หลังจากเก็บเหรียญตราไว้เข้าร่วมกับสำนักอสูรแล้ว เฉินเฉินเรียกจางจีมาด้วย เมื่อเขากำลังเตรียมที่จะวางแผนเก็บเกี่ยวของโอกาส
เพียงแค่นั้น เฉินเฉินและจางจีก็ใช้เวลาครึ่งวันในการตามหาสมบัติในภูเขาเทียนหยุน จนกระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้ม
ยังไงก็ตาม พวกเขาทั้งสองไม่มีใครรู้สึกเหนื่อยกันเลยสักนิด มันเป็นเพราะว่าพวกเขาได้รับไอเทมระดับสุดยอดมามากมาย ซึ่งพวกมันมีค่าอย่างน้อยก็ถึงหนึ่งแสนหินวิญญาณ!
โชคร้ายที่จางจีไม่รู้ถึงคุณค่าของไอเทมที่เขาหาพบ สิ่งที่เขารู้คือเขามอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเก็บได้ให้กับเฉินเฉิน เหมือนกับผู้ช่วยที่ทำงานโดยที่ไม่คิดอยากได้ของรางวัล เมื่อเขามองไปที่จางจีแล้ว มันทำให้เฉินเฉินรู้สึกปวด
‘เขานี่สมกับเป็นผู้ชายที่มีหัวใจที่ซื่อตรงและยุติธรรมระดับตำเนียนเสียจริง…’
“น้องชาย พักสักหน่อยไหม ไม่ต้องรีบไปหรอก”
เฉินเฉินอดที่จะพูดแทรกขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเขาเห็นว่าจางจีกระตือรือร้นมากเพียงใด
“เอ่อ…พี่ชาย ไม่ใช่พี่พูดว่ามันเร่งรีบมากเลยงั้นหรือครับ?” จางจีพูดออกมาด้วยท่าทางที่สับสน ก่อนหน้านี้เฉินเฉินได้บอกเขาว่ามันรีบมาก
“มันมีของที่ข้าไม่ได้สนใจอะไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการไม่ฝืนร่างกายตัวเองจนทำให้ชีวิตมันพัง เจ้าไม่มีทางหรอกที่จะเก็บรวมรวมสมบัติสวรรค์พวกนี้จนหมดได้”
เฉินเฉินพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย ก่อนที่เขาจะล้มตัวลงไปนอนบนผืนหญ้า
วินาทีต่อมา เขาดูเหมือนกำลังคิดถึงบางอย่างออก ก่อนที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“พี่ชาย พี่หัวเราะอะไรกัน?” จางจีสับสน
“นี่คือเขาสวรรค์เงียบสินะ ข้าเริ่มหิวน้อยแล้ว เจ้าไปตักน้ำจากน้ำตกให้ข้าสักหน่อยได้ไหม?” เฉินเฉินพูดมาด้วยน้ำเสียงสองแง่สองง่าม โดยที่เขามีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า
จางจีไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับคำถามของเฉินเฉิน เขาเดินมุ่งตรงไปที่น้ำตกของยอดเขาสวรรค์เงียบด้วยขวดน้ำในมือ
ด้วยสายตาที่มีเลศนัย เฉินเฉินจ้องไปที่แผ่นหลังของจางจีที่เดินจากไป ตามระบบที่เขาได้ฟังมา เขาสามารถที่จะพบเห็นกลุ่มของศิษย์ภายนอกอาบน้ำอยู่ที่น้ำตกเขาสวรรค์เงียบได้
จางจีนั้นหัวทื่อมากเกินไปและเขาจะต้องได้รับประสบการณ์น่าตื่นเต้นกับเขาบ้าง
เมื่อมีความคิดแบบนี้แล้ว เฉินเฉินอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
ยังไงก็ตาม วินาทีต่อมา เขาอดที่จะหัวเราะออกมาอีกครั้งไม่ได้ เมื่อเขานึกถึงเหตุการณ์อีกเหตุการณ์ที่ระบบพูดถึง
จ้าวเสี่ยวหยาจะตกอยู่ในสภาพย่ำแย่คืนนี้ ถ้าเฉินเฉินได้ไปช่วยเธอแล้ว เธอจะประทับใจในตัวเขา นี่มันทำให้เขาตกอยู่ในความลังเลใจ
ถ้าเธอตกหลุมรักเขา หลังจากที่เขาไปช่วยเธอละ?
