บทที่ 19 วันถัดมาที่รัสเซีย บาทหลวง โดย Ink Stone_Fantasy
แสงตะวันยามฟ้าสางเพิ่งสาดแสงลงมาได้ไม่นานเท่าไร แต่ก็ส่งให้ต้นหญ้าเล็กๆ บนสนามดูสดใสมีชีวิตชีวาได้เหมือนกัน และบนสนามหญ้าก็มีเงาเล็กๆ ของคนหนึ่งกำลังปีนข้ามรั้วอย่างงุ่มง่าม
คุณผู้หญิงซึ่งกำลังเตรียมพาลูกสาวไปโรงเรียนยังตะโกนชื่อของเงาร่างเล็กๆ คนนี้อย่างรวดเร็ว
เจ้าของสมาคมมองดูภาพตรงหน้าด้วยความสนใจยิ่ง ก่อนยิ้มด้วยเข้าใจความคิดของอีกฝ่าย คิดว่าการแสดงความรู้สึกอย่างตรงไปตรงมาแบบเมื่อครู่นี้สุดยอดมากเลย
แม้ว่าเหตุการณ์แบบนี้ดูจะเป็นเรื่องปกติของประเทศนี้ก็ตาม
ลั่วชิวส่ายหน้า มือไพล่หลังแล้วเดินตามร่างเล็กๆ คนนี้ไปพร้อมกับคุณสาวใช้ และถือโอกาสชื่นชมวิวข้างทางไปด้วย
ผ่านไปไม่นานนัก เจ้าของร้านลั่วกลับต้องหยุดฝีเท้าของตนเอง
บนทางเดินเล็กๆ ที่ปลูกต้นไม้ไว้สองข้างทางสายนี้ อันโตนิโอเพิ่งจะเดินผ่านไป บังเอิญมีชายคนหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีดำพิงอยู่ตรงต้นไม้ข้างทางเดินเล็กๆ นั่น
ชายชุดดำมือข้างหนึ่งถือหนังสือปกหนังสีดำหนาๆ เล่มหนึ่ง ท่าทางกำลังอ่านอย่างตั้งอกตั้งใจ
น่าจะอายุไม่ต่างจากลั่วชิวมากนัก ใบหน้ารูปไข่งดงาม ถ้าไม่ดูรูปร่างล่ะก็ คงนึกว่าเป็นหญิงสาวคนหนึ่งเลยล่ะมั้ง?
ขณะที่เจ้าของร้านลั่วกำลังเดินไปเรื่อยๆ สายตาของเขาก็ทอดมองไปที่ชายผู้นี้…จนกระทั่งเขาใกล้จะเดินผ่านตรงที่ชายคนนี้พิงอยู่ ชายคนนี้ถึงได้ปิดหนังสือปกหนังสีดำในมือลง แล้วพูดขึ้นทันทีว่า “สวรรค์คือดินแดนที่มีความสุขที่สุด ดวงวิญญาณที่เชื่อในพระเจ้าจะได้รับการช่วยเหลือ ทุกคนสามารถขึ้นสวรรค์ได้ ผู้กระทำความผิดลบหลู่พระเจ้า ไม่สำนึกผิดปรับปรุงตัว หลังจากตายไปดวงวิญญาณจะได้รับโทษและตกนรก”
ลั่วชิวหยุดก้าวเดิน มองโยวเย่แวบหนึ่งด้วยความสนใจ แล้วเขาถึงได้มองชายหนุ่มคนนี้ มองสังเกตอย่างละเอียดใหม่อีกครั้ง ถึงได้เห็นชัดๆ ว่า ตรงข้อมือสวมสร้อยข้อมือสีเงินไว้เส้นหนึ่ง และมีจี้ห้อยลงมา เป็นไม้กางเขนเหมือนกัน
การแต่งกายแบบนี้บ่งบอกสถานะของชายคนนี้ได้อย่างชัดเจน พอนึกได้ว่าที่นี่คือมอสโก ลั่วชิวถึงได้เอ่ยปากพูด “นิกายออร์โธดอกซ์?”
