บทที่ 23 ตื่นขึ้น
หลังผละจากเยว่หลงซามา ซูเฉินก็ยังมุ่งหน้าต่อ
เขาข้ามฝั่งถนนแล้วเดินเข้าตรอกยาวไปหยุดอยู่หน้าประตูทองแดง
เขาคว้าห่วงเหล็กบนบานประตู เคาะเบา ๆ สามครั้ง หยุด จากนั้นเคาะซ้ำจังหวะเดิมอีกสามครั้ง และกำลังจะลงมืออีกคราเมื่อได้ยินเสียงประตูเปิดออก แล้วใบหน้าน่ารักของเยี่ยเม่ยก็พลันเผยให้เห็นจากด้านในนั้น
ซูเฉินชะงักไป “ข้ายังส่งสัญญาณเคาะลับไม่เสร็จเลย”
“สัญญาณเคาะลับอะไร ? ข้าเห็นเจ้าจากข้างบนแล้ว เข้ามาเลย เข้ามา ! ไม่ต้องมาส่งสัญญาณลับอะไรแล้ว น่ารำคาญจริง”
นางคว้าซูเฉินดึงเข้าห้องไปทันที
ฉือหมิงเฟิงกับพวกกำลังถกเรื่องแผนการกันอยู่ด้านใน
เมื่อเห็นซูเฉินเข้ามา ฉือหมิงเฟิงจึงเอ่ยขึ้น “ทำไมท่านถึงมาได้ ?”
“ข้าออกมาเพื่อเลี่ยงไม่ให้ใครสนใจเกินไป ตอนนี้จูเซียนเหยาทำอะไรข้าไม่ได้เป็นการชั่วคราว” ซูเฉินว่า จากนั้นอธิบายเรื่องที่คิดไว้ให้ฟัง
ฉือหมิงเฟิงพยักหน้ารับฟัง “นับเป็นปัญหาแน่นอน แม้จะหลบได้คราหนึ่ง แต่หลบไปตลอดไม่ได้”
“แต่ให้กังวลมากไปก็ไม่ได้เช่นกัน พอข้ากลับไป ข้าจะพยายามถ่วงเวลาให้นานที่สุดโดยใช้การตั้งค่ายกลเป็นข้ออ้าง” ซูเฉินว่าแล้วก็แบมือ
ฉือหมิงเฟิงรู้ว่าอีกฝ่ายต้องการอะไร ก่อนจะเกิดการลอบสังหารขึ้น ซูเฉินขอให้ฉือหมิงเฟิงเค้นเอาค่ายกลจากโหยวเทียนหย่างมาเพิ่มเติม
ฉือหมิงเฟิงส่งภาพร่างค่ายกลให้ “วิธีนี้ใช้ไม่ได้ในระยะยาว”
ซูเฉินเก็บมันไป “ทุกวันที่ข้าถ่วงเวลาไว้ได้นับว่ามีค่า สิ่งสำคัญตอนนี้คือการพาตัวเฮ่อซื่อออกมา ข้าวางแผนจะดำเนินการลอบสังหารอีกครั้งในอีกสักสองสามวันนี้ ให้คนของท่านทำทีเป็นพวกมือสังหารกลุ่มเดิมเข้าโจมตี ข้าจะฉวยโอกาสช่วงโกลาหลช่วยเฮ่อซื่อ เช่นนั้นถึงแผนล่ม แต่ก็ยังช่วยคนได้”
ฉือหมิงเฟิงคิดครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า “หากอย่างอื่นไม่ได้ผลก็ใช้แผนนั้น”
คนทั้งสองยังพูดคุยเรื่องแผนการเพิ่มเติมอีกพักหนึ่ง
ซูเฉินนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ก่อนถาม “ใช่แล้ว ช่วงนี้โหยวเทียนหย่างเป็นอย่างไรบ้าง ?”