เขาอาจจะไม่ได้ตกหลุมรักกับเธอหรือจะรับผิดชอบความรักนี้กับเธอในอนาคตก็ได้
“อ๊า นี่มันช่างเป็นปัญหาเสียจริง การเป็นคนที่ยอดเยี่ยมแบบข้าเนี่ย ถ้าข้าไม่ได้ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ รวมทั้งเป็นคนที่เคร่งครัดในตัวเองแล้ว ข้าคงจะไม่ตกอยู่ในปัญหามากมายถึงเพียงนี้หรอก เฮ้อ!”
เฉินเฉินถอนหายใจออกมาอย่างเบาบาง เขาตัดสินจที่จะไปช่วยเธอ สุดท้ายแล้วเธอก็ได้รับมอบโสมแดง
นอกจากนี้แล้ว เขายังไม่มีทางที่จะปล่อยเธอทิ้งไว้ในสภาพเช่นนั้นได้ เพราะเขากลัวที่เธอจะตกหลุมรักเขาแบบนั้น
ในเวลาเดียวกันที่เฉินเฉินตกอยู่ในห้วงความคิด จางงจีก็เดินกลับมาพร้อมกับขวดน้ำ แต่ดวงตาของเขากลับบวมเป่งเสียอย่างงั้น
เมื่อเฉินเฉินเห็นมัน เขาลุกขึ้นนั่งและถามทันที “เกิดอะไรขึ้น? เจ้าโดนทำร้ายมาโดยการถ้ำมองคนอื่นอาบน้ำหรอ?”
จางจีตอบกลับด้วยน้ำเสียงเล็กๆ “พี่ใหญ่ พี่รู้ได้ยังไงเนี่ย…”
“เจ้าก็มีระดับฝึกตนอยู่บ้างแล้วนี่ เจ้าถูกพบได้ไง?” เฉินเฉินถามอย่างสงสัย
เขาส่งจางจีไปที่น้ำตก เนื่องจากว่าเขาต้องการช่วยเขาและมอบของขวัญให้กับเขาบ้าง ไม่ใช่ทำร้ายจางจีแบบนี้
เมื่อได้ยินมัน จางจีก็ลูบตาตัวเองด้วยสายตาที่เศร้าหมอง
“ข้าแอบมองไป…..และข้าคงคิดว่ามันคงไม่ใช่เรื่องที่ดีสำหรับศิษย์พี่สาวที่จะอาบน้ำด้านนอก เนื่องจากว่าอาจจะมีคนอื่นแอบมองด้วยเหมือนกัน ข้าจึงตะโกนเตือนเธอ แต่เธอกลับทุบตีข้าเสียอย่างงั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้ว เฉินเฉินพูดไม่ออก หลังจากผ่านไปสักพัก เขาก็หายใจเข้าลึกๆ
ถึงแม้ว่าเขาจะมีอายุสิบหกปีตามร่างกายปัจจุบันนี้ก็ตามที แต่อายุทางจิตใจของเขานั้น 40 แล้ว ในอีกด้านหนึ่ง จางจีนั้นมีอายุ 18 ทั้งด้านนอกและด้านในและไม่เคยที่จะยุ่งกับผู้หญิงมาก่อน
“น้องชาย ข้าละอิจฉาเจ้าจริง เจ้าไม่มีทางที่จะกลายเป็นเศษขยะแบบข้าได้…อา ข้าวิ่งไปเก็บของก่อน เดี๋ยวข้ากลับมานะ”
เฉินเฉินถอนหายใจ เขาหันตัวกลับและวิ่งตรงเข้าไปในประตูด้านในของยอดเขาดาบสวรรค์
เมื่อเห็นเฉินเฉินเดินอย่างดูเหนื่อยล้า จางจีอดถามออกมาไม่ได้ “พี่ชาย มีอะไรให้ข้าช่วยไหมครับ?”
