ตอนที่ 420 หมู่บ้านกลางป่า

บุตรอสูรบรรพกาล

ตอนที่ 420

หมู่บ้านกลางป่า

เปรี้ยง!! ดาบเล่มหนึ่งกระแทกเข้ากับก้อนหินในภูเขาจนแตกกระจายไม่มีชิ้นดี พร้อมร่างของชายคนหนึ่งที่กำลังพยายามหลบดาบของอีกฝ่ายอย่างทุลักทุเล

“เจ้าพลาดแล้วหลิงจง”ชายที่ถือดาบยิ้มกว้างพลางจ่อดาบมาทางชายหนุ่มที่ชื่อว่าหลิงจง

“พวกเจ้า….พวกเจ้ากล้าทำอย่างนี้ได้อย่างไร”หลิงจงถามด้วยน้ำเสียงสั่นๆ แม้ไม่ทราบว่าสาเหตุความขัดแย้งของทั้งสองจะเกิดจากอะไร แต่หลิงจงกลับมีดวงตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยและเศร้าสร้อย แทนที่จะเป็นดวงตาโกรธที่อีกฝ่ายคิดจะสังหารตนเองทิ้งเสีย

“ไม่มีเจ้าสักคน ตำแหน่งเจ้าสำนักก็ต้องเป็นของข้าแน่ๆ”ชายที่ใช้ดาบพูดพลางชี้ดาบมาทางหลิงจง ที่เบื้องหลังหลิงจงนั้นเป็นหน้าผาสูง แม้จะเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ แต่หลิงจงบาดเจ็บหนักขนาดนี้ตกลงไปก็ไม่ทราบว่าจะรอดหรือไม่เหมือนกัน เพียงแต่จะนั่งรอให้อีกฝ่ายลงดาบก็มีค่าเท่ากับตายเหมือนกัน

“พูดอะไรของเจ้า เจ้าเก่งกว่าข้าขนาดนี้ ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเจ้าก็จะกลายเป็นเจ้าสำนักอยู่แล้วไม่ใช่หรือยังไง”หลิงจงถามพลางเหลือบมองหน้าผาด้านหลัง

“ไปโทษที่อาจารย์ไม่ได้สนความเก่งกาจของข้าก็แล้วกัน”ชายคนนั้นว่าพลางยกดาบหมายจะจัดการหลิงจงให้สิ้นซาก

วูบ… หลิงจงหลับตาลงปล่อยตัวเองให้ตกลงไปในหน้าผาก่อนที่ดาบของอีกฝ่ายจะโจมตีเข้ามาถึงตัวเพียงครู่เดียวเท่านั้น

ตูม!!ดาบของอีกฝ่ายคว้าได้แค่พื้นหินตรงขอบหน้าผาเท่านั้น แต่กำลังของมันก็ไม่ใช่ธรรมดา มันฟาดทีเดียวขอบหน้าผาก็ถึงกับแตกออกตกลงไปกระแทกทับร่างของหลิงจงอย่างจังจนดูแล้วไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่ารอด แถมผ่านไปนอนสองนานหลิงจงยังไม่เคลื่อนไหวอะไรอีก แต่ชายที่อยู่บนหน้าผาไม่ได้เป็นคนหละหลวม มันมองอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจจะลงไปสำรวจดูว่าหลิงจงตายจริงๆหรือไม่ แม้จะบาดเจ็บเจียนตายและโดนเศษหินทับร่างอย่างจัง แต่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณก็ไม่ได้ตายง่ายๆ

ตูม! ยังไม่ทันจะได้ลงไป อยู่ๆร่างสีดำสนิทก็พุ่งเข้ามากระแทกร่างของชายที่ใช้ดาบอย่างจัง

“กรรรร”เสียงคำรามของมันฟังดูน่ากลัวและน่าขนลุกอย่างมาก ทำให้ชายที่ใช้ดาบได้แต่กัดฟันกรอด

“อสูร…”ชายที่ใช้ดาบว่าพลางมองร่างของหมาป่าสีดำสนิทที่กำลังจ้องมองมาทางตน มันไล่ตามหลิงจงมาไกล ไม่นึกว่าจะเข้ามาในเขตที่มีอสูรแล้ว

เปรี้ยง! อสูรหมาป่ารวดเร็วและปราดเปรียวเป็นอย่างมาก แถมกำลังยังไม่ธรรมดา ลำพังชายที่ใช้ดาบจะสู้กับมันก็ไม่ทราบว่าจะชนะหรือไม่

