ตอนที่ 42-2 ความมืดสีคราม

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

“ชายาบอกว่าได้พบกับฮวางเซจาตอนที่เขาเพิ่งมาถึงตำหนักบุกบีใช่หรือไม่ ประการนี้คิดได้ว่าเขาอาจจะลักลอบติดต่อกับนางกำนัลโฮซานาหรือคนนอกของตำหนักบุกบีภายในตำหนักแล้ว หลังจากนั้นจึงตั้งใจปรากฏตัวให้ชายาเห็นเพื่อใช้เป็นหลักฐานที่อยู่ก็เป็นได้”

 

 

“น นั่นมันฟังดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลยนะเพคะ หากเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่ว่าใครในพระราชวังแห่งนี้ก็สามารถลักลอบติดต่อกับผู้ร้ายได้หรือเพคะ หากไม่มีใครพบเห็นแล้ว”

 

 

“ฮวางเซจาถูกพบเห็นว่าอยู่กับโฮซานาจริง อีกทั้งฮวางเซจายังเป็นคนนอกของตำหนักบุกบีเพียงคนเดียวที่ถูกพบว่าได้มีการสนทนากับโฮซานาอีกด้วย ในเมื่อมีผู้ติดต่อถูกพบแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่จะมีผู้ติดต่ออื่นอีกที่ยังไม่ถูกเปิดเผย”

 

 

ที่บีพาอันพูดนั้นถือว่าไม่ผิด แต่ก็ไม่ได้แปลว่ามันถูกต้อง

 

 

“ประการที่สอง”

 

 

บีพาอันพูดข้อต่อไปทันทีโดยไม่ปล่อยให้มีช่องว่างให้กโยซึลได้คัดค้าน

 

 

“คำให้การโดยการส่วนตัวนั้นไม่สามารถยอมรับอย่างเป็นทางการได้ นี่คือการไต่สวนคดีอย่างเคร่งครัดด้วยคำสั่งจากองค์จักรพรรดิ ดังนั้นคำตัดสินต้องสมเหตุสมผลและเป็นความจริงโดยใช้หลักฐานและคำให้การที่ถูกบันทึกไว้ที่ศาลหลวงเพียงเท่านั้น”

 

 

“เช่นนั้นในวันพรุ่งนี้เราจะไปศาลหลวง”

 

 

หลังจากบีพาอันพูดจบ กโยซึลก็ตอบกลับโดยทันที เปลือกตาของบีพาอันกระตุกเล็กน้อย หลังจากนั้นเขาก็ตอบกลับไปว่า

 

 

“เราไม่อนุญาต”

 

 

บีพาอันเอนตัวไปข้างหน้าแล้วยื่นมือออกไป นิ้วใหญ่ฉวยไปที่คางของกโยซึลพร้อมกับจ้องมองนางด้วยสายตาเย็นยะเยือกที่ทำให้ขนลุก ไม่อาจเชื่อได้เลยว่าเจ้าของสัมผัสมืออบอุ่นที่จับคางนางอยู่ในตอนนี้จะเป็นคนเดียวกับเจ้าของสายตาเย็นยะเยือกนั้น กโยซึลไม่อาจปฏิเสธสัมผัสของบีพาอันได้เพราะสายตาของเขาทำให้ตัวนางแข็งทื่อ บีพาอันดึงคางของกโยซึลเข้ามาจนใกล้ปลายจมูกของตน แล้วหยุดไว้เพียงแค่นั้น ผิวหน้าขาวเรียบเนียน คิ้วที่เรียงตัวเป็นระเบียบ ขนตาที่ยาวกว่าชายทั่วไปบวกกับตาเรียวเล็ก และดวงตาสีครามเข้มดั่งแสงสลัวในยามเช้ามืด ทั้งหมดนี้อยู่ภายในกรอบสายตาของกโยซึล

 

 

