บทที่ 4 บทที่ 18 วันแรกที่มอสโก

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

บทที่ 18 วันแรกที่มอสโก โดย Ink Stone_Fantasy

 

ณ ท่าอากาศยานนานาชาติเชเรเมเตียโว เสียงดังกึกก้องของเครื่องบินบนรันเวย์ยังคงก้องอยู่ในหู ถึงแม้ว่าเขาจะออกจากอาคารในสนามบินมาแล้วก็ตาม

“อืม ผมลงเครื่องแล้ว กำลังรับกระเป๋า” ลั่วชิวกำลังพูดกับปลายสายอย่างเนิบช้า

แต่ที่ปลายสายโทรศัพท์กลับพูดไม่หยุด “รอเดี๋ยว อากาศทางนั้นเป็นยังไงบ้าง? เธอเอาเสื้อไปพอแน่นะ? จะให้ฉันส่งไปให้อีกหรือเปล่า? กางเกงในล่ะ? กางเกงในพอไหม…นี่! อย่าตัดสายใส่ฉันนะ!!”

ตู๊ด*!!*

คุณสาวใช้หิ้วกระเป๋าถือใบหนึ่งยืนอยู่ข้างเจ้าของร้านลั่ว ก่อนยิ้มพูดว่า “คุณเริ่นเป็นห่วงนายท่านมากจริงๆ นะคะ”

ลั่วชิวเพ่งมองโยวเย่อยู่แวบหนึ่ง พูดเหมือนกำลังคิดอะไรว่า “ฉันรู้สึกว่า มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นระหว่างพวกเธอ ตอนที่อยู่หมู่บ้านตระกูลหลี่ว์เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

คุณสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์จริงใจกับเจ้าของสมาคมยิ้มน้อยๆ พลางพูดว่า “ความจริงก็ไม่ได้มีอะไรค่ะ คุณเริ่นแค่สอนเรื่องสนุกๆ บางอย่างให้ฉันเป็นการส่วนตัวเท่านั้นเอง”

ลั่วชิวพูดอย่างแปลกใจว่า “หืม? ผู้หญิงคนนี้เป็นคนแย่ก็ต้องพูดอะไรแย่ๆ ออกมาสินะ จะสอนอะไรให้เธอได้?”

โยวเย่มองลั่วชิวแป๊บหนึ่ง ยิ้มตาหยีพร้อมพูดว่า “หญิงอยู่บนชายอยู่ล่าง เจ้าแม่กวนอิมนั่งดอกบัว อืม…ฉันขอคิดดูหน่อย…”

เจ้าของร้านลั่วสังหรณ์ใจอยู่แล้วว่าคงไม่ใช่เรื่องดี สีหน้าเขาตอนนี้ก็บ่งบอกอย่างนั้น

เขากุมขมับตัวเอง ทำเหมือนไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น “จองรถแท็กซี่เอาไว้ที่ไหน?”

“ข้างหน้านี้เองค่ะ”

ลั่วชิวมองด้านหลังของโยวเย่ที่เดินนำทางไป แล้วหัวเราะเบาๆ…เมื่อกี้เธอคงจะล้อเล่นสินะ?

ตั้งแต่เขาเป็นเจ้าของสมาคม นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโยวเย่หยอกล้อ

ลั่วชิวกำลังมองดูท้องฟ้าของมอสโก และคิดว่า…บางทีอาจเพราะได้กลับมายังสถานที่คุ้นเคยเช่นนี้

เดี๋ยวก่อน ทำไมโยวเย่ถึงเอาเรื่องแบบนี้มาพูดเล่น…

เรื่องสนุกๆ ล่ะ???

เจ้าของร้านลั่วผู้นิ่งขรึมเสมอมา บัดนี้มีสีหน้ากระวนกระวายใจอยู่ที่สนามบินนานาชาติเชเรเมเตียโวนอกมอสโก

“พวกคุณมาที่นี่ครั้งแรกหรือครับ?”

