เมื่อเฉินเฉินเดินออกมาจากสวนด้านบนยอดเขาหลัก เซี่ยวอู่โยวก็เปิดตาของเขาออกและถอนหายใจออกมาเบาๆ

 

เนื่องจากค่ายกลกรงขังจิตวิญญาณ เขาจึงไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนของยอดเขา แต่เมื่อเขาเดินออกมาจากสวนแล้ว เขาจึงสัมผัสได้ถึงทุกอย่าง

 

ยกตัวอย่างเช่น เมื่อจ้าวเสี่ยวหยาเดินเข้ามาสวน เขาก็เป็นคนแรกที่รับรู้ถึงมัน

 

เขาสามารถสัมผัสได้ว่าเฉินเฉินเดินออกไปจากยอดเขา

 

“ลูกศิษย์ของข้ายังคงเป็นเด็กอยู่สินะ เขาไม่สามารถที่จะฝึกตนอย่างเงียบสงบได้”

 

‘ถ้าเฉินเฉินแก้ปัญหาเกี่ยวกับหวังเฟิง เขาก็จะช่วยแบ่งเบาภาระของข้า เมื่อเป็นอาจารย์ของเฉินเฉินแล้ว ข้าจะยอมให้เขาแบกภาระไว้บนไหล่คนเดียวได้ยังไงกัน?’

 

“ในช่วงเวลาหนึ่งเดือนนี้ ข้าจะไปล่ามังกรอสูรและเข้าสู่ขั้นกำเนิดวิญญาณ ข้าไม่สนเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันอีกแล้ว ด้วยพลังของขั้นกำเนิดวิญญาณ อย่างน้อยข้าก็ยังรอดชีวิตได้ ถ้ามันเกิดะไรขึ้น”

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เซี่ยวอู่โยวปิดตาลงอีกครั้งหนึ่งและเลิกคิดเกี่ยวกับเฉินเฉิน

 

….

 

เฉินเฉินลงมาจากยอดเขาหลักและมุ่งตรงไปยังที่ที่ดอกบัวหัวใจสวรรค์เพลิงโลกาตั้งอยู่ เขาวางจิตวิญญาณดินเหลืองหมื่นปีลงไป เขาตัดสินใจที่จะตั้งชื่อมันว่า ‘เหลืองน้อย’ เนื่องจากว่ามันเหลืองทั้งตัวจนเหมือนกับเป็นต้นโสมเหลืองขนาดใหญ่ มันทำให้เขาไม่สามารถคิดชื่ออื่นได้อีกเลย

 

“เจ้าเหลืองน้อย เจ้ารู้วิธีการขุดดินไหม? เจ้าขุดดินจนกระทั่งเจ้ารู้สึกอบอุ่นละกันนะ”

 

เหลืองน้อยพยักหน้าสองครั้ง ก่อนที่จะขุดดิน เพียงเวลาไม่นานมันก็หายลงไปใต้ผืนดิน

 

หูเซียงเอ๋อนั้นคุ้นชินกับการกระทำที่แปลกประหลาดของเฉินเฉิน ยังไงก็ตาม เธอจะไม่ยอมขุดดินอย่างแน่นอน สุดท้ายแล้วเธอเป็นอสูรที่กังวลเกี่ยวกับความสะอาดสะอ้าน

 

“เซียงเอ๋อ มันคงจะดีกว่านะถ้าเจ้าเป็นตัวตุ่นนะ ข้ายังมีเหลืออีกสองภูเขาที่ต้องขุดอีก แต่ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ต้องการที่จะขุดมันหรอก ดังนั้นเจ้าอยู่ที่นี่และดูแลเจ้าเหลืองน้อยไป อย่าให้ใครจับมันกินไปละ”

 

เฉินเฉินมองไปที่หูเซียงเอ๋ออย่างผิดหวัง ก่อนที่จะทิ้งเหรียญยืนยันตัวให้กับหูเซียงเอ๋อและแนะนำเธอให้ดูแลเจ้าเหลืองน้อย

 

หูเซียงเอ๋อดูหงุดหงิดมาก เธอเป็นจิ้งจอกที่สง่างาม แต่เฉินเฉินกลับพบว่าเธอนั้นแย่ยิ่งกว่าตัวตุ่นอีก! เขามันบ้าเกินไปแล้ว!

