ส่วนที่ 4 ตอนที่ 13.2

ความลับแห่งจินเหลียน

ร่วมมือกัน

 

 

 

“ใครที่ไหนจะรับประกันได้ว่าละครับว่าจะไม่แพ้เดิมพัน” ฉินเฮ่ามัวแต่พูดปลอบ “ไม่เป็นไรหรอกครับ จินเหลียน ขอแค่คุณเดิมพันแบบสบายๆ ก็ได้แล้ว เพียงแค่ทำเหมือนตอนนี้ ส่วนเรื่องที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง”

 

 

“ปัญหาที่ใหญ่ในตอนนี้ ก็คือคุณชายหลิน…” ฉินเฮ่าถอนหายใจ “ผมไม่รู้ว่าควรจะเริ่มพูดกับเขายังไงดี ถ้าได้ก็แล้วไป แต่ถ้าไม่ได้แม้แต่คำว่าเพื่อนก็คงจะไม่เหลือ”

 

 

“เรื่องนี้คุณวางใจได้ ก่อนที่คุณมา ผมก็พูดหว่านล้อมไว้แล้ว” จ่านป๋ายพูดขึ้น

 

 

“หา?” ฉินเฮ่าส่งเสียงตกใจ เขากับหลินเสวียนหลานเห็นพ้องต้องกัน “เขาเห็นด้วย?”

 

 

“ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะไม่เห็นด้วยนี่ครับ!”

 

 

จ่านป๋ายขมวดคิ้วเข้าหากัน “คุณลองคิดดูสิว่าถ้าหากผู้เฒ่าหลินตายไป ผู้มีสิทธิสืบทอดมรดกคงจะไม่ใช่เขาแน่ๆ ดูจากตอนนี้ก็ได้ ความจริงผมคิดว่าผู้เฒ่าหลินคงจะหวังให้เขาเข้าไปในตระกูลลู่ เพื่อเป็นทายาทสืบทอดตระกูลลู่คนถัดไปในอนาคต…”

 

 

“ชายชราคนนี้คิดแต่อยากจะได้เงินจนเป็นบ้าไปแล้ว!” ฉินเฮ่าโกรธ

 

 

“เขากล้าเปิดปากที่จะยืมเงินตระกูลลู่ แถมใช้โอกาสนี้พูดถึงเรื่องงานแต่งงาน นี่คือความตั้งใจเขาแล้วล่ะ!” จ่านป๋ายพูด “แต่ว่าหลินเสวียนหลานไม่ใช่คนโง่ วันนี้เขาและพวกเราร่วมมือกัน เขาก็ยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ นี่ก็เท่ากับว่ามีธุรกิจเป็นของตัวเอง แล้วทำไมเขาจะไม่เห็นด้วยล่ะ?”

 

 

“ในเมื่อพวกคุณเตรียมพร้อมไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็บอกแผนการของพวกคุณมาเถอะ!” ฉินเฮ่าถามออกไปตรงๆ

 

 

“อีกสักพักไปที่ห้องของผม แผนการทั้งหมดเขียนไว้อยู่ในโน้ตบุ๊ค ตอนนี้สิ่งที่ผมอยากรู้ก็คือ คุณสามารถหาเงินได้เท่าไหร่” จ่านป๋ายกล่าว

 

 

“เท่านี้!” ฉินเฮ่าชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว

 

 

จ่านป๋ายยิ้มออกมา เวลานี้มีเงินทุนเพิ่มมาอีกสองร้อยล้าน ในที่สุดปัญหาทางการเงินก็จัดการได้แล้ว ขอแค่มีสิทธิ์ถือหุ้นบริษัทตระกูลหลิน เขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเงินแล้ว เงินทุนต่างประเทศบางส่วนสามารถโอนผ่านบริษัทเข้ามาอย่างเปิดเผย ส่วนสิ่งอื่นที่ยังจัดการไม่ได้ ก็สามารถอาศัยโอกาสนี้ลงมือ…

 

 

ในนั้นมีหลายอย่างที่ซีเหมินจินเหลียนน่าจะชอบ เก็บไว้ให้เธอเล่นก่อนแล้วกัน รอให้อนาคตเมื่อเธอเล่นจนเบื่อซะก่อนแล้วค่อยขายไปก็ไม่สาย เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองซีเหมินจินเหลียน แต่กลับเห็นเธอเหม่อลอยมองออกไปที่นอกหน้าต่าง

