บทที่ 202 โอ้ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 202 โอ้ พระเจ้า นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย

หลังจากที่มาถึงฐานที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยน มู่หรงเสวี่ยลงจากรถ แล้วเธอก็เห็นไฟหน้ารถของฮวงฟูอี้ แสงไฟส่องประกายจนเธอมองไม่เห็นคนที่อยู่ในรถแต่เธอก็รู้ว่าเป็นฮวงฟูอี้ที่อยู่ในรถ

เมื่อนึกขึ้นได้ว่าฮวงฟูอี้เพิ่งจะขับรถเข้ามาก่อนหน้านี้ มู่หรงเสวี่ยก็หันไปอีกด้านหนึ่งและเดินไปทางรถของฮวงฟูอี้

อย่างไรก็ตามสองนาทีต่อมา รถก็ยังจอดอยู่ที่ประตู ไม่ต้องพูดถึงเลยว่ามู่หรงเสวี่ยแปลกใจหรือเปล่า แม้แต่พวกการ์ดที่อยู่ตรงประตูเองก็ยืนหลังตรงและรู้สึกกลัวขึ้นมาทันที เมื่อกี้พวกเขาบังเอิญจามออกมาหรือเปล่า ผู้บัญชาการทหารสูงสุดจากด้านบนถึงได้มาตรวจพวกเขาแบบนี้เนี่ย?!!

หลงอี้ไม่รู้จะทำยังไงแต่ดราก้อนมาสเตอร์ก็ไม่ยอมลง เขาจะทำยังไงดีล่ะ? พวกการ์ดเด็กๆที่น่าสงสารนี่ก็กลัวกันหมดแล้ว
มู่หรงเสวี่ยลังเลอยู่สักพักแล้วก็เดินเข้าไปแล้วเคาะที่ประตู
ประกายแสงแวบขึ้นมาในสายตาของหลงอี้ รอดแล้ว!
เขาเลื่อนกระจกลง แกล้งทำเป็นจริงจังและถามออกมา “คุณมู่หรง มีอะไรให้ผมช่วยหรือเปล่าครับ?” ไม่เอาน่า ด้วยความยินดี ถามผมมาเลย

“หลงอี้ ฉันมีเรื่องที่จะถามหน่อย นายพอจะมีเวลาหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม
บ้าจริง! พระเจ้าอยากจะให้เขาตายหรือไง!!! คุณมู่หรงอยากจะรู้เรื่องอะไรเนี่ย?!!! ข้างหลังเขามีบรรยากาศเย็นๆลอยมาและทันใดนั้นเขาก็รู้สึกได้ว่าตัวเองไม่น่ามีชีวิตรอดได้ เมื่อหันไปมองสายตาอาฆาตของดราก้อนมาสเตอร์แล้วเขาก็เปิดปากพูดออกมาอย่างไม่ค่อยสะดวกใจ “คุณมู่หรง คุณ…คุณมาถามผิดคนหรือเปล่าครับ?” ดราก้อนมาสเตอร์อยู่ข้างหลังคุณนั่นไง!

“ฉันเฝ้าตามหานายมาตั้งหลายวันแล้วนะ! นายว่างเมื่อไรล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
หัวใจของหลงอี้ตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม นี่มันจังหวะหายนะชัดๆ ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงได้ว่าตัวเองเพิ่งจะบอกกับดราก้อนมาสเตอร์ถึงเห็นผลที่มู่หรงเสวี่ยเข้ามาที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนว่าเหมือนกับมาตามหาใครบางคน ตอนนี้คุณมู่หรงกลับมาพูดต่อหน้าดราก้อนมาสเตอร์ว่าเธอตามหาเขามาหลายวันแล้วอีก…เขารู้สึกว่าตัวเองต้องไม่มีชีวิตรอดไปถึงพรุ่งนี้แน่ๆ…หรือว่าเขาจะกลับไปเก็บงานแล้วมาลาออกดีล่ะ?!
แต่ถึงยังงั้นเขาก็ยังตอบออกไป “ครับ งั้นเดี๋ยวผมจะไปรอคุณที่ห้องประตูนะครับ”
“ออกรถ” เสียงเย็นชาของฮวงฟูอี้ดังขึ้นมาจากด้านหลังเขา
“ขอบคุณ” มู่หรงเสวี่ยมีเวลาที่จะพูดได้เพียงเท่านี้ แล้วก็เห็นรถเร่งเครื่องเข้าไปด้านในของฐาน
อย่างที่คิดไว้ว่าเขาแทบรอไม่ไหวที่จะให้ออกรถ
ครั้งหน้า, ครั้งหน้า เธอจะต้องพูดความในใจ
มู่หรงเสวี่ยก็เหมือนปกติที่ต้องมีการตรวจค้นก่อนที่จะได้เข้าไปในห้องวิจัยทางการแพทย์ในดราก้อนพาวิลเลี่ยน
“แม่หนู วันนี้ลาหยุดไม่ใช่เหรอ?” หมอมังกร 005 ถามออกไปอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นมู่หรงเสวี่ยเข้ามาดึกแบบนี้
“มีเรื่องฉุกเฉินไม่ใช่เหรอคะ?! ผู้บังคับบัญชาการบอกให้ฉันกลับมา…” มู่หรงเสวี่ยเองก็สงสัย

