บทที่ 1922 (1)

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1922 กลับสู่ดินแดนเบื้องบนอีกครั้ง (1)

ความจริงเด็กสองคนนั้นอายุมากกว่าเสินเนี่ยนโม่มาก คนหนึ่งอายุแปดปี อีกคนอายุเก้าปี แน่นอนว่าเป็นคนเฉลียวฉลาด แต่ละคนล้วนเป็นเด็กมหัศจรรย์ และแต่ละคนเย่อหยิ่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ตอนแรกพวกเขาไม่ต้องการเล่นกับเสินเนี่ยนโม่เนื่องด้วยอีกฝ่ายยังเด็กเกินไป รูปร่างเตี้ยกว่าพวกเขาหนึ่งศีรษะเต็ม ดวงหน้าน้อยๆ ดูอ่อนเยาว์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้

และที่สำคัญก็คือ ไอ้ตัวเล็กนี้รูปงามกว่าพวกเขายิ่งนัก!

ตัวเด็กหญิงเองก็สะสวย ทุกคนล้วนชมนางว่างดงามปานเทพธิดาตัวน้อย ผลคือเมื่อยืนด้วยกันกับเสินเนี่ยนโม่ ดวงหน้าน้อยๆ ที่งดงามของนางก็ถูกเปรียบเทียบเสียจนกลายเป็นสวะไปเลย…

ดังนั้นแรกเริ่มเด็กหญิงจึงไม่อยากเล่นกับเขา รู้สึกว่าที่เขามีหน้ามีตาขนาดนี้ก็เพราะมีบิดามารดาที่ร้ายกาจที่สุด และเติบโตมาด้วยอำนาจก็เท่านั้น

สิ่งที่พวกเขาคาดไม่ถึงก็คือ หลังจากผ่านงานเลี้ยงวันเกิด รูปร่างของเสินเนี่ยนโม่ก็สูงขึ้นมาแล้ว!

ถึงแม้จะยังไม่สูงเท่าพวกเขา ทว่าก็ดูแทบจะไม่ต่างกันแล้ว

สิ่งนี้ทำให้พวกเขาฉงนสงสัยยิ่งนัก และเริ่มที่จะเข้าหาเขา…

แน่นอน พวกเขาเข้าหาเขาด้วยความคิดที่ว่าตัวเองเป็นพี่ชายใหญ่และพี่หญิงใหญ่ พยายามจะให้เขาเรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่…

เสินเนี่ยนโม่ไม่เคยเล่นกับคนวัยเดียวกัน อันที่จริงเขาก็สงสัย เมื่อเด็กทั้งสองคนมาเล่นกับเขา เขาจึงค่อนข้างสุขใจ และเล่นกับพวกเขาอย่างมีความสุข

ผลคือหลังจากเล่นไปได้สักพัก เขารู้สึกว่าไม่ได้มีทัศนะเดียวกันกับพวกเขา สิ่งที่เขาเข้าใจ พวกเขาล้วนไม่เข้าใจ!

เสินเนี่ยนโม่มีความรู้กว้างขวางและลึกซึ้ง เป็นสิ่งที่พวกเขาไขว่คว้าไม่ถึง

หลังจากการถกเถียงกันคราหนึ่ง เด็กทั้งสองคนก็ถูกโจมตีอย่างหนัก

เด็กทั้งสองไม่ยินดีที่จะถูกเปรียบเทียบกับเขาอีกต่อไป เด็กชายคนนั้นจึงท้าประลองยุทธ์ให้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย

เสินเนี่ยนโม่ตกลง ทว่าเขาก็มีเงื่อนไขของตัวเอง ให้ตัดสินความอาวุโสด้วยความสามารถ แต่ไม่ใช่ด้วยอายุ…

พลังยุทธ์ของเด็กสองคนก็ชำนาญการดีแล้ว ย่อมตกลงเป็นธรรมดา

ดังนั้นเด็กทั้งสามจึงเริ่มเปิดฉากปะทะอันดุเดือดสามยกในซอกมุมที่ผู้ใหญ่มองไม่เห็น

ยกแรกเสินเนี่ยนโม่ซัดเด็กชายจนใบหน้าบวมช้ำเลือดช้ำหนอง

ยกที่สองเสินเนี่ยนโม่ซัดเด็กหญิงเสียจนไปไม่เป็น

ยกที่สามเด็กหญิงเด็กชายปะทะกัน ยังคงถูกเสินเนี่ยนโม่สยบไม่มีชิ้นดี

หลังจากนั้นไม่นาน เด็กชายกับเด็กหญิงจึงยอมรับเสินเนี่ยนโม่เป็นศิษย์พี่ด้วยความเต็มใจ

ยามอาจารย์อวี่หังเจินเหรินของพวกเขาพาเด็กสามคนกลับภูเขาพร้อมกัน ก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าลูกศิษย์ทั้งสองที่ดื้อรั้นและหัวแข็งล้อมอยู่รอบกายเสินเนี่ยนโม่ประหนึ่งดอกทานตะวัน ร้องเรียกศิษย์พี่ไม่ขาดปาก ทำให้อวี่หังเจินเหรินตกตะลึงประหนึ่งโดนสายฟ้าฟาด!