 

เธอกระทืบไปมาอย่างโกรธเคืองกับคำพูดของเฉินเฉิน หูเซียงเอ๋อรับเหรียญและหันหน้าหนีเฉินเฉินไป

 

เฉินเฉินไม่ได้ใส่ใจกับการกระทำของเธอ เขารีบเดินไปที่เขาเทียนฉิน ก่อนที่จะเดินจากไป เขาตะโกนออกมา “หูเซียงเอ๋อ ถ้ามันมีนกบินผ่านมา ยิงพวกมันและจับพวกมันกินคืนนี้ด้วยนะ!”

 

 

เมื่อเขามาถึงเทียนฉิน เฉินเฉินมุ่งตรงไปยังที่พักของจางจี

 

เมื่อเทียบกับสวนขนาดใหญ่ของเขาแล้ว ที่พักของศิษย์นอกสำนักทั้งย่ำแย่และเล็กกว่า ไม่เพียงแต่สวนจะเล็กแล้ว มันยังต้องอาศัยกันอยู่สี่คนในที่พักแห่งเดียวอีก

 

เมื่อเขาเห็นพี่ใหญ่ จางจีอดที่จะรู้สึกมีความสุขไม่ได้ เนื่องจากว่าเขาก็อยู่ตอนที่เฉินเฉินกระทืบหวังเฟิงก่อนหน้านี้ด้วยเหมือนกัน

 

“พี่ใหญ่ ข้าได้ยินมาว่าคนที่พี่ทำร้ายไปเป็นคนที่มีสถานะสูงมากเลยนะ พี่จะเป็นอะไรไหมครับ?”

 

“ไม่ต้องกังวลไปหรอก มันจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าได้อีก? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าเก่งกาจเพียงใด? เอ้า นี่ มันเป็นของเจ้าละ อย่าให้คนอื่นเห็นมันละ”

 

ในขณะที่พูดออกมา เฉินเฉินได้ยัดถุงใบเล็กใส่มือของจางจี นอกจากสมบัติสวรรค์หลายอย่างแล้ว มันยังมีหินวิญญาณอีกนับร้อยก้อนอีก

 

“นี่คือกระเป๋าเก็บของอย่างงั้นหรือครับ? มันล้ำค่ามากเลย ข้าไม่สามารถที่จะ…” เมื่อจางจีเห็นกระเป๋าเก็บของ เขาอยากจะที่จะปฏิเสธทันที แต่หลังจากที่โดนเฉินเฉินจ้อง เขาก็เงียบลง

 

“ซ่อนของเจ้าไว้ให้ดีละ ข้าจะพาเจ้าไปที่ดีๆวันนี้ อย่าคิดว่าจะได้นอนละคืนนี้”

 

เมื่อเห็นจางจีรับกระเป๋าไป เฉินเฉินยิ้มและตบไหล่ของเขาแล้วเขาก็พูดออกมาอย่างลึกลับ

 

ยังไงก็ตาม วินาทีต่อมา เฉินเฉินเหมือนกับนึกถึงอะไรบางอย่างได้ก่อนที่จะเปลี่ยนน้ำเสียงของตัวเอง “ยังไงก็ตาม มันมีลูกศิษย์ที่ชื่อหลี่เจียงอยู่ท่ามกลางหมู่ศิษย์นอกไหม?”

 

เขานึกขึ้นได้เกี่ยวกับโอกาสที่จะต้องช่วยแก้ไขปัญหาของหลี่เจียง หลังจากนี้อีกหนึ่งชั่วโมงเพื่อรับไอเทมพิเศษ ตั้งแต่ที่มันเป็นไอเทมพิเศษที่ถูกตัดสินโดยระบบ เขาจะไม่พลาดมันอย่างแน่นอน

 

“หลี่เจียงหรือครับ? ใช่ครับ เขาอยู่ในห้องตรงข้ามผมเลย!” จางจีตกตะลึงเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะชี้ไปที่ห้องที่อยู่ตรงข้ามของเขา

 

ที่พักของศิษย์นอกนั้นเป็นสวนที่มีสี่ห้องและหลี่เจียงได้นอนอยู่ในที่พักเดียวกัน

 

“บังเอิญขนาดนี้เลยหรือเนี่ย?”

 

เฉินเฉินตกใจเล็กน้อย หลังจากนับเวลาแล้ว เขาตระหนักได้ว่ามันพึ่งจะผ่านไปเพียงแค่ครึ่งชั่วโมงเอง ตั้งแต่ที่เขาเดินออกมาจากยอดเขา ซึ่งหมายความว่าโอกาสนี้จะเกิดขึ้นในอีกครึ่งชั่วโมงต่อมา

 

“อะไรหรือครับพี่? พี่ตามหาเขาเพื่อถามอะไรสักอย่างหรือครับ?”

