บทที่ 366 เจริญตาเจริญใจกว่าทามทอย

รักหวานอมเปรี้ยว

เดิมทีเขาคิดว่า เป็นเพียงเจ้าของห้องในคอนโดนี้เกิดเรื่อง

แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่า คนที่เห็นจะเป็นมายมิ้นท์

ลาเต้ไม่มีเวลาที่จะสนใจว่าไมโลเป็นใคร และยิ่งไม่มีเวลามาสนใจด้วยว่าทำไมไมโลจึงได้เรียกมายมิ้นท์ว่าคุณอาสะใภ้

เขารีบเข้าไปตรวจสภาพร่างกายของมายมิ้นท์ พบว่าค่อนข้างร้ายแรง

มายมิ้นท์ไม่เพียงแค่ถูกคนทำร้ายที่ข้อมือ และมีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งที่รุนแรงที่สุดก็คือศีรษะของเธอ ศีรษะด้านหลังบวมเป็นอย่างมาก!

ลาเต้รู้ดีว่าไม่สามารถชักช้าได้แล้ว เขารีบอุ้ม มายมิ้นท์ พลางพูดขึ้นว่า“เด็กน้อย เดี๋ยวผมจะพาที่รักไปโรงพยาบาล หนูก็มาด้วยกันเถอะ!”

เขายังมีข้อสงสัยอีกหลายอย่างที่ต้องถามเด็กคนนี้

“อึม อึม”ไมโลพยักหน้า

ลาเต้อุ้มมายมิ้นท์ และรีบออกจากบันไดหนีไฟอย่างรวดเร็วและรีบวิ่งออกไปข้างนอก

ไมโลก็พยายามเดินตามหลังด้วยขาสั้นสองข้างของเขาอย่างรวดเร็ว

บนรถ ลาเต้ใช้การนำทางด้วยเสียง เพื่อนำทางไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด และนำมายมิ้นท์ไปส่ง

สิบนาทีต่อมา มายมิ้นท์ก็เข้าไปยังห้องฉุกเฉิน

ลาเต้และไมโลจึงคลายความกังวลลง จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้แถวอย่างใจจดใจจ่อ

ระหว่างนี้ลาเต้มองไปยังไมโล“เฮ้ หนุ่มน้อย หนูเป็นลูกใครกันครับ เบอร์ผู้ปกครองคือเบอร์อะไร เดี๋ยวผมจะโทรหาผู้ปกครองหนูให้ เดี๋ยวผู้ปกครองจะเป็นห่วงเอา”

“พ่อแม่ของผมอยู่ในกองทัพทหาร ลุงของผมฝากผมให้อาสะใภ้ดูแล ”ไมโลตอบกลับ

เมื่อลาเต้ได้ยินคำว่าอาสะใภ้ ก็รู้สึกแปลกๆ

เขาขมวดคิ้วพลางถามขึ้น“ทำไมหนูถึงเรียกที่รักของผมว่าอาสะใภ้ล่ะ ?ลุงของหนูคือใครเหรอครับ หน้าไม่อาย!”

คงไม่ใช่เปปเปอร์หรอกนะ?

แต่ว่าก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าเปปเปอร์มีหลาน

เมื่อไมโลได้ยินลาเต้ว่าลุงของตนว่าหน้าไม่อาย ก็อดไม่ได้ที่จะทำหน้าบึ้ง“คือทามทอยครับ!”

“.……”ลาเต้ตะลึงงันเล็กน้อย จากนั้นน้ำเสียงก็สูงขึ้น “อะไรนะ?ที่แท้ก็คือทามทอย!”

ดี ทามทอยคนนั้นกลับเอาหลานของตัวเองมาให้มายมิ้นท์ดูแล ทั้งยังให้หลานของตัวเองเรียกมายมิ้นท์ว่าอาสะใภ้

เหอะ แผนการที่ชัดเจนขนาดนี้ คิดว่าคนอื่นจะดูไม่ออกเหรอ

นี่ไม่ใช่เพียงแต่หน้าไม่อายแล้ว แต่มันคือไร้ยางอาย!