ในที่สุดภารกิจที่พัวพันมาสองร้อยปีก็สำเร็จราบรื่น กู้ซีจิ่วรู้สึกตัวเบาเมื่อไม่มีภารกิจ เธอเอ่ยถามเสียงลึกลับในหัวว่ายังมีภารกิจอื่นอีกหรือไม่ เสียงลึกลับนั้นนิ่งเงียบอยู่นาน ขณะที่กู้ซีจิ่วคิดว่าอีกฝ่ายจะไม่ตอบกลับ เสียงนั้นตอบกลับมาสี่คำ ‘ตามยถากรรม’

กู้ซีจิ่วโล่งใจไปเปราะหนึ่ง รีบเอ่ยถามคำถามที่ค้างคาใจตัวเองมาสองร้อยปี ‘เทพศักดิ์สิทธิ์คนก่อนคือหวงถูใช่ไหม? ตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?’

เสียงนั้นนิ่งเงียบไปอีกครู่หนึ่ง ‘หวงถูดับขันธ์แล้ว ไม่มีหวงถูบนโลกใบนี้อีกต่อไป’

กู้ซีจิ่วนิ่งอึ้ง หัวใจเธอราวกับถูกค้อนเหล็กอันใหญ่ยักษ์ทุบตีอย่างรุนแรง!

เธอนั่งอยู่บนต้นไม้ไม่พูดไม่จาอยู่นาน บุรุษที่มักจะปรากฏกายขึ้นในภาพลวงตาของเธอดับสูญไปโดยสมบูรณ์แล้วจริงๆ

เดิมทีเธอยังกอดความหวังอันริบหรี่ คาดหวังว่าหลังจากคนผู้นั้นดับขันธ์แล้วจะมาดินแดนเบื้องบน ต่อให้ไม่ได้กลายเป็นช่างเซียน ก็อาจเป็นผู้เร้นกายอะไรสักอย่าง เพียงแต่เขาก็สูญเสียความทรงจำเหมือนช่างเซียนคนอื่นที่ดับขันธ์ได้สำเร็จ ดังนั้นจึงไม่ได้ตามหาเธออีกต่อไป…

ตอนแรกเสียงในหัวของเธอเพียงแค่ให้เธอทำภารกิจให้สำเร็จก่อนถึงจะบอกความจริง เธอยังคิดว่ามีความหวังเสียอีก

นึกไม่ถึงว่าเพียรพยายามมาสองร้อยปี ท้ายที่สุดแล้วกลับต้องผิดหวัง!

ที่แท้คนผู้นั้นก็จากไปตลอดกาลแล้ว ไม่มีทางหวนกลับคืนมาได้อีก…

เสี้ยวนาทีนี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกเหมือนเท้าข้างหนึ่งเหยียบย่ำความว่างเปล่า

เธอนั่งอยู่บนต้นไม้นานสองนาน นานจนตอนที่หยกนภาเกือบคิดว่าเธอจะกลายเป็นฟอสซิลไปแล้ว ในที่สุดเธอก็เคลื่อนไหว ‘เสี่ยวชาง พวกเรากลับดินแดนเบื้องล่างกันเถิด’

หยกนภาก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ในใจมันยังคงหวังว่าหวงถูจะยังมีชีวิตอยู่ เช่นนั้นเจ้านายตนกับเขาก็ไม่แน่ว่าอาจมีโอกาสพบกันใหม่อีกครั้ง แต่ยามนี้กลับสิ้นหวังโดยสมบูรณ์

เจ้านายไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับหวงถูยังคิดคำนึงถึงเขาเช่นนี้ หากให้นางฟื้นฟูความทรงจำที่เคยมี เกรงว่านางจะสิ้นหวังจนไม่มีแม้แต่ความกล้าจะมีชีวิตอยู่

เดิมทีกู้ซีจิ่วยังอยู่ที่ดินแดนเบื้องบนได้อีกเกือบสองเดือน ทว่ายามนี้เธอไม่มีจิตใจนั้นแล้ว

แม้เธอจะใช้ชีวิตอยู่ดินแดนเบื้องบนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เธอก็มักจะมีความรู้สึกของผู้มาเยือน ไม่ได้มีความรู้สึกว่าเป็นเจ้าถิ่น จึงทำความรู้จักคนบางคนเพื่อให้ภารกิจสำเร็จลุล่วงเท่านั้น ความจริงเธอไม่มีเพื่อนที่นี่เลย

เพื่อนที่พอคบหาพูดคุยได้ก็มีแค่หลงซือเย่กับอวิ๋นเยียนหลี ทว่าหลังจากหลงซือเย่รับตำแหน่งหัวหน้ากองหลงก็มีงานการต้องทำมากมาย ส่วนอวิ๋นเยียนหลีก็หายสาบสูญ เธอจึงไม่ได้อาลัยอาวรณ์อะไรที่นี่สักเท่าใด

เธอติดต่อหลงซือเย่ผ่านยันต์ถ่ายทอดเสียง บอกเขาว่าตัวเองจะกลับดินแดนเบื้องล่างแล้ว

หลงซือเย่แปลกใจ ถามนางว่าเหตุใดจึงรีบกลับถึงเพียงนี้?