 

“ไม่จำเป็นหรอก รอข้าที่นี่ก่อนสักพักหนึ่ง ข้าจะกลับมาทีหลัง”

 

หลังจากที่เขาพูดจบ เฉินเฉินออกไปจากสถานที่ของจางจี ถึงแม้ว่าครึ่งชั่วโมงจะสั้น เขาไม่ต้องการจะเสียสละ

 

มันยังมีโอกาสอีกมากมายหลายอย่างบนเขาเทียนฉิน เขาจะใช้ประโยชน์นี้อีกครึ่งชั่วโมงในการหาของ

 

 

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เฉินเฉินกลับมาที่สวนที่จางจีอาศัยอยู่ด้วยหน้าตาที่มีความสุข แต่ครั้งนี้เขาเดินตรงไปยังที่พักของหลี่เจียง

 

เขามองผ่านหน้าต่างเข้าไปด้านใน เขาพบกับลูกศิษย์ผู้ชายที่ผอมแห้งซึ่งเดินวนไปวนมาไม่หยุด มันเหมือนกับว่าเขามีอะไรบางอย่างที่กำลังร้อนรนอยู่

 

“สิ่งที่ระบบพูดเป็นเรื่องจริงสินะ”

 

เฉินเฉินคิดกับตัวเองก่อนที่จะเคาะประตู

 

หลังจากเคาะประตูเสร็จ หลี่เจียงสะดุ้งสุดแรง ก่อนที่จะถามออกมาอย่างระมัดระวัง “ใครกันครับ?”

 

“เปิดประตูซะ ผู้สืบทอดมาอุ่นที่นอนให้ละ”

 

เฉินเฉินขี้เกียจที่คิดหาเหตุผล เขาจึงตอบออกไปอย่างไร้สาระแทน

 

หลี่เจียงที่อยู่ด้านในห้องไม่ลังเลที่จะเปิดประตูเลยสักนิด เมื่อเขาได้ยินคำว่าผู้สืบทอด เขาเปิดประตูและล้มลงคุกเข่าทันที

 

“สวัสดีครับ ผู้สืบทอด!”

 

เฉินเฉินมองไปที่หลี่เจียงที่คุกเข่าด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น ร่างกายของเขาสั่นสะท้านไปมา

 

‘เขาดูกลัวฉันหรือไงเนี่ย?’

 

‘ฉันไม่เคยรังแกคนในสำนักเลยสักคนนะ’

 

แม้ว่าเขาจะสงสัย เฉินเฉินก็ไม่ได้ตั้งคำถามอะไร เขากลับยิ้มและพูดแทน “ไม่ต้องสุภาพไปหรอก ข้ามาที่นี่เพื่อเยี่ยมน้องชายข้า จางจี แต่ว่าเขาสังเกตเห็นว่าเจ้าหน้าซีดเซียวและดูตาแดง ข้าเลยมาดูเจ้าเป็นยังไงบ้าง”

 

“ศิษย์น้องหลี่ เจ้าป่วยหรือ?”

 

“ข้ารู้สึกหนาวเย็นเป็นบางครั้งครับ…” ตาของหลี่เจียงสั่นไหว เขาดูเหมือนจะตื่นตระหนกเล็กน้อย

 

เมื่อเห็นดังนั้น น้ำเสียงของเฉินเฉินกลับดูจริงจังขึ้นทันที

 

“ศิษย์น้องหลี่ ถ้าเจ้าพบเจอปัญหาอะไร บอกข้ามาได้ตลอดเลยนะ ข้าไม่คิดว่ามันจะมีคนในสำนักมากเท่าไหร่ที่เจ้าสามารถช่วยได้ เจ้าต้องคว้าโอกาสนี้เอาไว้นะ”

 

เมื่อเขาได้ยินคำพูดที่มีความหมายนี้ของเฉินเฉินแล้ว หน้าผากของหลี่เจียงเหงื่อไหลพรากและวินาทีต่อมา เขาก็ล้มลงคุกเข่าอีกรอบหนึ่ง เขาไม่สามารถที่จะซ่อนความกลัวและความตื่นตระหนกในดวงตาของเขาเองได้

 

“ท่านนักบุญครับ ได้โปรดช่วยผมไว้ด้วย!”