ชายหนุ่มออกมาจากต้นไม้ที่พิง สองมือไพล่หลังเดินมาด้วยความมั่นใจในทุกฝีก้าว แล้วพูดขึ้นอีกว่า “สวรรค์คือที่สถิตของพระผู้เป็นเจ้า หน้าบัลลังก์มีบรรดาทูตสวรรค์คอยรับใช้ พระเยซูนั่งด้านขวาของพระผู้เป็นเจ้า ในนั้น ‘ทองเหลืองอร่าม ฝังประดับเพชรพลอย’ ‘ทอดสายตามองดูทิวทัศน์งดงาม สดับฟังเสียงดนตรี ในทุกโสตสัมผัสรับรู้ได้ถึงความสุข’…”
ในที่สุดเขาก็เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าลั่วชิวและโยวเย่ “ในนรกมีเปลวเพลิงที่ไม่มอดไหม้ไปทั่วทุกแห่ง มีงูใจทมิฬเหี้ยมโหดคอยกัดกินคน สำหรับผู้ที่ไม่อาจขึ้นสวรรค์ก็ได้ จะตกไปรับความทุกข์ยากในนรกชั่วระยะหนึ่งก่อน เพื่อฝึกฝนชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ หลังจากนั้นถึงได้ไปสวรรค์”
ชายหนุ่มพูดจบก็ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น
ลั่วชิวกลับส่ายหน้าพูดว่า “ทุกโสตสัมผัสต่างรับรู้ถึงความสุขเหรอ? อืม…อันที่จริงสวรรค์เป็นสถานที่ที่ไม่เลวเลย แต่น่าเสียดาย ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนผมก็ไปไม่ได้เลย”
“พระผู้เป็นเจ้ายินดียกโทษให้ผู้ทำความผิดทุกคน” ชายหนุ่มยิ้มน้อยๆ “ผมไม่เคยปฏิเสธผู้อยากล้างบาปด้วยใจจริง”
“อ้อ? งั้นก่อนอื่นผมคงต้องทำอะไรสักอย่างก่อนสินะ?” ลั่วชิวถามด้วยความอยากรู้
ชายหนุ่มพูดอย่างเฉยเมยว่า “กรุณาส่งดวงวิญญาณของคามาลามา เธอเป็นศาสนิกชนผู้บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ขอเพียงปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในโลกมนุษย์นี้เสีย เธอก็จะได้ขึ้นสวรรค์ คุณไม่น่าตัดสิทธิ์เธอเลย”
“ผมก็ไม่ได้ตัดสิทธิ์เธอ” ลั่วชิวยังคงส่ายหน้าตอบ “พวกเราแค่ช่วยให้เธอสมหวังเท่านั้น”
แต่ผมแค่ยังคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงดี…เจ้าของร้านลั่วพูดต่อในใจ
ชายคนนี้กลับพูดว่า “ดวงวิญญาณของคามาลาวนเวียนอยู่ตลอด ไม่ยอมจากไปไหน ผมซึ่งเป็นสาวกของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ได้บังคับเธอ เพราะการอยู่อย่างอิสระของเธอมีเป้าหมายเพียงเพื่อรอคอยวันที่เธอจะสำนึกตัว เมื่อถึงเวลานั้นเธอก็จะได้ขึ้นสู่สวรรค์”
ลั่วชิวกลับเดินมาบอกว่า “ซึ่งก็หมายความว่า นับตั้งแต่กลายเป็นดวงวิญญาณ พวกคุณก็คอยเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ มาโดยตลอดเลยเหรอ?”