คนขับรถแท็กซี่เป็นคนคุยสนุกคนหนึ่ง…โดยทั่วไปแล้วคนขับรถแท็กซี่วัยชราคงถูกตั้งค่ามาแบบนี้ล่ะมั้ง? ลั่วชิวพยักหน้าเล็กน้อย เขารู้ว่าคนขับสูงวัยคนนี้มองเห็นท่าทางของเขาผ่านทางกระจกมองหลังได้

“มาทำงานหรือท่องเที่ยวครับ?”คนขับสูงวัยถามต่อ

โยวเย่ตอบส่งๆ ว่า “มาเที่ยวค่ะ…แล้วก็โชเฟอร์ ไม่ไปถนนสายนี้ได้ไหมคะ?ถ้าอ้อมโรงละครเพโทฟไป ฉันว่าน่าจะไวกว่าหน่อยนะคะ”

คนขับสูงวัยชะงักไป แต่ก็ไม่ได้อาย กลับหัวเราะฮาลั่น แล้วก็เปลี่ยนทิศทางไปขับอีกทางหนึ่ง อีกทั้งยังรู้จักหาจังหวะโอกาสพูดคุยอีกว่า “พูดถึงโรงละครเพโทฟ พวกคุณลองหาเวลาไปดูบัลเล่ต์แบบดั้งเดิมของพวกเราสิ!ในถุงด้านหลังมีนามบัตรของผม ถ้าพวกคุณอยากได้บัตร ผมช่วยหาที่นั่งเจ๋งๆ ให้พวกคุณได้นะครับ”

“ไม่เป็นไร ขอบคุณครับ จอดหน้าโรงละครได้ไหมครับ?” ลั่วชิวพูดขึ้นทันที “ผมอยากเดินเล่นสักหน่อย”

“ไม่มีปัญหาครับ!”

หลังจากผ่านไปไม่นาน คนขับรถก็บอกลา ด้วยหาลูกค้าที่นี่ยาก จึงขับรถตะบึงกลับไปสนามบิน เห็นได้ชัดว่าเขามองชีวิตในแง่บวกมาก

“นายท่าน อยากเข้าไปดูข้างในหน่อยไหมคะ?” โยวเย่ถามเบาๆ

ลั่วชิวมองวิวทิวทัศน์รอบๆ ก่อนส่ายหน้าพูดว่า “ไม่เป็นไร แค่อยากหาที่ถ่ายรูปสักหน่อย ไว้ปิดปากคนพูดมากบางคน แล้วก็อยากจะแวะที่นี่ด้วย”

คุณสาวใช้เอียงหัวเล็กน้อย ไม่เข้าใจนิดหน่อย…แต่เธอก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว

ลั่วชิวมองไปทั่วลานเล็กๆ ด้านหน้าของโรงละครเพโทฟแห่งนี้ตามอำเภอใจ หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เดินมุ่งตรงไปทางม้านั่งตัวหนึ่งที่อยู่รอบๆ ลาน

ม้านั่งตั้งอยู่รอบบ่อน้ำพุเล็กๆ แห่งหนึ่งเอาไว้ เตรียมไว้สำหรับให้คนที่เดินผ่านได้นั่งพักผ่อนช่วงที่คนไม่เยอะถือว่าเป็นสถานที่พักผ่อนที่ดีทีเดียว อีกทั้งยังมีร่มเงาต้นไม้ด้วย

ลั่วชิวหยุดฝีเท้าที่ด้านหน้าม้านั่งตัวหนึ่ง

ตรงนี้มีผู้หญิงสวมชุดกระโปรงสีขาว และผมยาวสีน้ำตาลแดงคนหนึ่งนั่งอยู่ หญิงสาวนั่งเงียบสงบบนม้านั่งยาวตัวนี้ ราวกับไม่เห็นคนที่เข้ามาใกล้เลย

“ผมนั่งตรงนี้ได้ไหมครับ?”

