ส่วนที่ 4 ตอนที่ 12.2

ความลับแห่งจินเหลียน

ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่

 

 

 

 

“ผลประโยชน์ง่ายมาก!” จ่านป๋ายยืนอยู่หน้าเขา “ตอนนี้คุณได้ถือหุ้นเอาไว้อยู่ ในอนาคตหุ้นที่พ่อของคุณถืออยู่ก็จะเป็นของคุณ ในส่วน…หุ้นของปู่คุณและหุ้นของอารอง ผมก็จะซื้อ รวมไปถึงหุ้นที่อยู่ด้านนอกของบ้านคุณ…” 

 

 

“ส่วนที่เหลือที่อยู่ในมือของญาติๆ ผม คิดเป็นสามสิบเปอร์เซ็นต์ของหุ้น” หลินเสวียนหลานพูดออกมา “ถ้าคุณอยากจะถือหุ้นธุรกิจตระกูลหลินเต็มตัว มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ผมลองคิดคำนวณดูแล้ว อย่างน้อยต้องใช้เงินถึงหนึ่งพันห้าร้อยล้าน คุณก็มีเงินมากมายขนาดนั้นเลยเหรอ?” 

 

 

“พูดถึงเรื่องนี้แล้วผมก็หดหู่อยู่บ้าง ในวงการเครื่องประดับอัญมณีถือว่าผมยังไม่มีเงินหรอก!” จ่านป๋ายได้แต่ส่ายหัว ของบางอย่างก็ไม่สามารถที่จะทำได้ ถึงเขาจะใช้เวลานานแค่ไหนก็ไม่อาจหาเงินมาได้มากขนาดนี้ 

 

 

“ซื้อหุ้นที่กระจัดกระจายอยู่ข้างนอก อย่างน้อยคุณต้องมีสามร้อยล้าน ถ้าหากเงินเท่านี้คุณยังไม่มี ผมก็แนะนำให้คุณล้มเลิกความคิดนี้เสียเถอะ ผมไม่อยากร่วมงานกับคนที่ไม่มีเงินทุนในการซื้อขาย สุดท้ายแล้วผมก็ไม่เหลืออะไรเลย” 

 

 

“ถ้าหากแค่เงินสามร้อยล้านผมยังไม่มี แล้วผมจะใช้อะไรทำให้จินเหลียนไว้วางใจได้ล่ะครับ?” จ่านป๋ายหมุนตัวหันไปมองหน้าซีเหมินจินเหลียน 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนแค่นยิ้มออกมา เธอก็เคยเห็นคนไร้ยางอายมากก่อน แต่ไม่เคยเห็นใครที่ไร้ยางอายมากเท่าเขา เธอไว้ใจเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ไม่ใช่เป็นเพราะหน้าหนาๆ ของเขาหรอกเหรอที่ขออยู่ต่อเอง? 

 

 

“จินเหลียน ผมต้องการคำพูดจากคุณ!” จู่ๆ หลินเสวียนหลานก็หันกลับมา จับไหล่ของซีเหมินจินเหลียนเอาไว้แล้วยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ หูของเธอ ไอความร้อนกระทบหน้าเธอเข้าอย่างจัง “คุณก็รู้ว่าถ้าผมตกลงจะร่วมงานกับพวกคุณ จากนี้ไปผมก็ไม่มีทางย้อนหลังกลับไปได้อีก ถ้าหากผมล้มเหลว ก็ไม่เหลืออะไรอีกเลย” 

 

 

“ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่…และพวกเรากำลังทำมันอยู่ค่ะ!” ซีเหมินจินเหลียนพูดด้วยน้ำเสียงเบาบาง ชีวิตเธอในตอนนี้ก็ไม่ใช่ว่ากำลังเดิมพันอยู่เหรอ? 