“ผู้บังคับบัญชาการงั้นเหรอ?” หมอมังกร 005 นึกถึงคำถามของผู้บังคับบัญชาการวันนี้ หรือจะเป็นเพราะเขาคิดว่าเด็กใหม่ต้องได้รับการฝึกให้มากขึ้นหรือเปล่านะ?! “ถ้าเป็นอย่างงั้นก็เข้ามาช่วยหน่อย” ถึงเวลาที่แม่หนูนี่จะได้เรียนรู้ถึงสิ่งที่พวกศัตรูของดราก้อนมาสเตอร์ศึกษาแล้ว เดิมทีเรื่องพวกนี้มันจะยากเกินไป เขายังอยากที่จะปล่อยไปก่อนแล้วค่อยให้แม่หนูนี่ได้เรียนรู้ทีหลัง แต่ของพวกนั้นที่ศัตรูที่มีความสามารถสร้างขึ้นมามันก็เลวร้ายเกินไป เรายังต้องหาวิธีที่จะแก้ไขเรื่องนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งความสามารถของมู่หรงเสวี่ยน่าจะเอามาช่วยได้มาก

“มากับฉัน…” หมอมังกร 005 พูดกับมู่หรงเสวี่ยที่เพิ่งจะเปลี่ยนเป็นชุดเสื้อผ้าปลอดเชื้อเสร็จ

มู่หรงเสวี่ยคิดว่าเธอจะได้เข้าไปในห้องวิจัยเหมือนทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม ดร.005 พาเธอเข้าไปในอีกทางที่เธอไม่เคยเข้าไป เป็นทางเดินที่ยาวมากๆ และในระหว่างนั้นก็มีจุดตรวจประมาณ 10 จุดได้ซึ่งบอกได้เลยว่าได้รับการคุ้มกันที่แน่นหนามากๆ

เธอรู้สึกสงสัยมากว่าตัวเองกำลังจะไปที่ไหน เธอคิดว่างานของหมอมังกรก็คงจะเหมือนก่อนหน้านี้ที่ทำงานวิจัยเกี่ยวกับเรื่องเซลล์ที่เป็นโรคทุกๆวัน และคอยรักษาคนของดราก้อนพาวิลเลี่ยน

ในที่สุดหมอมังกร 005 ก็เดินมาถึงกำแพงหนึ่งและหยุดลง เขายื่นมือออกไปและกดนิ้วทั้งห้าของตัวเองลงไปที่กำแพง อุปกรณ์การเข้ารหัสเด้งขึ้นมาจากกำแพง หมอมังกร 005 รีบป้อนรหัสด้วยมืออีกข้าง เพียงแค่ครั้งเดียวมู่หรงเสวี่ยก็จำรหัสได้อย่างขึ้นใจ ยังไงซะเธอก็มีความสามารถเรื่องความจำอยู่แล้ว

เดิมทีมู่หรงเสวี่ยคิดว่าเธอจะสามารถเข้าไปได้ด้วยการใส่รหัส ไม่คิดเลยว่าเครื่องสแกนอีกตัวจะโผล่ขึ้นมาซึ่งเป็นการสแกนดวงตา เธอเห็นหมอมังกร 005 ยื่นดวงตาเข้าไปที่เครื่องสแกน หลังจากนั้นประมาณ 3 วินาทีที่หน้าจอก็ปรากฏคำขึ้นมาสองพยางค์: ถูกต้อง