“ขอแค่ในใจของศาสนิกชนเรียกหาพระผู้เป็นเจ้า เราก็จะปรากฏตัว” ชายหนุ่มพูดอย่างเรียบเฉย
“พวกเราก็คล้ายๆ กันนะ”
ลั่วชิวยิ้ม
ฉับพลันเขาก็นึกได้ว่าเมื่อก่อนเคยถือโอกาสอ่านข้อมูลในสมุดบัญชีเก่าๆ ที่ชั้นใต้ดินของสมาคมมาบ้าง
หลังจากออกจากอียิปต์…โมเสสใช้ดวงวิญญาณคนสองหมื่นดวง ทำให้น้ำในมหาสมุทรลดลงไปในคืนเดียว จนทะเลกลายเป็นพื้นดินแห้งๆ
…
“ดวงวิญญาณบริสุทธิ์ในสวรรค์คงมีมากมายเลยใช่ไหม” ลั่วชิวถามขึ้นทันที
เขามองชายชุดดำคนนี้ที่อยู่ตรงหน้า นี่เป็นการสังเกตครั้งที่สามแล้ว เขาและโยวเย่กำลังเดินผ่านไปแบบ ‘ไร้ความรู้สึก’ ดังนั้นคนที่พอจะมองเห็นได้ หากไม่ใช่คนที่มีความปรารถนา งั้นก็คงเป็นพวกลึกลับซับซ้อนกว่าคนธรรมดาทั่วไปสักหน่อย
“พระเจ้ารักมนุษย์ และเปิดประตูสวรรค์ให้แก่คนที่ถวายตัวเป็นสาวกด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดวงวิญญาณที่ได้รับความสุขย่อมมีมากมาย” บาทหลวงชุดดำพูดเสริมลอยๆ แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจคำถามก่อนหน้านี้ แต่คำตอบก็เห็นได้ชัดอยู่แล้ว
จู่ๆ ลั่วชิวก็พูดขึ้นอีกว่า “คุณคิดว่าตัวเองก็จะได้ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม?”
บาทหลวงหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยว่า “มีเพียงที่นั่นเท่านั้นถึงจะเป็นที่อยู่สุดท้ายของผม”
ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อยพลางพูดว่า “แบบนี้…เอาแบบนี้แล้วกัน ผมจะลองสวดภาวนาถึงพระเจ้าของคุณดูสักหน่อย หวังว่าท่านจะมีวิธีอำนวยความสะดวกนี้ให้กับผมได้ แต่เรื่องคุณคามาลา โปรดอภัยที่ผมไม่อาจส่งเธอให้ได้ ประการแรก เธอยังไม่ได้เป็นของผม แล้วระหว่างเราก็ยังมีข้อตกลงที่ยังทำไม่สำเร็จ”
“สำหรับคนที่ไม่รู้สำนึกปรับปรุงตัว คงได้แต่ให้แสงแห่งพระเจ้าสาดส่องไปทั่วหล้า ชำระความชั่วร้ายในจิตใจ” ชายหนุ่มถอนหายใจพลางพูดว่า “ผมจะไม่สนับสนุนการใช้กำลัง”
ทันใดนั้นชายหนุ่มก็โบกสะบัดมือเบาๆ ในฝ่ามือกุมไม้กางเขนที่ห้อยอยู่ตรงข้อมือนั่น ไม้กางเขนกลายเป็นดาบรูปไม้กางเขนแสงสีทองเล่มหนึ่ง
ลั่วชิวพูดชื่นชมมากว่า “ผมก็ไม่ใช่พวกนิยมใช้กำลังเหมือนกัน”
ในชั่วพริบตานั้น เจ้าของร้านลั่วซึ่งมีรอยยิ้มน้อยๆ ก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าชายคนนั้นฉับพลันทันที ราวกับเคลื่อนไหวในชั่วพริบตา
จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาประชิดตัวบาทหลวงโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้รูม่านตาของบาทหลวงชุดดำคนนี้หดลงทันที
แล้วเขาก็ใช้แค่นิ้วแตะไปบนดาบไม้กางเขนแสงสีทองในมือเบาๆ
“เพราะงั้น ไม่ใช้กำลังได้ก็อย่าใช้กำลังเลยแล้วกันนะ”
แล้วดาบไม้กางเขนสีทองก็แตกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับกระจกแตก ชิ้นส่วนแตกที่มีแสงสีทองยังไม่ทันที่จะได้ร่วงลงพื้นก็ปลิวหายไป
ระหว่างที่บาทหลวงชุดดำมัวตื่นตะลึงทำตัวไม่ถูก และถอยหลังไปหลายก้าว เขาก็แบมือข้างที่กำไม้กางเขนไว้ จี้รูปไม้กางเขนในมือแตกเป็นเสี่ยงไปแล้ว
“ถ้าวันนั้นคุณหวนนึกถึงเรื่องราวในวันนี้ ตอนที่คุณสวดภาวนาโปรดบอกพระเจ้าของคุณด้วยว่า อีกไม่กี่ปีพวกเราจะไปสวรรค์ เพราะใกล้จะถึงเวลาที่สวรรค์ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแล้ว…”
“ว่าไงนะ…”
ตอนที่ชายหนุ่มชาวตะวันออกตรงหน้าคนนี้มาปรากฏตัวต่อหน้าเขาอีกครั้ง เขาก็รู้สึกว่าหน้าผากถูกแตะเบาๆ
ก่อนที่เขาจะสูญเสียการรับรู้ไป สิ่งที่เขาพอจะได้ยินก็คือคำพูดแบบนี้ ซึ่งสำหรับพระผู้เป็นเจ้าแล้ว…ช่างเป็นคำพูดที่ดูหมิ่นเหยียดหยามเหลือเกิน!!