“ยังไงมันก็ไม่รอดอยู่แล้ว”ชายที่ใช้ดาบพูดพลางมองลงไปที่ก้นผา ก่อนหน้านี้มันไล่ตามหลิงจงมานานสองนาน เสียกำลังไปไม่น้อย จะให้สู้กับอสูรอีกก็คงเปลืองแรงเกินไป อย่าว่าแต่ต่อให้หลิงจงรอดมาได้ก็คงโดนอสูรเล่นงานเป็นแน่

วูบ!! ร่างของชายที่ใช้ดาบทะยานขึ้นไปบนต้นไม้ก่อนจะหนีหายไปจากขอบหน้าผาทันที ทางฝั่งอสูรหมาป่าเห็นอีกฝ่ายหนีไปก็ไม่ได้ติดตามอะไร เพียงแต่เดินหายเข้าไปในป่าเท่านั้น

.

.

.

“……..”ไม่ทราบเวลาผ่านมานานเท่าไหร่ แต่หลิงจงที่ตกลงมาโดนหินทับอีกรอบก็ยังไม่ตายอย่างที่ชายผู้ใช้ดาบสงสัยจริงๆ ความรู้สึกแรกที่มันรู้สึกคือความเจ็บปวดที่แล่นไปทั้งร่างและความหนักที่เกิดจากหินที่กดทับร่างของตนเอาไว้ มันพยายามรวบรวมกำลังทั้งหมดเพื่อเอาร่างของตนเองออกมาจากกองหินให้ได้

“พี่ชาย ท่านเป็นอะไรหรือเปล่า”อยู่ๆเสียงหนึ่งก็ดังมาจากด้านหน้าของหลิงจง มันเป็นเสียงของเด็กหนุ่มที่ไม่น่าจะมาอยู่ในป่าลึกแบบนี้เลย

“ช่วย…ช่วยด้วย”หลิงจงฝืนดันก้อนหินออกไปจากร่างก่อนจะแทรกตัวออกมาด้วยแรงที่เหลือ พริบตาที่มันออกมานั้น มันกลับเห็นร่างของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่ตรงหน้ากองหิน มันเห็นเพียงเค้าโครงของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่งเท่านั้น ก่อนจะหมดสติไป แต่เพียงได้เห็นว่าอีกฝ่ายเป็นมนุษย์ตัวหลิงจงก็โล่งใจขึ้นมาหน่อย

“ท่าทางจะโดนหินถล่มเข้าสินะ”เด็กหนุ่มตอบพลางมองสภาพตรงหน้า ชายคนหนึ่งโดนฝังอยู่ในกองหินข้างๆหน้าผา หากให้คนอื่นเดาก็คงมองเห็นว่าชายคนนี้กำลังเดินอยู่ดีๆก็โดนก้อนหินตกลงมาทับจนบาดเจ็บอย่างไม่ต้องสงสัย

“พี่ตงฟาง พามันไปหาท่านพ่อเถอะ”เด็กหนุ่มตอบพลางอุ้มร่างของหลิงจงขึ้นมาก่อนจะพาร่างของหลิงจงไปพาดเอาไว้บนหลังม้าสีขาวตัวหนึ่งที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง

“ไม่เป็นไรหรอก ท่านพ่อต้องรักษาพี่ชายคนนี้ได้แน่”ชายหนุ่มเห็นเจ้ามีขาวมีท่าทีเป็นห่วงก็ตอบออกมาด้วยท่าทีมั่นใจ พ่อของมันเป็นหมออยู่ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งกลางหุบเขา ตั้งแต่เกิดมามันยังไม่เคยเห็นคนไหนที่ท่านพ่อช่วยไม่ได้เลย ทำให้ตัวชายหนุ่มนับถือพ่อของตนอย่างมากเลยทีเดียว

.

.