หญิงสาวนิ่งอึ้งไป เงยหน้าขึ้นมาอย่างเผลอไผล เธอมองชายหนุ่มชาวตะวันออกคนหนึ่งที่ปรากฏตัวตรงหน้าเธอ แล้วยังมีหญิงสาวข้างๆ เขาอีก

“พวกคุณ…”

“พวกเราเป็นนักท่องเที่ยวครับ” ลั่วชิวนั่งลงมา พูดเสียงเบาๆ ว่า “พวกเรามาตามที่ผู้มีปรารถนาเรียกหาครับ”

แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง ส่ายหน้าพลางพูดว่า “แต่ว่าฉันไม่ใช่คน บางทีฉันอาจไม่สมควรจะใช้ชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ เพียงแต่ว่า…”

เธอมองไปข้างหน้าอย่างเหม่อลอย ที่ข้างหน้าบ่อน้ำพุนั้น ชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังมองดูบ่อน้ำพุนี้เงียบๆ เช่นกัน…เหมือนเขาจะยืนอยู่ตรงนี้มานานมากๆ แล้ว

“เป็นห่วงเขาเหรอครับ?”

ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อย แล้วก็ส่ายหน้า เธอมองดูลั่วชิว แล้วถามเสียงเบาๆ ว่า “พวกคุณช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ?”

ลั่วชิวยื่นมือออกมา ผู้หญิงอึ้งไป หลังจากเธอลังเลอยู่ชั่วขณะหนึ่งก็ยื่นมือของตัวเองออกมาช้าๆ นิ้วมือของหญิงสาวแตะกลางฝ่ามือของลั่วชิวเบาๆ

เหมือนกับสัมผัสไฟฟ้าไม่มีผิด หญิงสาวชักมือกลับมาทันที มีแววตาตกใจ “ที่แท้ก็เป็นแบบนี้เอง…บนโลกยังมีการค้าขายแบบนี้อยู่อีกเหรอ?”

เธอส่ายหน้าอีกครั้ง “แต่ว่า ถ้าขนาดฉันก็ยังมีตัวตนอยู่ได้ล่ะก็…”

และในตอนนี้เอง ชายร่างสูงใหญ่ข้างๆ บ่อน้ำพุก็โยนอะไรบางอย่างลงในบ่อน้ำพุนี้ นั่นเป็นของที่ส่องแสงประกายสีเงินใต้แสงอาทิตย์

วินาทีที่เห็นผู้ชายโยนของสิ่งนี้ทิ้งไป ใบหน้าของผู้หญิงก็ฉายแววร้อนรนทันที ดูเหมือนกระวนกระวายใจ

เธอถึงขนาดลุกยืนขึ้น

แต่ทว่าชายร่างสูงใหญ่คนนั้นกลับสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วหมุนตัวจากไป หญิงสาวก้มหน้า ใช้ทั้งสองมือกอดอกของตัวเองแล้วนั่งลง ใบหน้าแสดงความระทมทุกข์

“นั่นคงเป็นของที่คุณฝากฝังไว้ล่ะสิ” ลั่วชิวพูดเสียงแผ่วเบา

ผู้หญิงพยักหน้าเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นั่นเป็นของขวัญที่เขามอบให้ฉันตอนแต่งงาน เพราะฉันเป็นคริสเตียนตั้งแต่เด็ก เขาเลยซื้อสร้อยนั่นให้ฉัน”

ใบหน้าของเธอราวกับอยู่ในห้วงคำนึง “ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เขาบอกกับฉันว่าจะพาฉันมาที่โรงโอเปร่านี้ ความจริงแล้วก็มีหลายครั้งที่พวกเราเฉียดมาที่นี่แล้วผ่านไป มักจะเป็นเพราะเหตุผลต่างๆ นานาที่ไม่ได้ทำสัญญานี้ให้เป็นจริง แล้วต่อมาฉันก็มาไม่ได้แล้ว”

เสียงของเธอเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนแผ่วเบาอย่างประหลาด สีหน้าดูเศร้าเล็กน้อย “แต่เจ้าโง่คนนั้นกลับมาที่นี่ทุกปี”

