บทที่ 823 : สมบัติล้ำค่าหรือ?!
หลิงหยุนรู้ว่าเฉินเซินนั้นหวาดกลัวมากเขายกมือขึ้นห้ามเฉินเซินพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน
“เจ้าหยุดสรรเสริญเยินยอข้าได้แล้ว..”
หลังจากนิ่งไปครู่หนึ่งหลิงหยุนก็ถามเฉินเซินว่า“เจ้าลองคิดใคร่ครวญดูให้ดีว่า.. ไม่มีหลักฐานอะไรเลยจริงๆงั้นหรือ”
เฉินเซินก้มหน้าลงทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพึมพำออกมาว่า“จะว่ามีก็มี.. จะว่าไม่มีก็ไม่มี..”
“หลังจากที่หลิงห่าวรู้ว่านายยังไม่ตายมันก็ขอเช็คยี่สิบล้านนั่นกลับคืนไป มันบอกว่าจะอาไปจ้างคนอื่นแทน แต่มันก็ให้เช็คฉันมาสองล้านเป็นค่าเสียเวลา..”
“แต่เช็คสองล้านนั่นฉันใช้นอนกับนางแบบแค่คืนเดียวก็หมดแล้วเงินเล็กน้อยแค่นั้นฉันไม่สนใจหรอก ก็เลยวางทิ้งๆขว้างๆไว้..”
หลิงหยุนถามขึ้นมาทันที“เยี่ยมมาก.. แล้วเช็คนั่นอยู่ที่ใหน”
เฉินเซินเปิดเผยเรื่องของหลิงห่าวจนหมดเปลือกมันถอนใจพร้อมกับตอบไปว่า “ตอนนั้นฉันเองก็ไม่ได้สนใจว่าวางไว้ที่ใหน แต่น่าจะอยู่ในห้องนอนแถวๆโต๊ะข้างหัวเตียง หรือไม่ก็ในลิ้นชัก ฉันเองก็จำไม่ได้..”
หลิงหยุนพอใจอย่างมากกับท่าทีของเฉินเซิน“เจ้าทำได้ดีมาก.. ยังมีอะไรจะพูดอีกหรือไม่”
เฉินเซินกลืนน้ำลายอึกใหญ่พร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองมันจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาอ้อนวอน
“ฉัน..ฉันอยากดื่มเลือด..”
หลิงหยุนโคจรลมปราณผ่านปลายนิ้วทำการจี้จุดของเฉินเซินไว้ แล้วทำเสียงเย้ยหยัน “เจ้านี่ตระกละชะมัด! เพิ่งจะเป็นแวมไพร์ได้ไม่เท่าไหร่ ก็กระหายเลือดซะแล้ว!”
เฉินเซินพยายามจะพูดแต่กลับพบว่าตนเองถูกสกัดจุด และไม่สามารถพูดได้อีก..
ในเวลานั้นเองคลิปในโน๊ตบุ๊คที่หลิงหยุนเปิดไว้ก็เล่นมาถึงจุดสำคัญพอดี และมีคนอีกหนึ่งคนปรากฏขึ้นบนหน้าจอ หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงอันตรายจากบุคคลผู้นี้..
หลิงหยุนชี้ไปที่คนผู้นั้นพร้อมกับหันไปถามไห่ซาน“ตอนนั้นเจ้าจับตามองข้าอยู่นาน เจ้าสังเกตเห็นคนผู้นี้บ้างหรือไม่”
ไห่ซานจ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอร์และกำลังรื้อฟื้นความทรงจำของตนเอง
“เห็น..คนผู้นี้เป็นยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-3 ข้าสังเกตุเห็นมันตั้งแต่อยู่ในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่นั่นแล้ว แต่หลังจากที่จับตามองอยู่นาน ก็ไม่พบความผิดปกติอะไร ดูเหมือนแค่จะมาเล่นอินเทอร์เน็ตตามปกติ ข้าก็เลยไม่ใส่ใจ!”
‘ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-3งั้นรึ’
ไม่แปลก..ด้วยความสามารถของข้าเวลานั้น หากมันจู่โจมข้า ข้าก็คงต้องตาย!
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่นานหลิงหยุนก็คาดเดาว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่หลิงห่าวส่งมาสังเกตการณ์ด้วยตัวเอง และดูเหมือนจะเป็นคนของตระกูลหลิงอีกด้วย!
‘ไม่แน่ว่า..นักบินกับผู้ช่วยที่ท่านปู่ส่งมา อาจจะรู้จักมันก็ได้..’