 

 

ใช่แล้ว ถึงแม้เธอจะพนันหยกจนร่ำรวยแล้วอย่างไร? ในเมื่อยังไงเธอก็เป็นเด็กผู้หญิงบ้านนอกที่ไม่มี 

 

 

ชาติตระกูลคนหนึ่ง การมีเงินแต่ไม่มีอำนาจก็ง่ายที่จะถูกรังแก 

 

 

หวังเซียงฉินสามารถทำให้เธอขายหน้าได้อีกหลายครั้ง นี่เป็นการพิสูจน์ว่าเธอไม่มีชาติตระกูล ดังนั้นการสร้างบริษัทของตัวเอง ไม่เพียงแต่เพื่อเงินเท่านั้น แต่ยังคงเป็นเครื่องหมายยืนยัน… 

 

 

“คุณไม่ควรจะพูดว่าพวกคุณ แต่ควรจะพูดว่า…พวกเรา!” จ่านป๋ายยังพูดต่ออีกว่า ”ตอนที่คุณเข้ามาในห้องนี้ ก็ถือว่าคุณเหยียบขึ้นมาบนเรือของพวกเราแล้ว แต่ว่าเรื่องนี้ไม่ต้องคิดมากหรอก ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ พวกเราจะไม่เสียใจในภายหลังแน่” 

 

 

“ในเมื่อไม่มียารักษาความเสียใจ แล้วผมจะเสียใจได้อย่างไร?” หลินเสวียนหลานยิ้มเย้ยหยัน ”อย่างมากที่สุดคือการสูญเสียทุกอย่าง ไม่เหลืออะไร แต่ก็ยังดีกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนี้!” 

 

 

“ดีๆๆ!” จ่านป๋ายปรบมือยกนิ้วให้ ”ผมดูคนไม่ผิดจริงๆ” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกคาดไม่ถึงว่าหลินเสวียนหลานตอบตกลง? ตอนที่จ่านป๋ายพูดเรื่องนี้กับเธอ เธอยังบอกกับเขาว่าบ้าไปแล้ว ความคิดของเขามันไร้สาระ…ไม่ว่าจะอย่างไรหลินเสวียนหลานก็เป็นหลานของตระกูลหลิน จ่านป๋ายต้องการจะซื้อบริษัทหลินซื่อจิวเวอรี่ แล้วเขาจะช่วยพวกเราเหรอ? จะเป็นไปได้ยังไง 

 

 

แต่จ่านป๋ายก็พูดจากรอกหูกับเธออยู่หลายครั้งว่าความสำเร็จมีถึงเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ เรื่องนี้พิสูจน์ได้แล้วว่าจ่านป๋ายประสบความสำเร็จในการพูดหว่านล้อมให้หลินเสวียนหลานคว่ำบาตรตระกูลของเขา 

 

 

“คุณชายหลิน ปีนี้ธุรกิจของตระกูลคุณนับว่าไม่เลวเลย แต่ทำไมถึงเกิดวิกฤตที่ตกต่ำย่ำแย่ได้ถึงเพียงนี้ เป็นเพราะอะไรกันที่ทำให้เงินทุนของตระกูลหลินเกิดปัญหาขึ้นมา” จ่านป๋ายถาม 

 

 

“ชีวิตคือการเดิมพันครั้งใหญ่อย่างไรล่ะ…ปู่ของผมไม่เพียงแต่แพ้เดิมพันหิน แต่ท่านแพ้กระทั่งพนันเงินด้วย” หลินเสวียนหลานเหมือนกับได้ระเบิดเสียงหัวเราะดังออกมาอีกครั้ง นี่เป็นความลับของบ้านตระกูลหลิน คนภายนอกไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่วันนี้เขาก็ได้พูดมันออกมาอย่างกล้าหาญ ข่มกลั้นความเคียดแค้นที่อยู่ในใจมาแสนนาน ในที่สุดก็ได้ผ่อนคลายลง 

 

 

“คุณว่าอะไรนะ?” ซีเหมินจินเหลียนมีอาการตกใจ ”คุณปู่….คุณปู่หลินก็เล่นพนันเหรอ?” 

 

 

หลินเสวียนหลานพยักหน้า มีคนมากมายที่ภาพลักษณ์กับจิตใจไม่ตรงกัน ถ้าคุณปู่ไม่ได้สูญเสียมากในครั้งนั้น อย่างน้อยก็อาจจะไม่ทำให้ส่งผลเรื่องการเงินที่เกิดขึ้นในตอนนี้ 

 

 

 ไม่! ถ้าหากคุณปู่หลินไม่แพ้เดิมพันหินครั้งนี้ แม้ว่าจะเสมอกัน ก็สามารถพลิกเหตุการณ์ได้ ไม่ทำให้เรื่องจบลงแบบนี้แน่… 