 

เฉินเฉินถอนหายใจออกมาอย่างโล่งกับสิ่งที่เขาได้ยิน หลี่เจียงทำได้ถูกแล้ว

 

“บอกข้ามาว่ามันเกิดอะไรขึ้น ตราบเท่าที่ข้าช่วยเจ้าได้ ข้าจะแก้ปัญหานี้ให้เจ้าเอง”

 

หลี่เจียงขอบคุณเฉินเฉินอย่างจริงใจ เขาบอกทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพบเจอมา

 

 

มันกลับกลายเป็นว่าหลี่เจียงถูกเลือกโดยสำนักอสูรก่อนที่จะเข้าร่วมกับคัดเลือกของสำนักเทียนหยุน เขาได้ถูกบังคับให้กินยาและจะต้องได้รับยาแก้พิษทุกทุกสามวัน ในเวลาสองเดือน เขาจะถูกส่งไปยังสำนักอสูรในรัฐโจว

 

ยังไงก็ตาม ในภายหลัง สำนักอสูรส่วนใหญ่ต่างเกือบที่จะถูกกวาดล้างจนหมดสิ้น เขาไม่สามารถที่จะตามหาคนที่มอบยาให้กับเขาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเข้าร่วมสู่สำนักเทียนหยุน

 

เขาได้อาศัยอยู่อย่างกังวลใจในสำนักเทียนหยุน มันเป็นเพราะว่าเขากังวลเกี่ยวกับยารักษาและเขาก็ไม่รู้ว่าเขานั้นเป็นคนของสำนักอสูรแล้วหรือเปล่า สุดท้ายแล้ว คนที่มอบยาให้กับเขาก็ได้มอบตราของสำนักอสูรมาด้วย ซึ่งเขาไม่กล้าที่จะทิ้งมันไป

 

ถ้าเขาถูกนับเป็นส่วนหนึ่งของสำนักอสูรแล้วและยิ่งไปกว่านั้น ถ้าสำนักเทียนหยุนพบเข้า มันคงจะเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากสำหรับเขา ด้วยเหตุนี้เขาจึงหวาดกลัวอย่างมากกับตอนที่เขาได้ยินว่าผู้สืบทอดมาเยี่ยม

 

“มันเรื่องเล็กน้อยหน่า ไม่ต้องกังวลไป เจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน”

 

เฉินเฉินยิ้มและช่วยเขาลุกขึ้นยืน ในเวลาเดียวกัน เขาก็แสกนร่างกายของเขาโดยใช้พลังปราณและค้นพบร่องรอยของเส้นเลือดและอวัยวะภายในที่แปดเปื้อน

 

ถึงแม้ว่ามันจะไม่ร้ายแรง มันก็ทำให้เขาป่วยและเหนื่อยล้าทางจิตใจได้

 

“หื้ม เรื่องเล็กน้อยแค่นี้”

 

เฉินเฉินพูดออกมาอย่างเหยียดหยาม ก่อนที่เขาจะหยิบสมุนไพรรักษาจิตวิญญาณออกมาจากแหวนเก็บของ ก่อนที่เขาจะยื่นมันให้กับหลี่เจียง

 

“สมุนไพรจิตวิญญาณนี้น่าจะเพียงพอที่จะรักษาเจ้าจนกลับมาเป็นปกติ ถ้ามันไม่ได้ผลแล้ว เจ้ามาหาข้าได้เลย นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป สบายใจได้เลย เจ้าคือลูกศิษย์ของสำนักเทียนหยุน อย่าไปคิดถึงสำนักอสูรอีกละ”

 

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว หลี่เจียงร้องไห้ออกมาอย่างขอบคุณ ก่อนที่จะก้มกราบลงให้กับเฉินเฉินถึงแปดรอบ

 

“ขอบคุณ ขอบคุณมากเลยครับ! ผู้สืบทอด! ขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้!”

 

หลังจากที่ขอบคุณอย่างมากมาย หลี่เจียงหยิบอะไรออกมาจากกระเป๋าหน้าอก มันเป็นเหรียญตราสีดำที่มีตัวอักษรห้าตัวสลักไว้แล้วเขาก็มอบมันให้กับเฉินเฉิน

 

“สำนักอสูรรัฐโจว”

 

เมื่อเขามองไปที่เหรียญนี้ เฉินเฉินก็เดาะลิ้น

 

เหรียญนี้อาจจะไร้ประโยชน์กับเขาในตอนนี้ แต่มันอาจจะมีประโยชน์ในอนาคตก็เป็นได้

 

ถ้าเขาจะต้องรับมือกับสำนักอสูรเขาสักวัน มันคงจะเป็นของที่มีประโยชน์มาก ถ้าเขาสามารถใช้มันในการใส่ไส้ศึกเข้าไปในสำนักอสูร