 

 

“จินเหลียนครับ…” จ่านป๋ายเรียก

 

 

“อืม…” ซีเหมินจินเหลียนได้สติกลับมา

 

 

“คุณกำลังคิดอะไรอยู่เหรอ” จ่านป๋ายถาม

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก” ซีเหมินจินเหลียนหลบสายตา ขนตางอนยาวของเธอบดบังแววตาสดใสคู่นั้น ในใจกลับรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก บริษัทตระกูลหลินที่ยิ่งใหญ่จะมาล้มลงแบบนี้อย่างนั้นเหรอ?

 

 

การที่เธอเดิมพันหยก มันเป็นสิ่งที่ดึงดูดความสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมจ่านป๋ายกับฉินเฮ่าถึงสนใจเธอ แล้วไหนจะหลินเสวียนหลานอีก หรือเธอควรจะซื้อหินสักหลายๆ ก้อนมาดี ลองตัดหินออกมาให้แพ้เดิมพันต่อหน้าพวกเขาดู?

 

 

แถมสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาก็คือ จริงๆ แล้วคนพวกนี้ใครจริงใจ ใครแกล้งทำเสแสร้งอยู่กันแน่? ใครกำลังใช้ผลประโยชน์ใครอยู่ หรือจะพูดว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์บนโลกใบนี้นั้น ก็เพื่อผลประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น?

 

 

มื้อกลางวันผ่านไป ฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เช้าก็ได้หยุดลงเสียที ดวงอาทิตย์โผล่หน้าออกมาจากก้อนเมฆ แสงแดดเผาไหม้มายังพื้นโลก นี่ยังคงเป็นฤดูร้อน

 

 

จ่านป๋ายกับฉินเฮ่ากลับห้องไปปรึกษาเรื่องรายละเอียดของงานต่างๆ ส่วนซีเหมินจินเหลียนขอกลับห้องไปเพื่อนอนกลางวัน

 

 

เวลาบ่ายสี่โมงเย็น เมื่อพระอาทิตย์ตกลงในยามเย็น ซีเหมินจินเหลียนจึงลากจ่านป๋ายออกมาเดินเล่นที่ตลาดขายหยก แผนการของเธอก็คือเลือกหินหยกที่ไม่ได้ราคาแพงมากแล้วตัดออกมาให้เห็นว่าเนื้อหยกไม่ได้มีดีอะไร เมื่อจ่านป๋ายเห็นอย่างนั้นก็คงจะปลอบใจเธอสักหน่อย

 

 

เดินเรื่อยเปื่อยจนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เธอก็เลือกซื้อหินหยกชิ้นน้อยใหญ่ไปถึงสิบห้าชิ้น ในนั้นมีสิบชิ้นที่เธอเล็งไว้ อีกสองชิ้นเป็นหิน ส่วนสามชิ้นที่เหลือไม่มีความโปร่งแสงคาดเดาไม่ได้ ต้องใช้ความรู้สึกล้วน

 

 

ผู้อาวุโสเจี่ยราชาแห่งนักเดิมพันหินเคยบอกไว้ว่า การเดิมพันหยก บางครั้งก็ต้องใช้ความรู้สึก สายตา เทคนิค ประสบการณ์ไม่สามารถช่วยได้ทั้งหมดหรอก

 

 

ในเมื่อพรุ่งนี้เป็นวันประมูลหยก ซีเหมินจินเหลียนจึงกลับไปที่โรงแรมและเตรียมตัวเข้านอนแต่หัววัน จ่านป๋ายรับคำสั่งเร่งด่วนให้หาช่องทางขนส่งหินสิบห้าก้อนนี้ รวมไปกับหินหยกครั้งที่แล้วที่โรงงานแปรรูปหยก ซีเหมินจินเหลียนกำชับแน่นหนาว่าให้ดูแลสินค้าให้ดี แล้วส่งไปที่เมืองเซี่ยงไฮ้

 

 

หลินเสวียนหลานนั่งพิงโซฟาดูโทรทัศน์ สำหรับเขาแล้ววันนี้คือวันเริ่มต้นใหม่ของเขา

 