 

 

“ผมเริ่มมีความเลื่อมใสในตัวชายชราหลินท่านนี้แล้วล่ะสิ เยี่ยม มีสไตล์เป็นของตัวเอง!” จ่านป๋ายยังพูดอีกว่า ”ผมก็ยังสงสัยอยู่ว่า ทั้งๆ ที่อารองคุณเป็นแบบนั้น ทำไมคุณถึง…พูดยังไงดีล่ะ? แบบเป็นหงส์ที่ออกมาจากฝูงกา” 

 

 

“หุบปาก!” หลินเสวียนหลานได้ยินเช่นนั้นจึงด่าจ่านป๋ายออกไป ”คุณคิดว่าตัวเองดีนักเหรอไง?” 

 

 

“นี่ผมกำลังยกย่องคุณอยู่ไม่ใช่เหรอไง?” จ่านป๋ายยิ้มแห้ง 

 

 

“เอาเถอะ ผมขี้เกียจจะพูดกับคุณให้มากความ ไหนคุณลองพูดแผนการอย่างละเอียดให้ฟังหน่อย!” หลินเสวียนหลานถอนหายใจเฮือกใหญ่ 

 

 

จ่านป๋ายพยักหน้าตอบรับ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์บนใบหน้าของเขายังคงอยู่ เขาหยิบโน้ตบุ๊คเปิดออกมา นิ้วมือก็ละเลงไปบนคีย์บอร์ด จากนั้นจึงยื่นโน้ตบุ๊คส่งต่อไปให้หลินเสวียนหลาน  

 

 

หลินเสวียนหลานรับมาพิจารณาดู สิบห้านาทีต่อจากนั้น ”น่าจะไม่มีปัญหาอะไร…พวกคุณจะเริ่มกันเมื่อไหร่?” 

 

 

“เมื่อกลับไปที่เซี่ยงไฮ้!” จ่านป๋ายพูด 

 

 

“โอเค!” หลินเสวียนหลานลุกขึ้นยืนแล้วพูดว่า “วันนี้ตอนเที่ยงผมมีนัดกินข้าวกับจินเหลียน คุณอย่าตามมาก็แล้วกัน ผมไม่อยากให้ตอนที่นัดกับแฟน มีคนนั่งอยู่เป็นก้างขวางคออยู่ข้างๆ!” 

 

 

ซีเหมินจินเหลียนตกตะลึง นี่มันเรื่องอะไรกัน? เธอไปเป็นแฟนของเขาตอนไหน? 

 

 

แต่หลินเสวียนหลานก็หันหลังเดินออกจนถึงหน้าประตูแล้ว เขาเปิดประตูแล้วเดินออกไป จ่านป๋ายลูบจมูกตัวเองแล้วยิ้มกลบเกลื่อนว่า “ไม่คิดเลยว่าคนคนนี้มีสไตล์เป็นของตัวเอง…” 

 

 

“รู้สึกคุณเคยบอกว่าเขาเป็นคนโลเลตัดสินใจไม่ได้?” ซีเหมินจินเหลียนเล่นผมยาวสลวยของเธอพลางพูดออกมา “แอบคิดไม่ถึงเหมือนกัน ว่าเขาจะตอบตกลง” 

 

 

“จินเหลียน คนคนนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ!” จ่านป๋ายส่ายหน้าพูดต่อไปว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ แต่พวกเราก็ต้องระวังเขาไว้สักหน่อย ยิ่งดูเหมือนจะเป็นคนอ่อนโยน ก็ยิ่งไม่รู้ว่าภายในใจของเขาคิดอะไรอยู่” 

 

 

 ซีเหมินจินเหลียนทำได้แค่ยิ้ม เธอสามารถมองหยกที่ซ่อนอยู่ข้างในหินได้อย่างชัดเจน แต่เธอกลับมองทะลุสิ่งที่ห่อหุ้มหัวใจของคนไม่ออกจริงๆ… 

 

 

 เธอนึกถึงหมู่บ้านเล็กๆ ที่เป็นบ้านเกิดของเธอ ทั้งหมู่บ้านดูเรียบง่าย บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าไม่มีการแย่งชิงผลประโยชน์กัน จิตใจของคนจึงไม่ได้ซับซ้อนอะไร 

 

 

“เสร็จการประมูลที่เจียหยางนี้ คุณกลับไปกับฉันนะ!” 

