ร่วมมือกัน
ฉินเฮ่าฟังแล้วได้แต่ขมวดคิ้ว “ในเมื่อพูดมาแบบนี้แล้ว ถ้าอย่างนั้นตระกูลหลินจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงต่อ ฉันได้ยินมาว่าบ้านของพวกนายทั้งสองคนกำลังจัดเตรียมงานแต่งงานกันอยู่ แต่ไม่คิดเลยว่าคำพูดของนายเมื่อครู่นี้ นายต้องการจะเลิก?”
“ที่บ้านเหรอ?” หลินเสวียนหลานแค่นยิ้ม เช้าวันนี้เขายังขอร้องตระกูลนี้…แบกหน้าขอร้องบริษัทตระกูลหลินด้วยรอยยิ้ม แต่ว่าหลินเจิ้งก็กลับเมินเฉยไม่สนใจ หลินเสวียนหลานไม่มีสิทธิในการใช้เงินอย่างอิสระ เรื่องกำลังเป็นไปได้ด้วยดีแล้วแท้ๆ แต่ก็กลับมาพังลงไม่เป็นท่า ในเมื่อไม่เชื่อใจเขาแล้ว เขาก็จะปล่อยมือ แล้วคอยดูสิ่งที่เขาจะทำก็แล้วกัน
“ที่บ้านมีอารองก็พอแล้ว ฉันยังต้องทำอะไรอีก?” หลินเสวียนหลานพูด
“นี่นายกำลังพูดจากระแทกแดกดันอยู่ใช่ไหม” ฉินเฮ่าส่ายหัวยิ้มเฝื่อน
“นี่เป็นคำพูดที่จริงใจจากเขาเลยล่ะ ก็เหมือนคุณ ที่ชอบพูดไปทั่วไม่ใช่เหรอว่าเรื่องภายในบ้านทั้งหมดคุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย แล้วตอนนี้ล่ะ?” จ่านป๋ายพูดแทรกขึ้นมา เขาพูดพลางรินน้ำผลไม้คั้นสดใส่แก้วให้ซีเหมินจินเหลียน นี่เป็นของเด็ดของร้านนี้เลยก็ว่าได้
“จ่านมู่หรง ผมยังไม่ได้หาเรื่องอะไรคุณเลยนะ!” ฉินเฮ่าจ้องเขม็งไปยังดวงตาของจ่านป๋าย
“ได้ยินมาว่าคุณกับฉินซินมีปัญหากัน ผมเกรงว่าข่าวลือจะผิดไป” จ่านป๋ายกลับไม่ได้รู้สึกประหลาดใจอะไรที่ฉินเฮ่ารู้ชื่อจริงของเขา
เมื่อครั้นที่ฉินเฮ่าเรียกชื่อจริงของจ่านป๋ายออกไป เขาก็ตั้งใจสังเกตไปที่สีหน้าของซีเหมินจินเหลียน แต่ว่าเธอกลับไม่ได้รู้สึกเอะใจอะไร
“จินเหลียน ผมจะบอกคุณไว้เลยนะ เจ้าหมอนี่…เจ้าหมอนี่กับไอ้ผู้ชายเจ้าสำอางนี่ พวกเขาก็ไม่ใช่คนดีอะไรหรอก!” ฉินเฮ่าพูดพลางชี้ไปทางจ่านป๋ายกับหลินเสวียนหลาน
หลินเสวียนหลานกับจ่านป๋ายหันหน้ามาสบตากัน ทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่ง แม้แต่ซีเหมินจินเหลียนก็เผยรอยยิ้มออกมา
“จริงสิ ทำไมนายถึงมาที่เมืองเจียหยางได้ล่ะ” หลินเสวียนอดไม่ได้ที่จะถาม
“จะให้ฉันอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพื่ออะไรกัน?” พอพูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของฉินเฮ่าก็ดูลำบากใจขึ้นมา ส่ายหัวแล้วพูดว่า “อาการป่วยของอวิ๋นเจียกลับมาอีกแล้ว แถมยังหนักขึ้นเรื่อยๆ ด้วย”
“นายคงหลบเธอไม่พ้นสินะ” หลินเสวียนหลานรู้สึกเป็นห่วงเป็นใยเพื่อน เขากับลู่เฟยอวี๋ มันเป็นเพียงเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างสองครอบครัวเท่านั้น ทะเลาะบาดหมางกันเสร็จก็จบกันไป เมื่อไม่มีเขาแล้ว บางทีลู่เฟยอวี๋อาจจะหาผู้ชายที่รักเขาจริงเจอก็ได้
แต่สำหรับอวิ๋นเจียนั้นไม่เหมือนกัน เพราะโรคที่เธอเป็น สาเหตุมาจากจิตใจของเธอผูกติดไว้ที่ฉินเฮ่าจนหมด ถ้าหากฉินเฮ่าไม่ขอเธอแต่งงานก็เกรงว่าเธอคงจะตายเพราะความทรมานอย่างช้าๆ แต่เมื่อคิดว่าตัวเองเป็นฉินเฮ่าดูแล้ว ผู้ชายที่ปกติอย่างเขาจะยอมแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้น่ะเหรอ?