“รีบโทรหาลุงหนูให้รีบมารับหนูกลับไปซะ”ลาเต้พูดอย่างโมโห:“จริงๆเลย หลานตัวเองไม่ยอมดูแล ต้องมารบกวนให้ที่รักของเขาดูแล”

ไมโลแกว่งเท้าเล็กน้อย พลางพูดขึ้นอย่างขอโทษว่า“ต้องขอโทษด้วยนะครับคุณลุง ลุงของผมไปทำงานต่างเมือง ไม่ได้อยู่ที่เมืองเดอะซี”

“อะไรนะ?”ลาเต้ขมวดคิ้ว“ที่แท้หนีไปแล้วนี่เอง?”

“ไม่ใช่สักหน่อย ไปทำงานต่างเมืองต่างหาก!”ไมโลแก้คำพูดให้กับเขา

ลาเต้โบกมือ“ผมไม่สนใจหรอกว่าเขาไปทำอะไร เพราะถึงยังไงสำหรับผมแล้วก็คือหนีไปแล้ว ในเมื่อหนีไปแล้ว งั้นก็รอให้เขากลับมาก่อนค่อยคิดบัญชีกับเขา ส่วนเด็กคนนี้นะเหรอ ……

ลาเต้จ้องมองไปที่ไมโลครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ถอนหายใจด้วยความหงุดหงิด“ช่างเถอะ ช่างเถอะ ผมจะทำอะไรกับเด็กน้อยอย่างคุณได้ โอเคเด็กน้อย หนูบอกผมสิว่า ที่รักบาดเจ็บได้ยังไง?”

สีหน้าของเขาขรึมขึ้น

ไมโลก็ทำสีหน้าจริงจังราวกับผู้ใหญ่ พลางตอบกลับว่า:“หนูก็ไม่รู้เหมือนกันครับ อาสะใภ้บอกว่าจะไปซื้อซีอิ๊ว นานแล้วไม่กลับมา ผมก็เลยลงมาตามเธอข้างล่าง แล้วก็โทรศัพท์หาเธอ พบว่าเสียงโทรศัพท์ของเธอดังออกมาจากบันไดหนีไฟ ก็เลยเข้าไปดู ก็เห็นอาสะใภ้เป็นแบบนั้นแล้ว ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ลาเต้ก็กำหมัดแน่น“ดูเหมือนว่าผมจะต้องไปดูที่คอนโดพราวฟ้าอีกครั้ง ไปตรวจดูห้องวงจรปิดสักหน่อย”

ศีรษะของมายมิ้นท์ถูกตีจนบวมขนาดนี้ ข้อมือก็ถูกกรีด นี่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีคนทำร้าย

หากบอกว่าเป็นการลอบทำร้าย ก็ไม่น่าจะใช่

เพราะหากเป็นการลอบทำร้าย ก็คงจะไม่เพียงทำแค่กรีดข้อมือของมายมิ้นท์เขาได้เห็นรอยแผลที่บริเวณข้อมือของมายมิ้นท์แล้ว ลักษณะบาดแผลเป็นรูปวงกลม ขนาดเล็กมาก น่าจะขนาดเท่ากับถั่วลิสง ไม่ค่อยลึกเท่าไหร่นัก

ดังนั้นหากต้องการกรีดข้อมือเพื่อฆ่า ก็ควรที่จะต้องกรีดเป็นเส้นตรง อีกทั้งรอยบาดแผลก็ไม่ลึก หากทำเช่นนี้จึงจะสามารถตัดหลอดเลือดได้ และทำให้มีเลือดไหลออกมาเป็นจำนวนมาก ดังนั้น คนที่ทำร้ายมายมิ้นท์ ไม่ได้ต้องการทำให้มายมิ้นท์ถึงกับเสียชีวิต ไม่เช่นนั้นทำไมถึงไม่ตัดหลอดเลือด?