หลิงหยุนตัดสินใจที่จะหาโอกาสไปพบคนทั้งคู่เพื่อสอบถามและหากนักบินทั้งสองคนไม่รู้จัก เขาก็จะกลับไปถามเหล่ากุ่ย..
หากคนผู้นั้นเป็นคนของตระกูลหลิงจริงๆเหล่ากุ่ยจะต้องรู้จักอย่างแน่นอน!
คำสารภาพของเฉินเซินในคลิปที่หลิงหยุนอัดไว้เช็คจำนวนสองล้าน รวมทั้งไห่ซาน และคนที่หลิงห่าวส่งมา ทั้งหมดนี้จะเป็นหลักฐาน และพยานบุคคลที่ดีที่สุดสำหรับหลิงหยุน!
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจแล้วหลิงหยุนจึงสั่งให้เจสเตอร์เข้ามานำตัวเฉินเซินกับไห่ซานออกไปไว้ด้านนอกเช่นเดิม!
“หลิงห่าว..หลิงห่าว.. ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่มีปัญหามาตั้งนาน แต่คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่ข้าคิดจะเป็นจริง!”
“ในเมื่อเจ้าไร้เมตตากับข้าเช่นนี้ก็อย่าตำหนิว่าข้าไร้ซึ่งความเป็นธรรมเลย!”
ภายในห้องนั่งเล่น..หลิงหยุนนั่งนิ่งอยู่บนโซฟาเพียงลำพัง และกำลังรื้อฟื้นความทรงจำในอดีต..
ในที่สุดหลิงหยุนก็เข้าใจว่าเพราะเหตุใดตลอดหลายเดือนมานี้จึงมีนักฆ่ามากมายที่วนเวียนมาตามสังหารเขาไม่จบไม่สิ้น!
ครั้งแรกก็คือเฉินเซินส่วนครั้งที่สองก็คือมือนักฆ่าสายเหลืองขององค์กรนักฆ่าที่ชื่อหลี่ยี่กับเจียวเฟย ครั้งที่สามก็คือฉวนจี๋กับฉวนจิ่ว แล้วก็มือสไนเปอร์อีกสี่คน ครั้งที่สี่ก็คือนักฆ่าระดับปฐพีที่ชื่อตี้ปา ครั้งที่ห้าก็คือในคืนวันเชงเม้ง เป็นนักฆ่าที่ชื่อเทียนจิ่ว เทียนสือเอ้อ และเทียนสือซัน!
และด้วยพลังอมตะที่พู่กันจักรพรรดิถ่ายทอดให้หลิงหยุนจึงสามารถสังหารนักฆ่าระดับสวรรค์ทั้งสามคนได้ การลอบสังหารหลิงหยุนจึงได้จบลง..
“ที่แท้เจ้าก็กลัวว่าข้าไปแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลกับเจ้านี่เอง..”
หลิงหยุนนึกรังเกียจหลิงห่าวอย่างมากเพียงแค่ต้องการกำจัดคู่ต่อสู้ หลิงห่าวถึงกับไม่สนใจความผูกพันทางสายเลือด และความเป็นพี่น้อง
แต่ยิ่งสั่งฆ่าหลิงหยุนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้หลิงหยุนแข็งแกร่งขึ้นรวดเร็วมากขึ้นกว่าเดิมมาก อีกทั้งนักฆ่ามากมายที่หลิงห่าวส่งมา ก็ถูกหลิงหยุนสังหารตายจนหมดเกลี้ยง!
สำหรับหลิงห่าวซึ่งเห็นหลิงหยุนเป็นคู่แข่งนั้นยิ่งได้เห็นหลิงหยุนแข็งแกร่งมากขึ้นเท่าไหร่ หลิงห่าวก็ยิ่งกระวนกระวายร้อนใจมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้การสังหารหลิงหยุน จึงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เขาสามารถนอนหลับได้อย่างโล่งใจ..
“ข้าต้องขอบคุณนักฆ่าที่เจ้าส่งมาสินะ!ถ้าไม่ใช่เพราะพวกมันตามล่าสังหารข้าเช่นนี้ ข้าคงไม่เร่งฝึกฝนจนก้าวหน้าได้รวดเร็วถึงเพียงนี้..”
“ในเมื่อผ่านมาห้าครั้งเจ้ายังไม่สามารถฆ่าข้าได้..จากนี้ไปก็จะเป็นคราวของข้าที่จะต้องฆ่าเจ้าบ้างแล้ว!”