ผู้หญิงที่วันๆ เอาแต่ร้องไห้ ทั้งสติยังไม่สมประกอบอีกเนี่ยนะ?
ฉินเฮ่ามองจ่านป๋ายอย่างทำตัวไม่ถูก จ่านป๋ายจึงพูดขึ้นว่า “เรื่องเหลวไหลของอวิ๋นเจียกับบ้านของคุณนั้น ผมรู้หมดแล้ว”
ฉินเฮ่ากลอกตาเหลือบมองจ่านป๋าย เมื่อเห็นว่ามีซีเหมินจินเหลียนอยู่ เขาเลยทำได้แค่ถอนหายใจออกมา ส่วนซีเหมินจินเหลียนเองก็รู้สึกเห็นใจอวิ๋นเจีย จึงพูดปลอบว่า “พี่ฉิน ถึงจะเป็นอย่างนั้น คุณก็แค่ปลอบเธอก็พอแล้ว” อวิ๋นเจียก็เหมือนกับเด็ก เมื่อปลอบเธอ เธอก็จะดีขึ้นมา…
“ผมก็อยากจะปลอบเธอนะ” ฉินเฮ่าถอนหายใจพูดเสียงต่ำออกมา “จินเหลียน คุณไม่รู้หรอกว่าผมมองเธอเติบโตมา เห็นเธอเป็นเหมือนแค่น้องสาวเท่านั้น แต่ว่าเธอมีอาการทางโรคประสาท พ่อของเธอจึงบังคับให้ผมแต่งงานกับเธอ แต่ผมเป็นคนปกติ ผมไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบเธอ แล้วที่สำคัญผมก็มีสิทธิที่จะตามจีบผู้หญิงที่ผมชอบ”
“ฉันก็เคยได้ยินเรื่องของเธอมาจากจ่านป๋ายเหมือนกันค่ะ” อวิ๋นเจียเป็นเด็กผู้หญิงที่สวย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผู้ป่วยอาการทางโรคประสาท น่าเสียดายจริงๆ
“ถ้าอย่างนั้นนายคิดจะทำยังไงต่อไป” หลินเสวียนหลานพูด “การที่นายหลบซ่อนอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่นะ”
“ฉันว่าจะไปฮ่องกงก่อน พอดีผ่านมาที่นี่ก็เลยอยากจะมาคุยกับพวกนาย พรุ่งนี้ก็ไปแล้วล่ะ”
จ่านป๋ายอาศัยโอกาสที่ทั้งสองคนไม่ได้ใส่ใจ จู่ๆ เขาก็คว้ามือข้างหนึ่งของซีเหมินจินเหลียนผ่านทางใต้โต๊ะ ซีเหมินจินเหลียนตกใจจนชะงัก ในระหว่างที่เธอจะดึงมือของเขาออกนั้น จ่านป๋ายก็ได้วาดรูปลงไปบนมือของเธอ
ซีเหมินจินเหลียนตั้งสติพิจารณาอย่างละเอียด กลับเห็นว่าจ่านป๋ายเขียนตัวอักษรหนึ่งตัวให้เธอ ‘หลิน!’