ดวงตาดั่งความมืดสีครามนั่นทำให้กโยซึลรู้สึกแปล๊บที่หัวใจ ชั่ววินาทีหยุดหายใจนั้น ดวงตาของบีพาอันช่างเหมือนกับช่วงเช้ามืด ความมืดในช่วงเช้ามืดนั้นทั้งหนาวเหน็บและอ้างว้างกว่าตอนไหนๆ ทว่าหลังจากนั้นก็ยังมีดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงสว่างและให้ความอบอุ่นรออยู่ แต่บีพาอันนั้น…

 

 

ทันใดนั้นเสียงเย็นยะเยือกก็ได้หยุดความคิดของกโยซึลไว้

 

 

“อย่าได้ทำสิ่งใดที่เป็นการขวางทางเรา”

 

 

บีพาอันออกคำสั่งในระยะที่ริมฝีปากของทั้งคู่เกือบจะสัมผัสกัน

 

 

“อา”

 

 

เพียงแค่คำๆ เดียว กโยซึลก็รู้สึกราวกับว่าตนได้ตื่นจากความฝัน หากว่าตนออกหน้าปกป้องรูแฮ ทันทีที่หลักฐานที่อยู่ของเขาถูกเปิดเผย ทันทีที่ทุกคนได้รู้ว่าตนอยู่กับรูแฮ อาจจะมีการไต่สวนคดีอื่นที่ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก็เป็นได้ ไม่แน่ว่ากโยซึลอาจเข้าไปเกี่ยวข้องจนทำให้ราชสำนักสั่นคลอน

 

 

“คิดได้แล้วหรือ ถือว่าไม่ได้โง่เขลาไปเสียทีเดียว”

 

 

บีพาอันปล่อยมือจากคางของกโยซึล ทันทีที่ความอบอุ่นจากปลายนิ้วละห่างออกไป กโยซึลก็สัมผัสได้ถึงลมจากทางเหนือที่เย็นยะเยือกพัดผ่านเข้ามา กลัวเหลือเกิน ไม่สามารถเอาชนะเขาได้เลย

 

 

กโยซึลเพิ่งจะตระหนักได้ว่าตนนั้นได้กระทำการอาจหาญถึงเพียงใด บังอาจอวดดีและเสียมารยาทต่อหน้าองค์ฮวางแทจาแห่งมหาจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่ตนก็ไม่อาจหยุดได้

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ ได้โปรดปล่อยฮวางเซจาเถอะเพคะ ทรงทราบดีมิใช่หรือว่าเขาไม่ใช่ผู้ที่จะทำร้ายองค์ชายาเซจาได้”

 

 

ท้ายที่สุดกโยซึลก็เอ่ยคำอ้อนวอนด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริก เมื่อรู้ว่าไม่มีวิธีใดที่สามารถใช้กับบีพาอันได้เลย นางจึงไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เพราะความเป็นห่วงรูแฮที่มีอยู่เต็มเปี่ยม

 

 

“เดี๋ยวเขาก็ได้ออกมา” วินาทีที่ใบหน้าของกโยซึลแจ่มใสขึ้น เสียงที่เย็นชาของบีพาอันก็ดังตามมา

 

 

“หากพบว่าฮวางเซจาไม่มีความผิดจริง”

 

 

“ฝ่าพระบาท!”

 

 

“แต่ตัวชายาเอง ในตอนนี้มิอยากมาปรากฏตัวต่อหน้าเราอีกแล้วหรืออย่างไร”

 

 

“ว่าอย่างไรนะเพคะ”

 

 

กโยซึลลืมเรื่องที่คุยกันอยู่แล้วถามกลับไปหลังจากที่ได้ยินคำถามชวนงงงวยจากบีพาอัน ไม่ว่าจะพูดอะไรออกไป กโยซึลก็ติดกับโดยง่าย ดังนั้นบีพาอันจึงพูดต่อด้วยท่าทีนิ่งเฉยว่า

 

 

“ไม่เห็นชายาแทนตัวเองว่าหม่อมฉันเลย”

 

 