เมื่อรู้ว่าใครคือผู้ที่ต้องการสังหารตนเองแล้วหลิงหยุนก็รู้สึกราวกับได้ยกก้อนหินที่ทับอยู่บนอกของตนเองออก การมีศัตรูนั้นไม่น่ากลัว.. แต่ที่น่ากลัวคือการที่ไม่รู้ว่าศัตรูของตนเองคือใครต่างหาก!
หลังจากเสร็จสิ้นภารกิจในการสอบสวนหาความจริงแล้วหลิงหยุนก็ลุกขึ้นเดินไปที่สวนด้านหลัง ซึ่งเป็นที่ที่เขาได้ย้ายหญ้าหยิน หญ้าหยาง และหญ้าน้ำลายมังกรมาปลูกไว้
หลิงหยุนจ้องมองหญ้าทั้งสามต้นอย่างมีความสุข..
“ดูเหมือนว่าเซียนเอ๋อกับเสี่ยวเหมาจะดูแลพวกเจ้าอย่างดีสินะ!พวกเจ้าถึงได้เจริญเติบโตงอกงามได้ถึงเพียงนี้!”
ทั่วบริเวณลานบ้านของหลิงหยุนเวลานี้มีพลังชีวิตจากสมุนไพรทั้งสามต้นอยู่เต็มไปหมด แต่แน่นอนว่าต้นที่สามารถปลดปล่อยพลังชีวิตออกมาได้มากที่สุดก็คือหญ้าน้ำลายมังกรนั่นเอง..
แต่ถึงกระนั้น..หลิงหยุนก็เลือกที่จะยังไม่ดูดซับเอาพลังชีวิตเข้าไปในเวลานี้ เพราะจุดตันเถียนที่แสนแปลกประหลาดของเขานั้น ดูเหมือนจะใหญ่โตและแข็งแกร่งมาก พลังชีวิตเพียงแค่นี้จึงยังไม่เป็นประโยชน์อะไรกับเขามากนัก..
อีกทั้งเวลานี้จุดตันเถียนของเขาก็ยังมีพลังวนหยิน-หยางก่อตัวอยู่ทำให้สามารถผลิตพลังหยินและหยางได้อย่างต่อเนื่อง หลิงหยุนเดินลมปราณด้วยวิชาพลังลับหยิน-หยางพร้อมกับพึมพำขึ้นว่า
“เอาล่ะ..ข้าจะช่วยให้พวกเจ้าเติบโตได้เร็วยิ่งขึ้น!”
หลิงหยุนใช้วิชาพลังลับหยินหยางโคจรลมปราณหยางและลมปราณหยินบริสุทธ์ แล้วจัดการถ่ายเทลมปราณทั้งสองไปยังหญ้าหยางและหญ้าหยิน จากนั้นจึงทำการหยดน้ำลายมังกรลงในหญ้าน้ำลายมังกรต่อไป
หลิงหยุนยืดตัวตรงพร้อมกับจ้องมองหญ้าหยินหญ้าหยาง และหญ้าน้ำลายมังกร แต่แล้วจู่ๆก็นึกถึงวิชาพฤกษาขจีขึ้นมาได้
หลังจากใคร่ครวญอยู่นาน..ในที่สุดหลิงหยุนก็ส่ายหน้าเปลี่ยนใจ และได้แต่คิดว่าเวลานี้ตนเองยังไม่เข้าสู่ขั้นปฐมพลังชี่เลย การใช้วิชาพฤกษาขจีมาเร่งการเจริญเติบโตของสมุนไพรทั้งสามต้นนี้ จึงยังไม่สมควรนัก..
“แต่ปราณเสวียนกับปราณหวงอาจจะมีผลต่อการเจริญเติบโตของสมุนไพรทั้งสามต้นนี้ก็เป็นได้..”
“ลองดูดีกว่า..”
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนก็เริ่มโคจรลมปราณเสวียน และลมปราณหวงภายในจุดตันเถียนของตนเอง จากนั้นลมปราณทั้งสองก็ค่อยๆ กระจายออกจากร่างของหลิงหยุนไปทั่วทั้งสวนภายในบ้านทันที
หลิงหยุนเปิดจิตหยั่งรู้ออกดูจึงพบว่าเวลานี้ลมปราณเสวียน และลมปราณหวงได้กระจายออกจากร่างของตนเอง และหญ้าพลังชีวิตทั้งสามต้นก็กำลังดูดซับเข้าไปอย่างรวดเร็วราวกับต้นไม้ที่แห้งเหี่ยวมานาน และเพิ่งมีโอกาสได้สัมผัสกับน้ำที่ชุ่มฉ่ำ..