“แต่ปีหน้าเขาอาจจะไม่กลับมาแล้วใช่ไหม?”ลั่วชิวพยักหน้าพูด

ผู้หญิงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉันไม่โทษเขาเลย เพราะฉันรู้ว่าเขาทำแบบนี้ก็เพื่อฉัน เพียงแต่…”

เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างแน่วแน่ แล้วจ้องมอง ‘นักท่องเที่ยว’ คนนี้ “ได้โปรด ช่วยเขาหน่อยได้ไหม?สิ่งที่เขาแบกรับมันมากเกินไป เขาใช้ชีวิตอยู่ในกรงที่ตัวเองสร้างขึ้น และติดอยู่ในนั้นมาโดยตลอด แล้วไหนจะลูกของเราอีก พวกเขาดูไม่ค่อยสนิทกันเลย”

ลั่วชิวเงียบไปสักพักแล้วพูดว่า “คุณคิดให้ดีนะครับ นอกจากตัวคุณเองแล้ว คุณไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนได้เลย…บางทีคุณอาจจะอยากเลือกอยู่แบบนี้ต่อไปก็ได้”

ผู้หญิงลุกขึ้นยืน ยื่นมือของตัวเองออกมา ยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ทำให้พวกเขามีความสุขได้ไหมคะ?”

ลั่วชิวพับแขนเสื้อขึ้นมา เก็บสร้อยคอขึ้นมาจากกลางบ่อน้ำพุด้วยมือตัวเอง เขาชูขึ้นกระทบกับแสงพระอาทิตย์ สร้อยคอที่เต็มไปด้วยหยดน้ำส่องแสงระยิบระยับยิ่งกว่าเดิม จนถึงกับตาลายเล็กน้อย

“ไม้กางเขนเหรอครับ”

ลั่วชิวใช้ผ้าเช็ดหน้าค่อยๆ เช็ด แล้วหันมามองโยวเย่ ก่อนพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเพิ่งลงจากเครื่องก็ได้ลูกค้าแล้ว”

คุณสาวใช้ดูพอใจ พร้อมพูดอย่างมีความสุขว่า “นายท่าน นายท่านโชคดีมากจริงๆ ค่ะ วิญญาณดวงนี้บริสุทธิ์ยิ่งกว่าที่นายท่านเคยรับมาเลยค่ะ”

“หรือเกี่ยวกับความเชื่อ?” ลั่วชิวพูดเหมือนกำลังใช้ความคิด

โยวเย่รับสร้อยคอมาจากมือลั่วชิว พินิจพิจารณาอย่างละเอียดแล้วถึงตอบเบาๆ “บางทีรอให้แลกเปลี่ยนสำเร็จแล้ว ถึงจะรู้ได้ล่ะมั้งคะ”

ฉับพลันนั้นเอง ชายอายุราวสามสี่สิบปีที่ถือกระเป๋าเอกสารก็เดินเข้ามา

ผู้ชายที่มีใบหน้าของชาวตะวันออก

อากาศร้อนมากทำให้ผมที่ปรกหน้าของผู้ชายคนนี้เปียกชื้นไปด้วยเหงื่อ ฉับพลันชายคนนั้นก็พูดว่า “ทั้งสองท่านครับ ไม่ทราบว่าพวกคุณเป็นคนที่ไหนครับ?”

ใช้ภาษาจีนกลางที่สำเนียงชัดเจน

ไม่ว่าผู้ชายคนนี้มีแผนจะทำอะไร เจ้าของร้านลั่วก็มีแผนของตนแล้วเช่นกัน

ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “คุณครับ พวกเราอยากจะได้รูปสักใบ รบกวนคุณสักหน่อยได้ไหมครับ?”

“แน่นอนครับ! เรื่องเล็กแค่นี้เอง!”

ผู้ชายคนนี้…ยิ้มเหมือนคุณลุงอัธยาศัยดี รับมือถือไปแล้วเดินห่างออกไปหลายก้าว ขยับมือให้สัญญาณตะโกนว่า “อืม เขยิบใกล้กันอีกนิดครับ…อืม ใช้ได้แล้ว ชีส!”