แล้วกำแพงก็ค่อยๆแยกออกจากกันทั้งสองข้างอย่างช้าๆ เผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่มู่หรงเสวี่ยคิดไว้อย่างสิ้นเชิง เธอคิดว่ามันจะเหมือนกับห้องวิจัยก่อนหน้านี้แต่ก็คงจะเป็นประเภทงานวิจัยคนละตัวกัน เธอไม่คิดว่าในห้องนี้จะมีห้องอีกมากกว่าสิบห้องซึ่งต่างก็ถูกปิดเอาไว้

ตรงกลางห้องโถงมีตัวควบคุมขนาดใหญ่ และในห้องต่างก็มีกล้องวงจรปิดด้วย มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปและดวงตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้นมาทันที เธอมองไปที่คนที่อยู่ในห้องอย่างไม่อยากจะเชื่อ สิ่งที่แปลกคือทุกคนที่อยู่ในห้องไม่ดูเหมือนกับคนแต่เหมือนเป็นปีศาจมากกว่า

“นี่…เกิดอะไรขึ้น…” มู่หรงเสวี่ยหันหัวกลับมาถามหมอมังกร 005 สิ่งที่เธอเข้าใจเกี่ยวกับดราก้อนพาวิลเลี่ยนมันผิดงั้นเหรอ? เธออาจจะไม่ได้กำลังทำงานวิจัยธรรมดาๆ เพื่อทำให้คนพวกนี้เป็นแบบนี้

ดร. 005 ถอนหายใจ แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักใจ “คนพวกนี้คือของคนของเราในดราก้อนพาวิลเลี่ยน พวกเขาถูกคนขององค์กรอื่นจับตัวไปและฉีดไวรัสที่ไม่รู้จักเข้าไป ตอนนี้พวกคนที่ถูกขังอยู่ที่นี่คือคนที่เรายังหาวิธีช่วยเหลือไม่ได้จึงต้องถูกขังไว้ที่นี่ชั่วคราวก่อน…หน้าที่ของเราคือการช่วยพวกเขาให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้…”

“องค์กรแบบไหนกันที่บ้าได้ขนาดนี้?!!” ไม่น่าให้อภัยเลย เธอเห็นผู้คนในห้องทั้งร้องตะโกนและพุ่งชนไปที่กำแพง ช่างเป็นเรื่องที่บ้าคลั่งมากๆ

“ในตอนนี้ดราก้อนพาวิลเลี่ยนกำลังพยายามที่จะหาว่าฐานของอีกฝ่ายอยู่ที่ไหนแต่ะอีกฝ่ายก็ลึกลับอย่างมากและตัวตนก็ถูกปิดไว้อย่างมิดชิด ในตอนนี้ยังไม่มีเบาะแสอะไรเลย เราในฐานะหมอมังกรก็ทำได้เพียงเรื่องทางโลจิสติกส์และหาวิธีรักษาให้ดีที่สุด นี่เป็นภารกิจเร่งด่วนของเราในตอนนี้…”

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า เพราะแบบนี้งานของหมอมังกรถึงต้องทำการตลอดทั้งคืน เธอเดินไปที่ประตูของห้องของพวกคนที่ติดเชื้อไวรัสที่ถุกกักขังอยู่ เธอสังเกตอาการของพวกเขาอย่างละเอียด มีอาการหลายอย่างที่เธอเองก็แทบจะไม่เคยเห็นมาก่อนเลย แล้วทันใดนั้นเธอก็เห็นคนหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นในห้องอย่างชัดเจน ชายคนนั้นยืนพิงอยู่ที่มุม ผิวของเขาเป็นสีเทาเข้ม เล็บของเขาทั้งยาวและคม ดวงตาของเขาก็ดูโบ๋ เขาดูเหมือนซอมบี้เลย

มู่หรงเสวี่ยนึกถึงครั้งล่าสุดที่ถนนที่เธอขับรถชนกับชายคนนั้น เห็นได้ชัดว่าอาการของเขาคล้ายกับชายที่อยู่ตรงหน้าเธอแต่ไม่หนักขนาดนี้