“……..”ไม่ทราบเวลาผ่านไปอีกเท่าไหร่ แต่หลิงจงก็ตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายในกระท่อมแห่งหนึ่ง ทันทีที่เห็นว่าเหนือร่างของตนมีหลังคา หลิงจงก็โล่งใจเป็นปริดทิ้ง เพราะเท่ากับว่ามันมีโอกาสรอดแล้วนั่นเอง

“พี่ชาย ท่านตื่นแล้วหรือ”เด็กหนุ่มที่พาหลิงจงกลับมาจากในป่าถามพลางมองหลิงจงนิ่ง

“เจ้า…เป็นคนพาข้ามาที่นี่หรือ”หลิงจงพูดพลางลุกขึ้นมองร่างกายของตนเอง โชคดีที่มันมีพลังวิญญาณมากพอสมควร ทำให้รอดจากเศษหินมาได้ แถมคนที่นี่ยังรักษามันได้ไม่เลวเลย กลิ่นสมุนไพรเหล่านี้เป็นกลิ่นสมุนไพรรักษาแผลจริงๆ ท่าทางมันจะได้หมอมารักษาแล้วกระมัง

“ใช่ ข้าเห็นพี่ชายโดนหินถล่มทับก็เลยพามาที่นี่ คราวหลังเวลาท่านเดินในป่าต้องระวังให้ดีนะเข้าใจหรือเปล่า”เด็กหนุ่มเตือนด้วยท่าทีดุๆ ทำเอาหลิงจงแอบอมยิ้มออกมา หากเป็นหินถล่มละก็มันไม่มีทางโดนทับแน่ๆอยู่แล้ว แต่เด็กหนุ่มตรงหน้าไม่มีพลังวิญญาณ รอบๆเองหลิงจงก็สัมผัสพลังวิญญาณไม่ได้เลย ท่าทางจะเป็นหมู่บ้านธรรมดากระมัง

“ขอบใจเจ้ามาก คราวหน้าข้าจะระวัง”หลิงจงตอบพลางมองมาทางเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายดูเป็นเด็กหนุ่มธรรมดา…..เพียงแต่มีรูปร่างหน้าตาที่หล่อเหลาอย่างประหลาด ดูแล้วไม่เหมือนคนในหมู่บ้านกลางเขาแบบนี้เลย หรือที่นี่จะมีคนหน้าตาดีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว? เพียงแต่ที่แปลกตาคงหนีไม่พ้นเส้นผมสีขาวของเด็กหนุ่ม มันไม่เหมือนผมหงอกขาวของคนชรา แต่เป็นเส้นผมที่เป็นสีขาวมาแต่กำเนิด มันทั้งเงางามและนุ่มสลวยดูเหมือนผ้าสีขาวชั้นดีเลย

“เจ้าหนู เจ้าชื่ออะไรงั้นหรือ”หลิงจงถามพลางพยายามลุกขึ้นยืน

“ข้าหรือ ข้าชื่อไป๋จูล่ง”ไป๋จูล่งยิ้มพลางเข้าไปพยุงร่างของหลิงจงที่ยังเหมือนจะไม่หายจากอาการบาดเจ็บดี

“งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าน้องจูล่งละกัน เจ้าเรียกข้าว่าหลิงจงก็ได้”หลิงจงว่าพลางเดินพลังรักษาตนเองพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง ที่นี่เป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่กลางหุบเขาพอดี บ้านเรือนมีไม่กี่หลัง แทบจะนับได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียวเลยก็ว่าได้

“ล่งเอ๋อ คนไข้ฟื้นแล้วหรือ”เสียงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นพร้อมร่างของหญิงสาวที่งดงามราวกับเทพธิดากำลังลงมาจากสวรรค์ที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิงจง ทำเอาหลิงจงเผลอมองตาค้างเลยทีเดียว

“เอ่อ…ขอบคุณท่านมากที่ช่วยข้าเอาไว้ขอรับ ไม่ทราบว่าท่านเป็น….”หลิงจงว่าพลางมองไปทางหญิงสาวด้วยท่าทีอึ้งๆ นางเป็นพี่สาวของเด็กคนนี้งั้นหรือ

“ข้าชื่อเหม่ยหลินเจ้าค่ะ เป็นแม่ของเด็กคนนี้”เหม่ยหลินตอบอย่างไม่รีรอ พลางหัวเราะเบาๆกับท่าทีผิดหวังของหวังจง ช่วยไม่ได้หรอกชายหนุ่มในหมู่บ้านต่างก็เสียดายกันทั้งนั้นที่เหม่ยหลินมีลูกแล้ว

“งั้นหรือขอรับ พวกท่านช่วยข้าเอาไว้แบบนี้ ข้าจะหาทางตอบแทนแน่นอน”หลิงจงว่าพลางประสานมือให้เหม่ยหลินช้าๆ แม้นางจะยังดูสาว แต่ในเมื่อนางเป็นแม่ของจูล่งนางก็ต้องมีอายุระดับหนึ่งแน่ๆ ทำให้หลิงจงเปลี่ยนท่าทีอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว

“ไม่ต้องหรอก สามีของข้าชอบช่วยรักษาให้ผู้อื่นเสมอ พวกเราไม่ต้องการสิ่งตอบแทนอะไรหรอก เจ้าจ่ายเพียงค่ายาก็พอแล้ว”เหม่ยหลินยิ้มด้วยใบหน้าอ่อนโยน ทำเอาหลิงจงราวกับได้พบเทพธิดาตัวเป็นๆไม่มีผิด

“ขอบพระคุณพวกท่านมาก”หลิงจงว่าพลางประสานมือคารวะอย่างจริงใจ

“ท่านพักผ่อนเถอะ ข้าจะเตรียมอาหารเย็นเอาไว้ให้”เหม่ยหลินตอบพลางวางยาต้มเอาไว้ให้หลิงจง

“ไม่ต้องหรอก ข้าเป็นผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณ ท่านไม่ต้องเปลืองอาหารให้ข้าหรอก”หลิงจงตอบ สำหรับคนธรรมดาแล้วอาจจะไม่รู้ แต่ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณไม่จำเป็นต้องกินมากมายอะไร

“ท่านบาดเจ็บอยู่ ต้องใช้แรงฟื้นฟูจะไม่กินได้อย่างไร”เหม่ยหลินว่าพลางปิดประตูลงก่อนจะออกไปจากห้องโดยไม่เปิดโอกาสให้หลิงจงได้ปฏิเสธเลย

“น้องจูล่ง เจ้ามีแม่ที่ดีนะ”หลิงจงกล่าวชื่นชมจากใจจริง นางทั้งงดงาม ทั้งใจดี มิน่าเล่าน้องจูล่งถึงมีใบหน้าหล่อเหลาและงดงามนัก

“แน่นอน แม่ข้าใจดีที่สุด”จูล่งยิ้มพลางบอกให้หลิงจงกินยาที่แม่ของมันต้มมาให้เสีย

“จริงสิ แล้วพ่อของเจ้าล่ะน้องจูล่ง”หลิงจงถามพลางมองไปทางจูล่งด้วยท่าทีสงสัย ฟังจากที่เหม่ยหลินเล่ามา พ่อของจูล่งเป็นผู้รักษาตนเอง แต่มันกลับสัมผัสตัวตนภายในบ้านได้เพียงไป๋จูล่งและเหม่ยหลินเท่านั้น

“ท่านพ่อกับพวกท่านน้าไปสำรวจรอบๆหมู่บ้านขอรับ”จูล่งตอบพลางยิ้มกว้าง

“ระวังภัยสินะ ในหมู่บ้านแบบนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดา”หลิงจงพยักหน้าอย่างเข้าใจ เพราะไม่มีกำแพงก็เลยต้องเดินสำรวจว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นรอบหมู่บ้านหรือไม่นั่นเอง

“ว่าแต่พี่หลิงจง ผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคืออะไรงั้นหรือ”ไป๋จูล่งถามพลางเอียงคอด้วยความสงสัย

“เข้าไม่รู้งั้นหรือว่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคืออะไร”หลิงจงเลิกคิ้วสงสัย เมืองที่หลิงจงหนีออกมานั้นมีผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่เป็นจำนวนมาก ที่นี่แม้จะเป็นหมู่บ้านเล็กๆแต่ก็อยู่ห่างจากเมืองของหลิงจงไม่ไกลเท่าไหร่ หรือหมู่บ้านนี้จะตัดขาดจากโลกภายนอกกัน?

“ไม่ขอรับ ข้าไม่รู้เลย”ไป๋จูล่งตอบ ตัวมันโตอยู่ในหมู่บ้านแห่งนี้มาโดยตลอด ไม่ค่อยทราบเรื่องโลกภายนอกเท่าไหร่

“จริงสิ เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ข้าจะถ่ายทอดวิชาให้เจ้าดีหรือไม่”หลิงจงว่าพลางยิ้มกว้าง ตัวหลิงจงเกือบจะกลายเป็นเจ้าสำนักของสำนึกฝึกฝนพลังวิญญาณอยู่แล้ว หากไม่เกิดเรื่องขึ้นสียก่อน ตัวมันมีความมั่นใจในการฝึกฝนให้กับผู้อื่นไม่น้อยเลย