“ไม่ได้ มันมีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เมื่อเจ้าเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากเกินไป ข้ามีหน้าที่รับผิดชอบที่จะต้องโดนก่นด่าเอง ข้าต้องการจัดการให้มันเรียบร้อยดี”
น้ำเสียงของเฉินเฉินดังก้องไปทั่วท้องฟ้าตอนกลางคืน น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
ถึงแม้ว่าจางจีจะไม่เข้าใจคำพูดของเฉินเฉินเลยสักนิด เขาก็ยังคงประหลาดใจและนับถือเขาอยู่ดี
…
ในเวลาเดียวกัน ภายในสวนบนยอดเขาดาบสวรรค์ จ้าวเสี่ยวหยากำลังคุกเข่าและฝึกตนอยู่ เมื่อเธอเป็นศิษย์พี่ในสำนักแล้ว เธอก็มีความแข็งแกร่งเทียบเท่าได้กับผู้อาวุโสและตอนนี้เธอก็กำลังจะเลื่อนขึ้นกลายเป็นขั้นฝึกรากฐานระดับกลางแล้ว
แต่ว่ามันกลับมีความผิดปกติในความคิดของเธอ เมื่อเธอกำลังจะเลื่อนขั้น
ปัญหานี้มันเกิดขึ้นมาเพราะว่าเธอนั้นถูกเคล็ดวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนครอบงำ
ขั้นฝึกรากฐานระดับกลางเป็นอุปสรรคที่เธอจำเป็นต้องข้าม เมื่อเธอก้าวข้ามเข้ามาสู่ระดับกลางแล้ว เธอจะไม่มีวันกลับไปฝึกฝนวิชาสายฟ้าศักดิ์สิทธิ์เทียนหยุนได้อีก จนกระทั่งเธอต้องกำจัดระดับการฝึกตนของเธอทิ้งไปก่อน
ความหมกมุ่นของเธอมันทำให้จิตใจที่จะก้าวข้ามระดับหวั่นไหวและเพียงเวลาไม่นานพลังปราณในจุดตันเถียนของเธอก็ระส่ำระสาย
พลังปราณเป็นพลังที่มีต้นกำเนิดมาจากสวรรค์และผืนปฐพีและเมื่อมันบ้าคลั่งแล้ว มันมีพลังทำลายล้างสูงมาก ทันทีที่จ้าวเสี่ยวหยาตระหนักได้ว่าเธอนั้นทำพลาดไป มันก็สายเกินไปเสียแล้ว พลังปราณของเธอได้บ้าคลั่งไปทั่วทั้งร่าง มันทำลายจุดตันเถียนทั้งแปดของเธอลง.
อั๊ก!
จ้าวเสี่ยวหยากระอักเลือกออกมาคำโต ใบหน้าของเธอซีดขาวและร่างกายของเธออ่อนแอมาก
แต่พลังปราณที่อยู่ในร่างของเธอไม่ได้มีท่าทีอ่อนแอตามไปด้วย จุดตันเถียนของเธอเกือบที่จะถูกทำลายลงอย่างสมบูรณ์แล้ว
ถ้าจุดตันเถียนของเธอพังลง เธอก็จะตายทันที เมื่อคิดถึงเรื่องนี้แล้ว ความตื่นตระหนกนับไม่ถ้วนเกิดขึ้นในดวงตาของจ้าวเสี่ยวหยา เธอพยายมที่จะหยิบเหรียญสื่อสารออกมาจากกระเป๋าหน้าอกของเธอ เพื่อที่จะบอกปู่ของเธอ ผู้อาวุโสซิงฟา
แต่เธอตกอยู่ในสภาพเลวร้ายนี้ เธอไม่สามารถที่จะปล่อยลมปราณออกมาได้เลยสักนิด เหรียญสื่อสารมันจึงไม่ทำงาน
หลังจากที่ตระหนักได้ว่าเธอตกอยู่ในปัญหาแล้ว ความสิ้นหวังถาโถมเข้าใส่จ้าวเสี่ยวหยาอย่างเต็มกำลัง
การเลื่อนขั้นจากขั้นต้นไปขั้นกลางของระดับการฝึกตนมันไม่ได้ยากอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจ เธอไม่ได้ให้ใครสักคนดูเธอด้วยซ้ำ เนื่องจากเธอเชื่อว่าเธอสามารถที่จะข้ามผ่านไปได้โดยไม่มีปัญหาอะไร…
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ข้าอาจจะไม่สามารถล้างแค้นให้ท่านได้อีกแล้ว…”
