งนี้ถึงแม้แผนของคุณหมอมัวร์จะสมบูรณ์ แต่ก็ไม่เคยมีใครพบโรคแบบนี้มาก่อน จึงไม่มีใครรับประกันได้ว่าเธอเข้าไปแล้วจะสามารถออกมาได้อย่างปลอดภัย

ดังนั้นความหมายของสิ่งนี้นอกจากจะเตือนให้แล้ว ยังต้องการให้เธอเตรียมตัวสำหรับกรณีที่ไม่กลับมาด้วย

คืนนั้นเส้นหมี่นอนไม่หลับทั้งคืน

เธออยากเจอคนที่เธออยากเจอ ลูก พ่อ คุณลุงคุณป้า และ..ผู้ชายคนนั้น ทุกคนเป็นคนที่เธออยากเจอ ขอแค่ได้ยินเสียงเขาก็ยังดี

แต่เธอก็ไม่กล้า

เธอกลัวว่าพวกเขาจะรู้

แล้วเธอยังกลัวว่าถ้าเธอได้ยินเสียงของพวกเขาแล้ว เธอจะไม่กล้าเข้าห้องผ่าตัดอีกเลย

เส้นหมี่นอนพลิกตัวไปมาบนเตียงเป็นเวลานาน จนใกล้จะรุ่งสางถึงเริ่มปิดเปลือกตาลง และผล็อยหลับไป

และเธอไม่รู้เลยว่าระหว่างที่เธอพลิกตัวไปมาอยู่นั้น มีคนหนึ่งนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วยกับเธอด้วย และคนๆนั้นก็นั่งอยู่ที่โต๊ะเล็กๆไม่ไกลจากเตียงของเธอ

ในห้องคนไข้อันมืดมิด ทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าของเขาได้ชัดเจน แต่สายตาคู่นั้นราวกับหยั่งราก มองมาที่เธออย่างเดียวไม่ละสายตาไปไหน แม้แต่ทุกครั้งที่เธอขมวดคิ้ว ทุกครั้งที่เธอถอนหายใจ ก็ไม่อาจคลาดสายตาเขาไม่ได้