 

 

“กลับไป?” จ่านป๋ายขมวดคิ้ว “ทำอะไรครับ?” ที่บ้านเกิดของเธอไม่มีญาติสักคนแล้วนี่นา? 

 

 

“ฉันอยากจะไปจัดการเรื่องหลุมศพของคุณย่ากับอาจารย์น่ะ แล้วก็อยากจะบริจาคเงินไปซ่อมแซมถนนสักหน่อย…” ซีเหมินจินเหลียนถอนหายใจออกมาแผ่วเบา”เมื่อก่อนไม่มีเงินฉันก็หมดหนทาง ตอนนี้สิ่งที่ทำได้ก็มีเท่านี้แหละ” 

 

 

“โอเคครับ!” จ่านป๋ายไม่ได้พูดอะไรให้มากความ ขอแค่เธอมีความสุขก็พอ 

 

 

ในมื้อเที่ยงที่หลินเสวียนหลานนัดกินข้าวกับซีเหมินจินเหลียนสองต่อสองไว้อย่างดิบดี แต่แผนการกลับล้มเหลวเพราะว่าฉินเฮ่ามาที่เจียหยางอย่างกะทันหัน 

 

 

สุดท้ายเมื่อตกลงกันแล้ว ฉินเฮ่าจึงอาสาเป็นคนเลี้ยง จองห้องอาหารเดี่ยวไว้อยู่ใกล้ๆ โรงแรม เตรียมตัวกินมื้ออาหารท้องถิ่นสุดแสนพิเศษ 

 

 

ฉินเฮ่าแปลกใจที่ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายอยู่ด้วยกัน นี่เป็นเรื่องที่เกินความคาดหมายของเขา แต่หลินเสวียนหลานไม่ได้พาลู่เฟยอวี๋มา เป็นสิ่งที่ไม่เข้ากับนิสัยของเขาเอาซะเลย 

 

 

ภายในห้องอาหาร ฉินเฮ่าตั้งใจถามเขาว่า ”คุณชายหลิน เฟยอวี๋ล่ะ?” 

 

 

“ฉันเลิกกับเธอแล้ว!” หลินเสวียนหลานยิ้มออกมา 

 

 

“ละ…เลิกกันแล้ว?” ฉินเฮ่าเกือบจะพ่นอาหารที่อยู่ในปากออกมา เป็นไปได้อย่างไรกัน? “คุณชายหลิน นายล้อเล่นอะไรเนี่ย นายกับเฟยอวี๋เลิกกันแล้ว?”    

 

 

“ใช่ พวกเราเลิกกันแล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้าที่ปกติ 

 

 

“บอกเหตุผลให้ฉันฟังสักข้อได้ไหม” ฉินเฮ่าขมวดคิ้ว ไม่ใช่ว่าพวกเขารักกันดีหรอกเหรอ ทำไมถึงเลิกกันได้ ในเมื่อเขากับลู่เฟยอวี๋เลิกกันแล้ว นั่นก็หมายความว่าการร่วมงานกันของตระกูลหลินกับตระกูลลู่ถึงทางต้องสิ้นสุดลง? แต่สิ่งที่เขาได้ยินมามันไม่ใช่แบบนี้นี่ ตระกูลหลินส่งของหมั้นไปให้ตระกูลลู่ เพื่อเตรียมตัวจัดงานแต่งงานแล้ว 

 

 

“ต้องมีเหตุผลที่เลิกกันด้วยเหรอ” หลินเสวียนหลานเลียนแบบประโยคคำพูดในละครที่ได้ยินทั่วไป 

 

 

“ประโยคนี้…ดูยังไงก็ไม่เหมือนสิ่งที่คนอย่างคุณชายหลินจะพูดออกมาได้” ฉินเฮ่าพูดพลางมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน 

 

 

“ผมแค่ไม่อยากให้เรื่องที่ผิดพลาดเกิดขึ้นต่อไปอีก” ในเมื่อไม่รัก แล้วทำไมจะต้องทนด้วย? ถ้าไม่มีเขา    ลู่เฟยอวี๋ก็จะหาผู้ชายดีๆ มาแต่งงานด้วยไม่ได้เชียวเหรอ