จ้าวเสี่ยวหยาพึมพำในหัวใจของเธอ เธออดที่จะร้องไห้ออกมาไม่ได้
เธอไม่สามารถที่จะจินตนาการได้เลยว่าปู่ของเธอจะรู้สึกเสียใจมากเพียงใด เมื่อเขามาพบเธอเป็นศพในเช้าวันต่อมา
“ไม่…มันจะต้องไม่เป็นแบบนี้..ข้า…ข้าต้องการมีชีวิตอยู่”
เมื่อคิดถึงปู่ของเธอแล้ว จ้าวเสี่ยวหยาก็มีความต้องการอันแรงกล้าในการมีชีวิตรอด เธอล้มลงกับพื้นและคลานไปที่ประตูอย่างยากลำบาก
เธอคิดว่าตราบเท่าที่เธอคลานไปถึงประตูและตะโกนขอความช่วยเหลือ มันคงมีใครสักคนคงจะได้ยินเสียงของเธอ
เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เธอไม่ได้คาดหวังว่าจะยังมีสถานการณ์ฝึกตนต่อ เธอหวังเพียงแค่จะมีชีวิตรอด ดังนั้นปู่ของเธอจะได้ไม่เศร้าหมอง
แต่เธอขาดเรี่ยวแรง เนื่องจากเธอได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้ว่าเธอจะคลานไปถึงประตูแล้วก็ตาม เธอก็ไม่มีแรงพอที่จะเปิดประตูด้วยซ้ำ
เมื่อมองไปที่ประตูที่อยู่ด้านหน้าเธอ จ้าวเสี่ยวหยาได้ตกอยู่ในความสิ้นหวังและปิดตาของเธอลง เธอกำลังรอคอยความตายอย่างไร้ความหวัง เธอพยายามที่จะปรับสีหน้าของตัวเองให้สงบมากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว ปู่ของเธอจะได้เสียใจน้อยลงสักนิดนึงก็ยังดี นี่คือสิ่งเดียวที่เธอทำได้
แต่เมื่อเธอฝืนยิ้มออกมานั้นเอง ประตูก็มีเสียงเปิดออก
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู จ้าวเสี่ยวหยากลับคิดว่าเธอกำลังเจอภาพหลอนอยู่ในสภาพใกล้ตาย
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักแบบนี้ยังยิ้มได้อยู่อีกนะ ข้าละนับถือเจ้าจริงๆ!”
เสียงที่คุ้นเคยก็ดังเข้ามาในหูของเธอ มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนกับมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
‘เขาเนี่ยนะ? เป็นไปได้ยังไงกัน?’
“เจ้ายังไม่ตาย ทำไมเจ้าถึงแกล้งที่จะตายอย่างสงบกัน? อืม แต่เจ้าก็ทำเหมือนอยู่นะ”
เมื่อเธอได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งหนึ่ง จ้าวเสี่ยวหยาเปิดตาของเธอออกและพบกับชายในชุดขาวที่หน้าตาคุ้นเคยกำลังนั่งลงอยู่ข้างเธอ เขามองมาที่อย่างดูถูก
ชายหนุ่มในชุดขาววางมือลงไปที่จุดตันเถียนของเธอและพลังดูดซึมที่ทรงพลังได้ดูดซึมพลังปราณที่บ้าคลั่งของเธออย่างต่อเนื่อง
เธอกลับรู้สึกซับซ้อนในใจและพูดไม่ออกไปสักพักหนึ่ง
ในเวลาเดียวกัน รอยยิ้มกวนๆของชายหนุ่มในชุดขาวก็หายไปและมีหน้าตาเฉยเมยแทน
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของชายหนุ่ม จ้าวเสี่ยวหยาเริ่มที่จะตื่นตัว
“เปิดปากของเจ้าสิ!”
ชายหนุ่มในชุดขาวสั่งออกมา
จ้าวเสี่ยวหยาเปิดปากของเธอออกเล็กน้อยและวินาทีต่อมา คลื่นลมเย็นก็ไหลเข้าไปในปากของเธอ วินาทีต่อมา พละกำลังอันมหาศาลได้ฟื้นตัวขึ้นมา พลังปราณที่วุ่นวายและร่างกายอันบอบบางของเธอเริ่มที่จะฟื้นตัว