กู้ซีจิ่วอธิบายเหตุผลสั้นๆ บอกว่าตัวเองทำภารกิจลุล่วงแล้ว ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ต่อ นอกจากนี้เธอยังมีเรื่องต้องกลับไปสะสาง ช่วงนี้ดินแดนเบื้องล่างค่อนข้างอลหม่านวุ่นวาย เธอจำเป็นต้องไปจัดการด้วยตัวเอง

หลงซือเย่กล่าวต่อ “ซีจิ่ว รอเจ้ากลับมาในอีกครึ่งปี ข้าจะเลี้ยงต้อนรับเจ้า!”

กู้ซีจิ่วอมยิ้ม เธอไม่คิดที่จะกลับขึ้นมาใหม่ในระยะเวลาอันสั้น

“ครึ่งปีหลังข้าไม่ได้วางแผนจะมาอีก” กู้ซีจิ่วไม่อยากให้หลงซือเย่รอเปล่า จึงบอกความคิดของตัวเอง “ไม่แน่อีกหลายปีก็จะไม่ขึ้นมาด้วย”

หลงซือเย่แน่นิ่งอยู่นาน ก่อนจะเอ่ยถามหนึ่งประโยค “ซีจิ่ว เจ้าไม่ต้องการเพื่อนคนนี้อย่างข้าแล้วหรือ?”

กู้ซีจิ่วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “จะเป็นไปได้อย่างไร? เจ้าจะเป็นเพื่อนของข้าตลอดไป”

“เช่นนั้นข้าจะรอเจ้าขึ้นมา!”

กู้ซีจิ่วกล่าว “…ค่อยว่ากันเถิด”

เธอก็ไม่มั่นใจว่าต่อไปตัวเองจะขึ้นมาอีกหรือไม่ อย่างไรเสียเธอก็ไม่มีอะไรต้องเป็นกังวลที่นี่แล้ว หลงซือเย่มีงานมีการของตัวเอง ไม่จำเป็นต้องให้เธอช่วยเหลืออะไรอีก

อันที่จริงช่วงนี้เขาทำงานหนักมาก ฟังจากปากลูกศิษย์ของเขา ทุกวันหลังจากเขาทำงานเสร็จก็จะฝึกฝนอย่างเต็มที่ มีเวลาพักผ่อนน้อยมาก พยายามอย่างหนักเสมือนคนบ้าบิ่น

กู้ซีจิ่วไม่เคยรู้มาก่อนว่าหลงซือเย่จะกระตือรือร้นถึงเพียงนี้ นึกถึงตอนนั้นที่เขาเป็นหลงซีกลับช่างเฉื่อยชา ไม่เคยเห็นอำนาจลาภยศอยู่ในสายตาเลย

บางทีเขาอาจจะไม่อยากอยู่เบื้องล่างผู้ใดกระมัง?

หลงซือเย่เป็นคนที่ทะนงตนยิ่ง คนประเภทนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนล้วนเปรียบเหมือนเหล็กหมาดที่โดดเด่น ไม่นานก็เผยคมแหลมที่เป็นเอกลักษณ์ของตนออกมาได้

ด้วยคุณสมบัติของเขาบวกกับความเพียรพยายาม ไม่แน่เขาอาจจะฝึกฝนจนถึงขั้นช่างเซียนได้ในเวลาไม่ถึงหมื่นปี และกลายเป็นระดับสูงได้

คนเรามีเป้าหมายในชีวิตนี่ดีจริงๆ!

ความจริงกู้ซีจิ่วอิจฉาเขาอยู่บ้าง คนมีเป้าหมายในชีวิตจึงจะไม่รู้สึกถึงวันคืนอันยาวนาน…

ไม่เหมือนเธอ เพิ่งมีชีวิตอยู่มาสองร้อยปีก็รู้สึกเบื่อหน่ายแล้ว

ตอนนี้ภารกิจลุล่วงแล้ว เธอยิ่งตามหาเป้าหมายในชีวิตไม่เจอ…

กู้ซีจิ่วส่ายหน้า เธอคร้านจะใคร่ครวญสิ่งที่มีอยู่และไม่มีอยู่เหล่านี้ ตรงกลับดินแดนเบื้องล่างทันที

ที่จริงหลงซือเย่กำลังฝึกฝนอยู่ตอนที่คุยกับนาง และฝึกฝนถึงจุดสำคัญแล้วด้วย

————————————-