“นี่มัน..”
หลิงหยุนไม่สามารถสงบนิ่งได้อีกต่อไป..
คัมภีร์เสวียนหวงนั้นเป็นวิชาบ่มเพาะที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษตระกูลหลิงและมีเพียงผู้สืบสายเลือดตระกูลหลิงเท่านั้นที่จะสามารถฝึกฝนได้
‘ไม่นะ..มันน่าจะเรียกว่าพลังอมตะเส่วียนหวงเสียมากกว่า!’ หลิงหยุนร้องอุทานอยู่ในใจเงียบๆ..
การฝึกวิชาตามคัมภีร์เสวียนหวงนี้เมื่อฝึกไปจนถึงบางช่วง ก็จะสามารถเปิดสมุดจักรพรรดิได้! และหลิงหยุนเองก็เคยเปิดได้โดยบังเอิญในระหว่างที่ฝึกตามคัมภีร์เสวียนหวงนี้มาก่อนเช่นกัน..
“หรือนี่จะเป็นสมบัติล้ำค่าอีกชิ้น..ต้องใช่แน่ๆ!” หลิงหยุนร้องออกมาอย่างตื่นเต้นดีใจ
นับจากวันนี้ไป..คัมภีร์เสวียนหวงจะมีความสำคัญกับเขาเท่าๆกับวิชาพลังลับหยิน-หยาง!
“โอย..”
“อ๊าก..”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังมาจากสนามหญ้าด้านนอกหลิงหยุนรีบหยุดการเดินลมปราณเสวียนหวง และรีบพุ่งไปที่สวนหน้าบ้านทันที
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อครู่นั้นเป็นเสียงร้องของเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซิน หลิงหยุนพบว่าพวกมันทั้งคู่ดูเหมือนจะกำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดอย่างมาก แม้จะถูกสกัดจุดไว้ แต่ร่างของทั้งคู่ยังสามารถบิดไปมาอย่างรุนแรงได้!
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น”
หลิงหยุนถึงกับยืนงง..เฉินเซินเพิ่งจะกลายเป็นแวมไพร์ได้ไม่นาน ไม่น่าจะกระหายเลือดจนทุรนทุรายมากมายถึงเพียงนี้ ส่วนเฉินเจี้ยนกุ่ยก็เพิ่งจะดื่มเลือดอิ่มไปไม่ใช่หรือ!
หลิงหยุนจัดการถ่ายเทลมปราณผ่านนิ้วเพื่อทำการคลายจุดให้กับเฉินเจี้ยนกุ่ยแล้วใช้จิตหยั่งรู้สำรวจดูร่างกายของมันว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่!
“สบายจังเลย..!”
“โอ้ว..สบายมากจริงๆ!”
ตรงข้ามเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินก็คือร่างของพอลกับเจสเตอร์ ทั้งคู่ทำสีหน้าท่าทางผ่อนคลาย และมีความสุขอย่างมากราวกับเพิ่งแช่น้ำอุ่นในอ่างมา ใบหน้าหล่อเหลาของพวกมันทั้งคู่ดูสดชื่นอย่างมากทีเดียว
ที่เพิ่งจะอาบน้ำอุ่นเสร็จและกำลังรู้สึกสบาย และใบหน้าหล่อเหลาของมันกูดูสดชื่นอย่างมาก
“เกิดอะไรขึ้นกับพวกเจ้าสองคน!เหตุใดสีหน้าของพวกเจ้าจึงดูสดชื่นเช่นนั้น?!”
ดวงตาของหลิงหยุนจับจ้องอยู่ที่เฉินเจี้ยนกุ่ยแต่ปากกลับเอ่ยถามแวมไพร์ขั้นไวส์เคาน์อย่างพอลกับเจสเตอร์..
“เจ้านาย..พวกเราสัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างที่แสนสบายกำลังแทรกซึมเข้าสู่ร่างกายของพวกรา..”
เจสเตอร์ร้องบอกหลิงหยุนทั้งที่ยังคงหลับตาอย่างสบาย..
“นี่มันอะไรกันข้ารู้สึกอึดอัด แล้วก็ไม่สบายอย่างมาก..!” เฉินเจี้ยนกุ่ยที่ถูกคลายจุดถึงกับร้องตะโกนสวนออกมาทันที
หลิงหยุนได้แต่คิดในใจว่า‘หรือจะเป็นเพราะปราณเสวียนกับปราณหวง..!’