 

เริ่มตัดสินใจที่จะร่วมมือกับจ่านป๋าย หลังจากผ่านการไตร่ตรองมาครึ่งวัน เขาก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะนอกเหนือจากทางเลือกนี้ เขาก็ไม่มีตัวเลือกอื่นอีก เขาก็ไม่ใช่คนโง่ที่จะสัมผัสไม่ได้ว่าจ่านป๋ายพูดความจริงหรือเท็จ

 

 

หลังมื้ออาหารกลางวัน จ่านป๋ายก็โทรศัพท์มาหาเขา และยิ่งทำให้เขามั่นใจที่จะเลือกการตัดสินใจแบบนี้เข้าไปอีก เขาก็คิดไม่ถึงเลยว่าฉินเฮ่าก็สนใจบริษัทตระกูลหลินในเวลานี้

 

 

คงมีคนที่คิดแบบนี้ไม่น้อยเลยสินะ? ระบบการถือหุ้นของตระกูลหลินเช่นนี้ ขอแค่สมาชิกภายในครอบครัวไม่สามัคคีกันก็คงเหมือนกับจานที่มีเม็ดทรายกระจัดกระจายไปทั่ว คนที่ถือโอกาสฮุบหุ้นไว้ในครอบครองคงมีไม่น้อยแน่

 

 

การดูถูกคนอื่นก็ไม่เท่ากับการลุกขึ้นมาแข่งขันกับตัวเอง ถึงว่าจะแพ้เดิมพันไปรอบนี้ เขาก็ไม่เสียดาย มากสุดก็แค่ดูคนไม่เป็น ขุดหลุมกับดักให้กับตัวเอง

 

 

ชีวิตคนเราย่อมพบเจอกับตัวเลือกมากมาย แต่ไม่มีใครเคยคิดค้นยาแก้อาการเสียดาย เพราะฉะนั้น ในเมื่อตัดสินใจแล้ว เขาก็จะเดินหน้าต่อไป

 

 

งานประมูลที่จะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ถ้าตระกูลหลินได้เนื้อหยกที่มีปัญหาไป มันก็ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับเขา เขาได้ปล่อยมือไปแล้ว ทำได้แต่นั่งดูละครโทรทัศน์อย่างเหงาหงอยที่จะเริ่มมาตอนสองทุ่ม…

 

 

ขณะที่การพักผ่อนกำลังผ่านไปได้ด้วยดี ก็มีคนรบกวนเวลาของเขาเสียก่อน เสียงกระดิ่งจากนรกก็มาโปรด

 

 

หลินเสวียนหลานเบื่อหน่าย ทำได้แค่ยืนขึ้นเดินไปดู เขาเห็นเงามืดของหลินเจิ้งกำลังยืนอยู่ด้านหน้าของประตู

 

 

“อารอง เข้ามานั่งข้างในก่อนสิครับ” หลินเสวียนหลานท่าทางสุภาพเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง

 

 

“เสวียนหลาน แกก็ยังสบายใจอยู่ได้นะ!” หลินเจิ้งเดินเข้าไปข้างในแล้วนั่งลงบนโซฟา

 

 

หลินเสวียนหลานทำได้แค่ยิ้มแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร หยิบรีโมทลดเสียงโทรทัศน์ลง รอให้หลินเจิ้งพูด หลินเจิ้งหาเขาเวลานี้ คงไม่ใช่เพราะคุยเรื่องในบ้านแน่นอย

 

 

 “วันนี้ฉันออกไปข้างนอกวุ่นอยู่ทั้งบ่าย แต่แกกลับหลบมาอยู่ในห้องดูโทรทัศน์เหรอ?” หลินเจิ้งอารมณ์เดือดพล่านมองไปที่หลานของตน

 

 

“ผมไม่รู้ว่าอารองยุ่งตลอดทั้งบ่าย ซื้อหินหยกมาได้เยอะไหมครับ” หลินเสวียนหลานถาม

 

 

“ไม่ได้เลย!” หลินเจิ้งส่ายหัว เขาแทบไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการเดิมพันหยก เพราะฉะนั้นการที่ยุ่งอยู่ทั้งบ่ายก็เพราะอยากจะซื้อเนื้อหยก แต่การขายหยกที่เมืองเจียหยาง ราคาก็สูงมากเกินความจริง สีเข้มไปหน่อย ความอิ่มน้ำก็ไม่มาก แต่ราคาสูงจนเทียบไม่ติด ทั้งบ่ายนี้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่เห็นหยกชนิดแก้ว

 

 

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าอารองกำลังดูโทรทัศน์กับผมอยู่หรอกเหรอครับ?”