เธอเงยหน้ามองจ่านป๋ายอย่างค้างคาใจ แต่กลับเห็นจ่านป๋ายแกล้งส่งยิ้มให้เธอ ในขณะที่กินข้าวยังไม่เสร็จ หลินเสวียนหลานก็มีสายเรียกเข้าของหลินเจิ้งตามให้เขารีบกลับไป
จ่านป๋ายเรียกให้พนักงานเสิร์ฟเข้ามาจัดการโต๊ะและสั่งเหล้าเพิ่ม เมื่อพนักงานออกไป เขาก็พูดขึ้นว่า “เอาล่ะ เขาไปแล้ว คุณก็บอกจุดประสงค์ที่คุณมาที่นี่จริงๆ เถอะครับ”
“จ่านมู่หรงก็คือจ่านมู่หรง ไม่มีอะไรที่ปิดบังคุณได้เลย” ฉินเฮ่ายิ้ม
“เบี่ยงเบนความสนใจไปที่ตระกูลหลินแล้วเหรอ” จ่านป๋ายถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ฉินเฮ่าไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร เขานั่งอยู่บนเก้าอี้แค่นยิ้มออกมา “หรือว่าคุณไม่ได้คิด?”
“คิดสิ!” จ่านป๋ายพูด “แถมคิดแล้วลงมือแล้วด้วย”
ซีเหมินจินเหลียนกลับรู้สึกคาดไม่ถึง ตอนที่จ่านป๋ายให้เธอซื้อหุ้นจากตระกูลหลิน เธอก็ยังลังเลใจอยู่ตลอด แต่ฉินเฮ่ากับหลินเสวียนหลานเป็นเพื่อนสนิทกัน แล้วเขายังกล้าทำเรื่องแบบนี้อีกเหรอ? ถ้าหากหลินเสวียนหลานรู้เรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาจะยังเป็นเพื่อนกันได้อยู่อีกเหรอไง
ฉินเฮ่าสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซีเหมินจินเหลียนผิดปกติไป เขาก็รู้ว่าเธอไม่เข้าใจกลยุทธ์เชิงธุรกิจ จึงอธิบายกับเธอว่า “จินเหลียน ผมไม่ได้ใช้โอกาสนี้ทำร้ายเขานะ แต่ผมกำลังช่วยคุณชายหลินต่างหาก”
“ฉันไม่เข้าใจค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัว เธอไม่เคยยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจ แล้วเธอจะรู้กลยุทธอะไรแบบนี้ได้ยังไงกัน?
“คุณปู่หลินอายุปูนนี้ แถมยังไม่สนใจคุณชายหลิน ผมสามารถกล้าพูดได้เลยว่าขอแค่คุณชายหลินแพ้การซื้อหินหยกครั้งนี้ เขาคงไม่ยอมให้พบหน้าแน่ แต่คุณชายหลินไม่มีสิทธิอำนาจอะไร เขาจะใช้อะไรมาซื้อหยกได้? ใครจะรู้การประมูลที่เจียหยางเป็นการผลาญทรัพย์” ฉินเฮ่ายิ้ม ตอนนั้นเขาเคยเล่นมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะว่าไม่รู้เรื่องการเดิมพันหินเลยได้แต่ตามน้ำไป เขาก็ไม่ได้ขาดทุนมาก แต่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับการเดิมพันหินไปเรื่อยๆ
“ซื้อหุ้นตระกูลหลิน คุณมีเงินเท่าไหร่” จ่านป๋ายถาม
“ผมมีเงินไม่เยอะขนาดนั้นหรอก เพราะฉะนั้นผมก็กำลังคิดว่าจะขายร้านที่ถนนขายของโบราณออกไปดีไหม รวมถึงของสะสมในปีที่ผ่านมานี้ เกรงว่าในอนาคตผมจะไม่มีเวลาเล่นของพวกนี้อีกแล้ว” พูดถึงเรื่องนี้ฉินเฮ่าก็ยิ้มออกมาอีก เรื่องที่บ้านของเขา ซับซ้อนกว่าที่คิดไว้มาก
ในอนาคตถ้าอยากจะกลับไปเล่นของโบราณแบบตอนนี้ นั่นก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้
“ถ้าอย่างนั้นคุณรีบร้อนมาเจียหยางเพื่ออะไร” จ่านป๋ายถาม