กโยซึลเพิ่งจะรู้สึกตัวว่าตนได้พูดอะไรออกไปจึงรีบแก้ไขทันที

 

 

“หม่อมฉันรู้สึกตกใจจึงไม่ทันคิด เสียมารยาทแล้วเพคะ”

 

 

“เสียมารยาทอย่างนั้นหรือ”

 

 

สายตาของบีพาอันเหม่อมองความว่างเปล่า เขาเอามือจับไปที่คางตัวเองแล้วใช้นิ้วโป้งลูบแก้มเบาๆ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรอยู่ กโยซึลที่ทนดูไม่ได้อีกต่อไปจึงเอ่ยตำหนิอีกครั้ง

 

 

“เขาผู้นั้นคือพระอนุชาของพระองค์มิใช่หรือเพคะ ทรงรู้จักเขามานานกว่าหม่อมฉัน และทรงรู้นิสัยของเขาดีมิใช่หรือเพคะ เหตุใดถึงได้นิ่งเฉยเยี่ยงนี้”

 

 

บีพาอันมองไปที่กโยซึลอีกครั้ง ถึงแม้ว่าทุกครั้งสายตานั้นจะมีเพียงความว่างเปล่า ทว่าในครั้งนี้กลับว่างเปล่ากว่าครั้งใด

 

 

“ชายามิต้องกังวลไป เรา ฮวางแทจาที่เป็นพระสวามีของชายาคนนี้ จะจัดการเรื่องนี้อย่างยุติธรรม ไม่นำความรู้สึกส่วนตัวใดมาเกี่ยวข้องอย่างแน่นอน”

 

 

คำอธิบายตัวเองของบีพาอันในครั้งนี้ยืดยาวกว่าครั้งใด

 

 

***

 

 

ตอนที่เดินออกมาจากตำหนักดงชอนฟ้าก็มืดลงแล้ว ในความมืดมิดกโยซึลเดินโซซัดโซเซ มีเพียงโคมไฟของแม่นมที่เดินตามหลังมาไกลๆ ถือเอาไว้อยู่แล้วยื่นออกมาเพื่อส่องทางให้นาง

 

 

“ทำอย่างไรดี”

 

 

“พระชายา” แม่นมเดินตามหลังกโยซึลอย่างละล้าละลัง นางถามกโยออกไปด้วยความเป็นห่วงว่า

 

 

“วันนี้ทั้งวันทรงเป็นอะไรไปเพคะ เหตุใดใจถึงไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเช่นนี้เพคะ”

 

 

“ไม่ ไม่เลย ไม่มีอะไร” กโยซึลที่พึมพำอยู่คนเดียวอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นก็หยุดอยู่กับที่กะทันหัน

 

 

“เราไม่ได้ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่ตั้งสติได้มากขึ้นต่างหาก”

 

 

ตนเพิ่งจะตั้งสติได้ สายตาของกโยซึลที่เคยสั่นไหวกลับมาสดใสอีกครั้ง

 

 

“ทั้งวันนี้เรามัวแต่ทำเรื่องไร้สาระอยู่”

 

 

ไม่อาจรู้ว่านางคิดสิ่งใดได้ กโยซึลก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง นางวิ่งออกไปอย่างรวดเร็วจนชายกระโปรงสั่นไหวไปมา ราวกับว่านางกลับไปเป็นองค์หญิงแสนซนเพียงหนึ่งเดียวของฮวากุกอีกครั้ง แม่นมรีบตามกโยซึลที่อยู่ๆ ก็วิ่งออกไปอย่างลนลาน ทว่าก็ไม่สามารถตามนางได้ทัน จนในที่สุดกโยซึลก็หายเข้าไปในความมืด มุ่งหน้าไปยังที่ที่หนึ่งที่นางนึกขึ้นมาได้

 

 

“พระชายา! พระชายาจะเสด็จไปที่ใดเพคะ!”

 

 

มีเพียงเสียงเรียกของแม่นมที่คลาดกับนายตนดังก้องไปทั่ววังตะวันออกที่แสนเงียบงัน