 

 

“แกพูดอะไร?” หลินเจิ้งฟังจากที่เขาพูด สีหน้าก็เปลี่ยนทันควัน

 

 

“ป่านนี้แล้วจะซื้อหยกอะไรกันครับ” หลินเสวียนหลานพูดพร่ำต่อไป “พวกเรารองานประมูลหยกในวันพรุ่งนี้ก็ได้แล้ว มีหยกชนิดดีๆ ที่ถูกส่งมาในงานประมูล”

 

 

หลินเจิ้งเห็นนิสัยที่กินลมชมวิวของเขาก็รู้สึกรับไม่ได้ แต่ก็รู้ว่าโดยปกติแล้วเขาก็ชอบพูดจาแบบนี้ พูดไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ได้แต่จ้องมองเขาด้วยสายตาพิฆาตกลับไป “การประมูลครั้งนี้ อย่าทำให้พวกเราผิดหวังล่ะ”

 

 

ในใจหลินเสวียนหลานคิดแต่ว่า ‘รับรองว่าอาต้องผิดหวังแน่ง คนที่ไม่รู้เรื่องการเดิมพันหยก แต่ไปร่วมงานประมูล นอกจากจะผลาญเงินไปซื้อหินฟรีๆ แล้วจะทำอะไรได้อีก?

 

 

แน่นอน ยังมีผู้อาวุโสจู้อยู่ หวังว่าผู้อาวุโสจู้จะช่วยเขาซื้อหินหยกเนื้อดีไปได้

 

 

“เสวียนหลาน” หลินเจิ้งเปลี่ยนโทนเสียง ให้ความรู้สึกเหมือนผู้อาวุโสเรียกเด็กๆ ไปคุยอย่างไรอย่างนั้น “เกิดอะไรขึ้นระหว่างแกกับเฟยอวี๋กันแน่”

 

 

 “พวกเราเลิกกันแล้วครับ!” หลินเสวียนหลานบอกไปตรงๆ เดิมทีเขาคิดว่าจะรอให้กลับไปก่อนแล้วไปบอกคุณปู่ แต่ในเมื่อถามมาก็บอกไปเลยแล้วกัน เมื่อรออารองออกจากห้องไปแล้ว เขาคงรีบโทรศัพท์ไปรายงานคุณปู่ทันที อย่างนี้เขาก็ไม่ต้องปริปากพูดออกมาเอง

 

 

“อะไรนะ?” หลินเจิ้งได้ยินดังนั้น ก็เกือบที่จะดีดตัวเด้งขึ้นมา “เสวียนหลาน แกพูดอะไรออกมา? พวกแก…เลิกกันแล้ว?”

 

 

“ใช่ครับ พวกเราเลิกกันแล้ว” หลินเสวียนหลานไม่สนใจอาการตกใจของเขาสักนิด

 

 

“แกรู้หรือเปล่าว่า ปู่ของแกเตรียมของหมั้นหมายไปให้ที่บ้านตระกูลลู่แล้ว!” หลินเจิ้งตะคอกเสียงดัง “ทำไมแกถึงได้ทำแบบนี้?”

 

 

หลินเสวียนหลานยิ้มเยือกเย็น ให้ของหมั้นหรือ? ทำไมตัวละครที่อยู่ในฉากอย่างเขาถึงไม่รู้เรื่องล่ะ

 

 

“ส่งของหมั้นไปแล้ว ก็เอากลับมาได้นี่ครับ!” หลินเสวียนหลานไม่รู้สึกรู้สาอะไร ยังคงพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพต่อไป

 

 

“แกรู้ตัวหรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรออกมา?” หลินเจิ้งเดือดจนมือไม้สั่นระริกไปหมด หลานคนนี้ช่างไร้ประโยชน์ยิ่งนัก…