“อย่างแรกคือหลบอวิ๋นเจีย อย่างที่สองคือมาหาจินเหลียน” ฉินเฮ่าตอบ
“หาฉัน?” ซีเหมินจินเหลียนไม่เข้าใจ “เพื่ออะไรคะ”
“ผมคิดว่าคุณมีหลักการในการเดิมพันหยก เลยจะมาปรึกษากับคุณว่าสนใจจะร่วมมือกันตั้งบริษัทอัญมณีอะไรทำนองนั้นไหม เดิมทีผมก็คิดจะคุยกัยคุณและคุณชายหลินสามคน แต่ในเมื่อคุณจ่านก็อยากร่วมด้วย ถ้าอย่างนั้นก็รวมเป็นอีกหุ้นหนึ่ง” ฉินเฮ่ากล่าว
จ่านป๋ายยิ้ม หุ้นส่วนของเขาก็รวมเป็นของซีเหมินจินเหลียน แต่ว่าประโยคนี้ก็ไม่จำเป็นจะต้องบอกฉินเฮ่า ถ้าหากมีปัญหาเรื่องผลประโยชน์ทางธุรกิจ จิตใจของคนย่อมยากที่จะคาดเดายิ่งกว่าการเดิมพันหยกเสียอีก
“ฉันยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจ…” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้น “ทำไมตอนนี้บริษัทตระกูลหลินถึงได้ดูมีค่าขนาดนี้คะ”
“เรื่องนี้ไม่เห็นมีอะไรให้เข้าใจยาก” จ่านป๋ายอธิบาย “คุณลองคิดดูสิครับว่าถ้าหากผู้เฒ่าหลินตายไป ตระกูลหลินก็จะแก่งแย่งชิงดีกัน ไม่ต้องพูดถึงหลินเจิ้งกับหลินเหวินเลย ทั้งคู่คงจะทะเลาะกันเรื่องสมบัติในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีบรรดาญาติๆ ในตระกูลหลินที่ถือหุ้นไว้ในมืออีก เห็นได้ชัดว่าปีที่ผ่านมานี้รายได้ตระกูลหลินตกลง อาจจะเป็นไปได้ที่จะขายหุ้นโดยตรงในมือเปลี่ยนเป็นเงินสด จากนี้ต่อไปสิ่งที่ตระกูลหลินต้องพบเจอก็คือการถูกซื้อหุ้น ส่วนพวกเราต้องวางแผนรับมือกันไว้ล่วงหน้า…”
“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนยังไม่เข้าใจดีนัก สำหรับการค้าที่หลอกกันไปมา เธอยังคงรู้สึกเป็นสิ่งที่แปลกหน้า
“การที่จะซื้อหุ้นตระกูลหลิน สิ่งแรกที่ต้องมีก็คือเงิน สิ่งที่สองคือหยก ไม่อย่างนั้นคนธรรมดาทั่วไปใครจะยอมหาเรื่องเข้าใส่ตัวเองละครับ” จ่านป๋ายพูด “เพราะฉะนั้นบริษัทที่อยากจะซื้อหุ้นตระกูลหลินในเมืองเซี่ยงไฮ้ก็มีเพียงแค่ไม่กี่แห่ง ส่วนบริษัทค้าอัญมณียักษ์ใหญ่ สภาพคล่องในการหมุนเวียนเงินคงต้องมีทางตันเข้าสักวัน เพราะอย่างนี้ตระกูลหลินจึงไม่ได้กระวนกระวายใจไป”
“แต่ว่าพวกเราไม่เหมือนกัน!” ฉินเฮ่ายิ้มและพูดต่อไป “ในมือของพวกเราพอจะมีเงินเก็บเล่นๆ เหลืออยู่บ้าง ปล่อยไว้ก็ไม่มีอะไร ถ้าคุณเข้าใจการเดิมพันหยก เนื้อหยกก็จะไม่เกิดปัญหา ความรู้เชิงธุรกิจที่ติดตัวคุณชายหลินมา ผสมกับการออกแบบเครื่องประดับหยกมันช่างดีเลิศเหลือเกิน เพราะอย่างนั้นขอแค่ดึงตัวคุณชายหลินมาได้ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร”
“ฉันไม่สามารถรับประกันได้ ว่าฉันจะไม่แพ้เดิมพัน!” ซีเหมินจินเหลียนส่ายหัวพูด ถึงเธอจะมีพรสวรรค์ในการมองทะลุ แต่ใครจะไปรู้ว่าสักวันพรสวรรค์นี้อาจจะหายไปเมื่อไหร่ก็ได้ ก็เหมือนกับตอนที่มันมานั่นล่ะ ไม่มีที่มาและไม่มีเหตุผล…