“หัวหน้าแพทย์คะ ชายคนนั้นเป็นอะไร?” มู่หรงเสวี่ยชี้ไปที่ชายคนนั้นและถามออกมา

หมอมังกร 005 เดินเข้ามา “นี่เป็นรายที่หนักที่สุด ดูเหมือนว่าจะไม่มีสัญญาณของมนุษย์เหลืออยู่แล้วแต่ยังมีท่าทางเหมือนมนุษย์อยู่ ดูเหมือนจะไม่มีการโต้ตอบทางอารมณ์ นี่เป็นคนล่าสุดและในตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีรักษาพวกเขา”

“องค์กรที่ทำเป็นขององค์กรเดียวกันเหรอคะ?” มู่หรงขมวดคิ้วและถามออกมา

“ใช่ คนพวกนี้ถูกส่งออกไปเพื่อตามหาองค์กรนั้นและก็ถูกฉีดด้วยยาที่ยังไม่รู้ว่าคืออะไร…”

“วันก่อนฉันก็เจอคนที่มีลักษณะแบบนี้ที่ถนนแต่ดูเหมือนว่าการติดเชื้อจะยังไม่หนักเหมือนแบบนี้ มีเพียงอาการทางผิวหนังเท่านั้นและในตอนนั้นฉันก็ได้คุยกับเขาด้วย…”

สีหน้าของหมอมังกรเปลี่ยนไปอย่างมาก “เป็นไปได้ว่าถ้ามีคนแบบนั้นจริง เราก็คงจะแย่แน่ เราต้องควบคุมชายคนนั้นอย่างทันที นี่ติดต่อกันได้และเราต้องแจ้งหัวหน้าทันที…” เขาพูดในระหว่างที่กำลังเดินออกมา แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะเรียกมู่หรงเสวี่ย “เธอก็มาช่วยอธิบายด้วยกันสิ…”

ไม่ช้าพวกเขาก็มาพบกับหัวหน้าของหมอมังกร
“กัปตัน!”

“รีบร้อนอะไรกันเหรอ?” หัวหน้าทีมเป็นชายวัยกลางคนอายุประมาณ 40 ในตอนนี้เขากำลังตรวจเอกสารข้อมูลอยู่ในห้องทำงานของหมอมังกร

“กัปตัน มีบางอย่างผิดปกติ รายล่าสุดที่ติดเชื้อ แม่หนูนี่เจอคนที่ติดเชื้อเหมือนกันที่ถนนด้วย…”

กัปตันวางเอกสารลง นวดไปที่หน้าผากและถามออกมา “เกิดอะไรขึ้น? อธิบายมาให้ละเอียด มันไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะตอนนี้ไม่มีสมาชิกของดราก้อนพาวิลเลี่ยนคนไหนที่หายตัวไปเลย…”

มู่หรงเสวี่ยเพิ่งจะฟังเรื่องผลที่ตามมาของหมอมังกร 005 ในตอนนี้สีหน้าของเธอเองก็เคร่งเครียด “เมื่อวานนี้เอง ฉันบังเอิญขับรถชนที่กลางเมือง ในตอนนั้นชายคนนั้นสลบไป ตอนที่ฉันกำลังช่วยเขา ฉันมองไปที่หน้าเขา ที่หน้าเขาครึ่งหนึ่งเป็นสีเทาและดำ ในตอนนั้นเราเองก็ขึ้นไปบนรถพยาบาลด้วยกันแต่ในระหว่างทางเขากลับฟื้นขึ้นมาและยืนยันที่จะลงจากรถ…แล้วเขาก็ลงจากรถไป…”

เธอหยุดแล้วก็เล่าต่อ “แต่ฉันมั่นใจเลยว่าในตอนนั้นสติของเขาสมบูรณ์ดี และไม่มีท่าทางอะไรที่ควบคุมไม่ได้เลย แล้วตอนที่เขาหมดสติฉันก็ตรวจชีพจรเขาด้วย ถึงแม้ชีพจรจะแปลกๆแต่มันก็ยังชัดเจนว่ามีสัญญาณการเต้นของหัวใจมนุษย์อยู่…”

หลังจากที่ฟัง กัปตันก็พูดออกมา “เราต้องจับตัวเขากลับมา ถ้าเขาเอาไปติดคนอื่นผลที่จะตามมาจะเลวร้ายแบบที่ถึงไม่ถึงเลย…”

มู่หรงเสวี่ยและดร.หรงต่างก็เคร่งเครียด