อีกทั้งในส่วนบริเวณของศีรษะ ก็แค่ตีเล็กน้อย เพราะหากต้องการฆ่าจริงๆ แม้ว่าจะไม่กรีดข้อมือ ในส่วนของศีรษะก็ควรที่จะมีการทุบตีมากกว่านี้ เมื่อทำเช่นนี้จึงจะสามารถทำให้คนตายได้ แต่ว่าฆาตกรไม่ได้ทำเช่นนั้น

นอกจากนี้ เสื้อผ้าของมายมิ้นท์ก็ยังคงเป็นระเบียบ ราวกับว่าไม่ได้ถูกละเมิด ดังนั้นคนที่ทำร้ายมายมิ้นท์ มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?

แต่ว่าไม่ว่าจะมีจุดประสงค์อะไร เขาก็จะต้องตรวจสอบให้ชัดเจน จะต้องตาหาคนคนนั้นให้เจอ แล้วตาต่อตาฟันต่อฟัน

ลาเต้เรียกพยาบาลมาคนหนึ่ง แล้วให้พยาบาลมาดูแลไมโลโดยเฉพาะ

เพราะว่าเขาจะไปยังคอนโดพราวฟ้า ทิ้งไมโลไว้คนเดียวเขาไม่วางใจ พาไปด้วยก็ลำบาก จึงเรียกให้คนมาช่วยดูแล

“เจ้าหมอนี่หนูรออยู่ที่นี่นะ ผมจะไปตรวจสอบเรื่องนี้ก่อน เดี๋ยวถ้าที่รักออกมาแล้ว หนูโทรหาผมด้วยล่ะ”ลาเต้เขียนเบอร์โทรศัพท์ของตนให้กับไมโล พลางเหลือบมองนาฬิกาโทรศัพท์บนข้อมือของไมโล

ไมโลรับเบอร์โทรศัพท์มา พลางพยักหน้าอย่างแรง “ผมทราบแล้วครับ คุณลุงไปเถอะครับ จับคนร้ายมาให้ได้นะครับ”

ลาเต้ยิ้ม อดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของไมโล“ได้ จากคำพูดนี้ หนูก็ดูเจริญหูเจริญตามากกว่าทามทอย โอเค ลุงไปก่อนนะ”

พูดจบ เขาก็หยิบโทรศัพท์กลับมา แล้วออกจากโรงพยาบาล

ขณะที่เขากำลังเดินออกจากประตูของโรงพยาบาล การันต์ก็มองเห็นเขา และอดไม่ได้ที่จะหรี่ตา

ลาเต้?

เขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

อีกทั้งที่ตัวของเขายังมีเลือดด้วย มีใครเกิดเรื่องกันเหรอ?

ขณะที่คิด ข้างการันต์ก็มีคนเดินเข้ามา เป็นคนวัยกลางคนใส่เสื้อกาวน์สีขาว พลางพูดขึ้นอย่างมีมารยาทว่า:“ด็อกเตอร์การันต์ยินดีต้อนรับคุณสู่โรงพยาบาลของพวกเรา การผ่าตัดในครั้งนี้ ต้องขอรบกวนคุณด้วยนะครับ”

“ไม่เป็นไรครับ แค่ส่งเครื่องมือแพทย์ที่ผมต้องการมาส่งโรงพยาบาลทันเวลาก็โอเคแล้วครับ”การันต์ขยับแว่นตาเล็กน้อยพลางพูดขึ้นอย่างราบเรียบ

หมอวัยกลางคนรีบตอบกลับว่า“ท่านวางใจเถอะ พรุ่งนี้ผมจะให้คนนำไปส่ง ตอนนี้ห้องผ่าตัดจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ท่านพร้อมที่จะเข้าไปแล้วหรือยังครับ?”