เมื่อครู่หลิงหยุนเพิ่งเดินลมปราณเสวียนและลมปราณหวงแต่ผลปรากฏว่าแวมไพร์ทั้งสี่กลับมีปฏิกิริยาแตกต่างกัน..
เมื่อคิดได้เช่นนี้หลิงหยุนจึงรีบดูดปราณเสวียน และปราณหวงที่กระจายอยู่รอบๆ กลับเข้าสู่ร่างกาย เพื่อจะดูปฏิกิริยาของแวมไพร์ทั้งสี่ตน
ปรากฏว่า..ทั้งเฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินต่างก็หยุดร้องโหยหวน และเลิกดิ้นทุรนทุราย ส่วนพอลกับเจสเตอร์ก็ตื่นจากความรู้สึกสบาย..
‘ใช่แล้ว..เป็นผลมาจากปราณเสวียน และปราณหวงจริงๆ!’
บทที่ 824 : ทดสอบ!
‘ปราณเสวียนกับปราณหวงมีผลต่อร่างกายของแวมไพร์ถึงเพียงนี้เชียวรึ!’หลิงหยุนครุ่นคิดด้วยใจที่เต้นระทึก
หลิงหยุนแทบไม่อยากจะเชื่อ..และรีบเดินลมปราณเสวียนและหวงใหม่อีกครั้งทันที
ครั้งนี้..หลิงหยุนถ่ายเทปราณเสวียนและปราณหวงออกมามากกว่าครั้งที่แล้ว และระหว่างที่หลิงหยุนถ่ายเทลมปราณออกมานั้น เฉินเจี้ยนกุ่ยก็กรีดร้องออกมาอย่างคลุ้มคลั่งราวกับถูกพิษร้ายแรง ส่วนพอลกับเจสเตอร์นั้นกลับอยู่ในอาการดื่มด่ำมึนเมาราวกับคนกำลังเสพยา..
ในระหว่างนั้นเอง..หลิงหยุนก็สังเกตเห็นบางสิ่งบางอย่างของเฉินเซินที่กำลังเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด ซึ่งก็คือดวงตาแดงก่ำของเฉินเซินนั่นเอง ดวงตาที่แดงเข้มของมันกำลังเปลี่ยนกลับมาเป็นสีดำเหมือนเดิม!
‘หรือว่า..เลือดแวมไพร์ในร่างกายของเฉินเซินนั้นกำลังสลายตัว!’
หลิงหยุนรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก!
หลังจากที่ได้ทำการพิสูจน์แล้วหลิงหยุนมั่นใจอย่างยิ่งว่าปราณเสวียนกับปราณหวงนั้น มีผลกระทบต่อแวมไพร์จริงๆ!
แต่ถึงกระนั้น..ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นกับพอลและเจสเตอร์นั้น กลับแตกต่างและตรงข้ามกับเฉินเจี้ยนกุ่ยแล้วก็เฉินเซินอย่างสิ้นเชิง!
ระหว่างที่ดูดเอาปราณเสวียนกับปราณหวงกลับเข้าไปคืนนั้นหลิงหยุนก็ฉุกคิดขึ้นมาได้ทันทีว่า..
เขาได้หยดเลือดของตนเองลงไปในร่างของพอลกับเจสเตอร์ในเมื่อเป็นหยดเลือดของเขาเอง ก็ย่อมต้องมีจิตวิญญาณของเขาอยู่ด้วย ดังนั้นปราณเสวียนกับปราณหวงจึงส่งผลที่ดีกับพอลและเจสเตอร์นั่นเอง!
พวกมันจึงได้เคลิบเคลิ้มมึนเมาเช่นนี้!
แต่เพราะเหตุใดปราณเสวียนและปราณหวงจึงได้มีผลทำให้เฉินเจี้ยนกุ่ยกับเฉินเซินเจ็บปวดทุนทุรายเช่นนั้นได้หลิงหยุนเองก็ยังคิดไม่ออกเช่นกัน แต่เขาก็ไม่กังวลใจนัก เพราะยังมีเวลาที่จะค่อยๆศึกษาเรื่องนี้ไป..
‘จากปฏิกิริยาของเฉินซิน..ดูเหมือนว่าข้าจะค้นพบกุญแจสำคัญที่จะช่วยทำให้คนตระกูลเกาเปลี่ยนจากแวมไพร์กลับมาเป็นมนุษย์ดังเดิมได้แล้วสินะ!’