…
เขาพาตัวบาทหลวงหนุ่มคนนี้กลับไปใต้ต้นไม้ใหญ่ที่พิงอยู่เมื่อครู่ ให้เขานั่งลงไปคล้ายนอนกลางวันอยู่
ลั่วชิวถึงได้มองคุณสาวใช้ด้วยความสงสัยพลางถามว่า “จะว่าไปแล้ว เมื่อก่อนตอนที่สมาคมเปิดร้านอยู่ที่นี่ ไม่เคยเจอการขัดขวางก่อกวนจากคนพวกนี้เลยเหรอ?”
โยวเย่ตอบว่า “นายท่านคนก่อนไม่ออกไปข้างนอกค่ะ ไม่เหมือนอย่างนายท่านคนนี้ที่ชอบเดินทางไปข้างนอก และทำข้อตกลงเสร็จสมบูรณ์ในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วย…เอ่อ แน่นอนว่านายท่านคนก่อนจงใจซ่อนตัวค่ะ เลยมีเจตนาปล่อยพวกเขาไว้เสมอมา…”
โยวเย่มองดูบาทหลวงหนุ่มที่หลับผล็อยไปคนนี้ แล้วพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ยิ่งไปกว่านั้น คงเพราะว่าคุณบาทหลวงท่านนี้ยังหนุ่มเกินไปล่ะมั้งคะ คงยังเข้าไม่ถึงบางอย่างอยู่”
ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดว่า “เธอก็แค่พูดตรงๆ ว่าคนที่ชอบเตร็ดเตร่ไปเรื่อยอย่างฉันจะไปเหยียบกับระเบิดได้ง่ายมากก็จบแล้ว ฉันไม่ใช่พวกเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่สักหน่อย”
คุณสาวใช้ยิ้มอ่อนหวาน
พวกเขาทำเหมือนมาเดินเล่นกัน ระหว่างเดินก็พูดคุยกันไปด้วย แล้วก็เดินออกจากทางเดินเล็กๆ ที่มีต้นไม้ล้อมรอบสายนี้ ตอนที่เดินผ่านร้านสะดวกซื้อริมทางแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านลั่วก็เกิดอยากซื้อช็อกโกแลตมาแท่งหนึ่ง
…
ตอนที่อนาโตลี่ตื่นขึ้นมาก็เป็นช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกแล้ว เขารีบมองดูสถานที่ที่เขาอยู่ แล้วนวดระหว่างคิ้วของตนเอง
แต่ว่าในตอนนี้เองจู่ๆ ก็รู้สึกถึงสัมผัสแปลกๆ บางอย่างจากกลางฝ่ามือ ทำให้อนาโตลี่ถึงกับตกใจทันที
ตอนที่แบมือออก สิ่งที่เขาเห็นกลับเป็นเศษชิ้นส่วนที่แตกชิ้นหนึ่ง…ของจี้รูปไม้กางเขนที่เขาพกติดตัวมาโดยตลอด
บาทหลวงหนุ่มตกใจจนหน้าถอดสีทันที ถึงขนาดเหงื่อแตกท่วมตัว เขาไม่มีเวลาไปคิดว่าตนเองหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่กันแน่ เพราะอะไรถึงหลับไป แต่กลับรีบคุกเข่าสวดภาวนาอย่างไว
เพราะความเชื่อของเขาแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ แล้วจริงๆ !
ในความเลือนรางนั้น อนาโตลี่รู้สึกว่าตนเองอาจจะลืมเรื่องราวบางอย่างไป
…
…
“คุณอยู่ที่ไหน?”
“คุณอยู่ที่ไหน?”
“เอาช็อกโกแลตไหม?”