“ได้ แต่ว่ายังมีอยู่เรื่องหนึ่ง”การันต์มองไปที่เขา

หมอวัยกลางคนพยักหน้า“ท่านพูดมาได้เลยครับ”

“ตรวจสอบให้หน่อยว่าคนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไปเมื่อสักครู่นี้ มาที่โรงพยาบาลทำไม”การันต์ชี้ไปที่ทิศทางที่ลาเต้เพิ่งจากไป

ท่าทางของลาเต้นั้น ดูแข็งแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นเลือดนั้นจะต้องไม่ใช่ของลาเต้อย่างแน่นอน

อีกทั้งคนที่สามารถทำให้ลาเต้มาที่นี่ได้ด้วยตนเอง จะต้องเป็นคนที่ลาเต้ให้ความสำคัญ

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป็นคนในครอบครัว หรือว่า……

เมื่อคิดว่าลาเต้นั้นห่วงใยมายมิ้นท์แค่ไหน แววตาของการันต์ก็ขรึมลง

หวังว่าไม่ใช่มายมิ้นท์ก็คงจะดี

“วางใจเถอะครับด็อกเตอร์การันต์เดี๋ยวผมจะสั่งให้คนไปตรวจสอบ”หมอวัยรุ่นเอ่ยขึ้น

การันต์อึมหนึ่งที“ไปเถอะ ไปผ่าตัดกันก่อน”

ทั้งสองเดินไปอีกทิศทางหนึ่ง

อีกทางด้านหนึ่ง ตระกูลภักดีพิศุทธิ์

ชวนชมรีบวิ่งเข้ามาจากข้างนอก หยิบแก้วน้ำจากโต๊ะน้ำชามาหนึ่งแก้ว เงยหน้าแล้วดื่มหนึ่งอึกจนหมดแก้ว ท่าทีที่ดื่มเข้าไปอึกใหญ่นั้น ราวกับไม่เคยดื่มน้ำมาก่อน

คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เห็นก็ตะลึงงัน“ชวนชม ลูกทำอะไรของลูก ทำไมถึงได้ดื่มน้ำขนาดนี้ล่ะ?”

ชวนชมสูดหายใจเข้าหนึ่งเฮือก วางแก้วน้ำลง พลางยิ้มอย่างขอโทษ“ขอโทษค่ะแม่ ให้แม่ต้องเห็นเรื่องขบขัน”

“พอได้แล้ว พอได้แล้ว ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ยังต้องการอีกไหม?”คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ถามขึ้น

ชวนชมส่ายศีรษะ“ไม่แล้วค่ะ ตอนนี้ลูกไม่เป็นอะไรแล้ว”

หล่อนนั่งลงด้านตรงข้าม

คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มองไปที่หล่อน“ใช่แล้ว ชวนชม เมื่อกี้นี้ลูกไปไหนมาเหรอ ไม่ได้ให้คนขับรถไปด้วย โทรไปก็ไม่รับ แม่อยากจะเรียกลูกมากินข้าวเย็นด้วยกันก็ตามหาตัวลูกไม่เจอ”

“ไปชอปปิ้งกับเพื่อนค่ะ ช้อปปิ้งไปชอบปิ้งมา แบตโทรศัพท์ก็หมดก็เลยปิดเครื่องไปอย่างอัตโนมัติ”ชวนชมโน้มเปลือกตาลงพลางพูดขึ้น

คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์เข้าใจในทันที“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เอง งั้นลูกกินข้าวหรือยัง?”

“ลูกกินมาแล้วค่ะ แม่ ลูกเหนื่อยค่ะ ขอตัวไปอาบน้ำพักผ่อนก่อนนะคะ”ชวนชมลุกขึ้น แล้วเดินไปที่บันได

คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มองดูเงาหลังของหล่อน รู้สึกว่าหล่อนลุกลี้ลุกลน ท่าทีดูค่อยไม่สบายใจ

แต่ว่าก็ไม่ได้คิดมาก แล้วดูทีวีของตนต่อ