คิดได้เช่นนี้แล้วหลิงหยุนก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที..
“พอล..เจสเตอร์.. พวกเจ้าพาตัวพวกมันทั้งสามคนไปไว้ที่โกดังด้านหลังก่อน อย่าปล่อยให้มันร้องโหยหวนอยู่ที่นี่!”
“ครับ..เจ้านายที่เคารพ”
หลังจากที่คำนับหลิงหยุนแล้ว พอลกับเจสเตอร์ก็ลากตัวพวกมันทั้งสามคนไปไว้ที่โกดังด้านหลังตามคำสั่งทันที
“พี่หยุน..เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับพวกมันทั้งสี่ตน!” ถังเมิ่งเอ่ยปากถามด้วยความงุนงง..
หลิงหยุนลังเลเล็กน้อยแต่แล้วก็ตอบกลับไปยิ้มๆ “ไม่มีอะไร.. เป็นเรื่องที่ดีก็แล้วกัน! นายเข้าไปในบ้านคุยกับฉันเรื่องที่ต้องทำพรุ่งนี้ดีกว่า!”
ถังเมิ่งเดินตามหลิงหยุนเข้าไปในห้องพร้อมกับร้องถามขึ้นว่า“พี่หยุน.. พี่จะให้ฉันโทรตามเจ้าบ้าเสี่ยวอู๋ด้วยมั๊ย”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า“ไม่ต้อง.. รอให้เสี่ยวอู๋ฝึกวิชาให้เสร็จก่อน! นายกับฉันคอยอยู่ที่นี่ดีกว่า”
“เอ่อ..อาปิงเพิ่งจะโทรหาฉัน พอรู้ว่าพี่หยุนกลับมาแล้ว อาปิงก็อยากจะมาหาพี่เหมือนกัน!”
“งั้นรึ!แล้วอาปิงทำงานเป็นไงบ้าง?”
เมื่อได้ยินถังเมิ่งพูดถึงอาปิงหลิงหยุนจึงถามถึงการทำงานของเขาด้วยท่าทีสบายๆ ไม่จริงจังอะไรนัก..
ถังเมิ่งเกาศรีษะและยิ้มหน้าแดง“นี่พี่หยุน.. สงสัยหมอนี่เกิดมาเพื่อเป็นนักเลงจริงๆ! เขาดูแลแก๊งมังกรเขียวได้ดีอย่างไม่น่าเชื่อ!”
หลิงหยุนหวเราะพร้อมกับพูดว่า“ฮ่า.. ฮ่า.. ดูเหมือนจะเก่งกว่านายอีกสินะ!”
ถังเมิ่งรีบเถียงทันที“พี่หยุน.. อาปิงเกิดในครอบครัวทหาร ถูกพ่อบังคับให้เรียนรู้เรื่องกลยุทธ์ต่างๆทางการทหารมาตั้งแต่แด็ก ก็เลยทำให้สามารถบริหารจัดการแก๊งมังกรเขียวได้ดีน่ะสิ!”
หลิงหยุนคร้านที่จะทะเลาะกับถังเมิ่งจึงรีบตอบกลับไปว่า“โทรไปบอกอาปิงว่าวันนี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน”
ถังเมิ่งพยักหน้า“ได้.. ฉันจะรีบโทรไปบอกอาปิงเดี๋ยวนี้ล่ะ!”
รอจนกระทั่งถังเมิ่งคุยโทรศัพท์แสร็จหลิงหยุนจึงยิ้มให้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่อยู่ปักกิ่งด้วยกัน เราสองคนพี่น้องยังไม่มีเวลานั่งคุยกันสองต่อสองเลย”
“เอาล่ะ..นายนั่งลงก่อน แล้วค่อยๆเล่าให้ฉันฟังว่าช่วงที่ฉันไม่อยู่เกิดอะไรขึ้นที่จิงฉูบ้าง”
ถังเมิ่งรู้ดีว่าหลิงหยุนต้องการที่จะเข้าใจสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในจิงฉูเขาลุกขึ้น
ถังเมิ่งรู้ดีว่าหลิงหยุนต้องการเข้าใจสถานการณ์ในเมืองจิงฉูทั้งหมดเขาเดินไปรินน้ำชามาให้หลิงหยุนหนึ่งถ้วย แล้วจึงค่อยๆเล่าเรื่องทั้งหมดในช่วงที่หลิงหยุนไม่อยู่ให้ฟังอย่างละเอียด
ทั้งคู่นั่งคุยกันร่วมสองชั่วโมงจนกระทั่งถึงเวลาตีสองถังเมิ่งจึงเล่าเรื่องทุกอย่างจบ และดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเดินหน้าไปได้ด้วยดี
“พี่หยุน..ดูสิ! ตอนนี้เราก็ทั้งบุคลากรทั้งเงินพร้อมแล้ว บริษัทเทียนตี้ของฉันก็ควรจะเริ่มก่อตั้งได้แล้วใช่มั๊ย”
ดูเหมือนถังเมิ่งจะจริงจังกับการก่อตั้งบริษัทเทียนตี้อย่างมาก..
หลิงหยุนพยักหน้ายิ้มๆ“อืมม.. ก็สมควรแก่เวลาแล้วนี่! แต่นายต้องไปจัดการเองทั้งหมด วันเปิดบริษัทฉันก็จะไม่ไปนะ!”
ถังเมิ่งได้ฟังก็ถึงกับร้องโวยวายออกมาอย่างร้อนใจ“พี่หยุน.. นี่มันบริษัทของพี่นะ พี่จะไม่ไปเลยไม่ได้หรอก.. เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
หลิงหยุนเห็นถังเมิ่งโวยวายไม่ยอมแพ้ก็ได้แต่ตอบไปว่า “ตกลงๆ เอาเป็นว่าถ้าฉันมีเวลา ฉันก็จะไปก็แล้วกัน!”
ยิ่งหลิงหยุนก้าวหน้าขึ้นมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งไม่ชอบการปรากฏตัวตามงานพิธีการต่างๆมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับขุนพลที่ยิ่งใหญ่ ที่มักจะวางกลยุทธและบัญชาการรบอยู่นอกสนามต่อสู้
เมื่อหลิงหยุนตอบตกลงถังเมิ่งก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ไม่รู้ล่ะพี่หยุน.. พี่จะมี หรือไม่มีเวลา พี่ก็ต้องมาในวันเปิดบริษัท เพราะฉันคนเดียวคงรับแขกคนใหญ่คนโตไม่ไหวแน่!”
หลิงหยุนยิ้มบางและขณะที่กำลังจะคุยเรื่องโรงหลอมกับถังเมิ่งต่อ เขาก็ได้ยินเสียงดังมาแต่ไกล..
“เสี่ยวอู๋กลับมาแล้ว..หมอนี่ก้าวหน้ารวดเร็วจริงๆ!”
หลิงหยุนพึมพำออกมาอย่างมีความสุขก่อนจะลุกขึ้นยืนพูดว่า “ออกไปดูข้างนอกกันดีกว่า!”
พูดยังไม่ทันจบร่างของหลิงหยุนก็หายวับออกไปจากห้องนั่งเล่นแล้ว..
“ห๊ะ!หายไปเร็วจัง!”
ถังเมิ่งร้องอุทานออกมาพร้อมกับหันไปมองหลิงหยุนที่เวลานี้อยู่ในสวนด้านหน้าด้วยความตกตะลึง..
ที่ด้านหน้าของหลิงหยุนเวลานี้คือร่างสูงใหญ่ที่เคลื่อนที่มาอย่างรวดเร็วด้วยวิชามังกรพรางร่างที่เขาเคยสอน..
ตอนนี้ตี้เสี่ยวอู๋ฝึกทั้งวิชาดาราคุ้มกายวิชานู่เตา วิชาหมัดปีศาจเถียนกัง วิชามังกรพรางร่าง วิชาเท้าวายุ และจากการทุ่มเทฝึกฝนอย่างตั้งใจเกือบตลอดทั้งวันทั้งคืนนั้น ทำให้ตี้เสี่ยวอู๋สามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-6 แล้ว!
และอีกไม่เท่าไหร่ก็จะสามารถเข้าสู่ขั้นโฮ่วเทียน-7!
หลิงหยุนยิ้มมุมปากดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความชื่นชม..
แม้ตี้เสี่ยวอู๋จะอยู่ในระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-6แต่เพราะมีพื้นฐานที่ดีและมั่นคง ทำให้ความแข็งแกร่งของตี้เสี่ยวอู๋นั้น แม้แต่ยอดฝีมือขั้นโฮ่วเทียน-8 ก็ยากที่จะเอาชนะได้!
‘ไม่เลวทีเดียว!เจ้าเด็กนี่สามารถเข้าสู่ระดับย่อยหกของดาราคุ้มกายแล้วรึ! นับว่าไม่ธรรมดาจริงๆ!’
แต่แน่นอนว่า..ความก้าวหน้าที่รวดเร็วของตี้เสี่ยวอู๋นั้น ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ หรือโชคช่วย แต่เป็นเพราะได้รับการถ่ายทอดและฝึกฝนให้โดยหลิงหยุน อีกทั้งในร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋นั้นก็ยังมีพลังอมตะที่เขาได้ถ่ายเทให้อีกด้วย หากมีข้อได้เปรียบถึงเพียงนี้แล้วยังล่าช้า หลิงหยุนก็คงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย!
แต่ถึงกระนั้น..ตี้เสี่ยวอู๋ก็ยังไม่ก้าวหน้ารวดเร็วเท่ากับหนิงหลิงยู่!
เมื่อเห็นว่าตี้เสี่ยวอู๋เข้ามาใกล้มากแล้วหลิงหยุนที่ยังยืนอยู่ท่ามกลางความมืด จึงได้จัดการใช้ผ้าปิดบังใบหน้าของตนเองไว้
หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงการไหลเวียนของลมปราณภายในร่างกายของตี้เสี่ยวอู๋ที่กำลังส่งเสียงคลืนๆคล้ายกับคลื่นของกระแสน้ำ
‘เจ้าเด็กนี่ไม่เบาเลยทีเดียวดูท่าวิชานู่เตาจะก้าวหน้าไปมาก!’
หลิงหยุนแอบชื่นชมอยู่ในใจเงียบๆและเมื่อตี้เสี่ยวอู๋มาถึง หลิงหยุนก็พุ่งออกมาทันที แล้วกำหมัดชกเข้าที่ด้านหลังของตี้เสี่ยวอู๋ โดยใช้กำลังเพียงแค่ยี่สิบส่วนเท่านั้น!
เมื่อรู้สึกได้ว่าถูกศัตรูซุ่มโจมตีตี้เสี่ยวอู๋ก็ถึงกับตกใจ แต่ก็รีบใช้มังกรพรางร่างขั้นสุดถอยออกมา..
หลิงหยุนทำเสียงคนแก่พูดออกไปว่า“เยี่ยมมากเจ้าเด็กน้อย! ตอบโต้ได้รวดเร็วมาก.. เตรียมรับหมัดของข้าอีกครั้งล่ะ!”
พูดจบ..หลิงหยุนก็ผิวปากพร้อมกับชกหมัดเข้าใส่ตี้เสี่ยวอู๋อย่างรวดเร็ว!
ตี้เสี่ยวอู๋คิดไม่ถึงว่าคู่ต่อสู้จะรวดเร็วถึงเพียงนี้เขาจึงได้แต่กัดฟันพร้อมกับกระโดดหมุนตัวอยู่กลางอากาศ!
หากถูกคู่ต่อสู้โจมตีจากด้านหลังแต่กลับไม่สามารถหันกลับมาตอบโต้ได้ ก็นับว่าที่ฝึกฝนมายังไร้ประโยชน์นัก!
“แกรนหาที่ตายเอง!”
ตี้เสี่ยวอู๋พูดอย่างโมโหในขณะที่ร่างของเขาหมุนตัวกลับอยู่กลางอากาศและกำลังพุ่งหมัดทั้งสองข้างเข้าใส่ร่างของหลิงหยุน!
หลิงหยุนยืนนิ่งจ้องมองหมัดทั้งสองข้างของตี้เสี่ยวอู๋ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นชกใส่ตี้เสี่ยวอู๋เป็นหมัดที่สาม!
ปัง!
ด้วยแรงปะทะจากหมัดของหลิงหยุนทำให้ร่างของตี้เสี่ยวอู๋ลอยละลิ่วออกไปพร้อมกับหมุนห้าหกตลบอยู่กลางอากาศ..
ระหว่างที่ร่างของตี้เสี่ยวอู๋หมุนคว้างอยู่กลางอากาศนั้นสายตาของเขาก็เหลือบไปเห็นร่างของหลิงหยุนที่เวลานี้อยู่ท่ามกลางแสงไฟ จึงร้องอุทานออกมาอย่างตกใจ..
“พี่หยุน!”
หลิงหยุนแสร้งทำเป็นกระอักกระอ่วนที่ถูกจับได้พร้อมกับร้องออกไปว่า“เฮ้อ.. ถูกนายจับได้แล้วสินะ!”