“ดีมาก หากไม่กินก็นอน หากไม่นอนก็กิน ไร้เรื่องกังวลใจ” ฉือหมิงเฟิงหัวเราะ แล้วยกมือขึ้นกดปุ่มหนึ่ง ประตูใกล้ ๆ เปิดออก เผยให้เห็นภาพโหยวเทียนหย่างที่กำลังนอนกรนคร่อกอยู่บนเตียง ดูท่าจะแข็งแรงดีไม่น้อย
“เขาหลับลงด้วยหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะ
“เท่านั้นไม่พอ เขายังเป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน นอนอย่างน้อย 5 ชั่วยาม พอตื่นก็เอาแต่กิน เหมือนหมูก็มิปาน !” พวกอารามนิรันดร์คนหนึ่งเอ่ยเสียงฮึดฮัด
“หลับมากเช่นนั้นเลย ?” กระทั่งซูเฉินยังชะงักไป “ตอนแรกเขาไม่ได้เป็นเช่นนี้นี่”
“ใช่แล้ว ใครจะไปรู้ว่าทำไมถึงได้นอนมากมายเช่นนี้” อีกคนเอ่ย
“นั่นสิ” ซูเฉินครุ่นคิดก่อนกล่าวเสริม “หากมีความเปลี่ยนแปลงย่อมหมายความว่ากำลังมีบางอย่างเกิดขึ้น พวกเจ้าระวังอีกสักหน่อย อย่าให้เขาหนีไปได้”
“ไม่ต้องห่วงไปซูเฉิน เจ้านี้มันหนีไปไหนไม่ได้หรอก”
“หากถามข้า ข้าว่าฆ่าทิ้งเสียดีกว่า ง่ายกว่าแยะ”
“ใช่แล้ว ๆ! อย่างไรก็ได้ข้อมูลที่ต้องการมาหมดแล้วด้วย”
คนทั้งหลายเริ่มสนทนากันขึ้นมา
อย่างไรก็เป็นคนจากกลุ่มคนชั่วร้าย แม้จะเป็นพวกที่ใจอ่อนโยนที่สุด แต่ก็สังหารคนได้ง่ายดาย ข้อแตกต่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดที่สุดระหว่างพวกเขากับพวกหัวรุนแรงจัดคงเป็นเรื่องที่พวกเขาไม่สังหารคนเพื่อความสนุก
หลังอธิบายเรื่องราวแล้ว ซูเฉินก็เตรียมกลับ เขายังต้องไปซื้อของที่ภาพร่างนั่นบอกอยู่อีก
“ให้ข้าไปส่งเถอะ” ฉือหมิงเฟิงเอ่ย
“ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับข้าหรอก”
“ไม่ใช่เรื่องสุภาพอะไร แต่ข้าอยากไปดูว่าจะมีที่ไหนที่เราจะย้ายฐานไปได้บ้าง หากการลอบสังหารเริ่มขึ้นเมื่อไหร่ เผ่าเกล็ดทรายได้เกรี้ยวกราดอีกแน่ หากเราไม่เปลี่ยนที่ก็คงเป็นไปไม่ได้”
“เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน” ซูเฉินหัวเราะ
คนทั้งสองจึงเดินออกจากตรอก ระหว่างเดินก็พูดคุยกันไปด้วย
นัยน์ตาข่งเฉิงฉายแววเย็นชาขณะมองทั้งสองเดินออกไป “อาฉี บอกซีหั่วให้เตรียมพร้อมเริ่มภารกิจได้”
“ตอนนี้เลย ?” ฉีเซินอวิ๋นลังเลเล็กน้อย “ซูเฉินอยู่ในปราสาทไหลน่าตะวันตก กำลังทำภารกิจอยู่ หากเราลงมือโจมตี ภารกิจก็จะล้มเหลวนะ”
ข่งเฉิงคำรามเสียงเย็น “มันภารกิจของฉือหมิงเฟิง ไม่ใช่ของข้า หากล้มเหลวขึ้นมาก็อาจไม่เลวกับพี่เขยนัก อย่างไรก็เถอะ เรารู้เรื่องคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือจากคำบอกเล่าเท่านั้น หากตระกูลจูยังหาไม่เจอ แล้วฉือหมิงเฟิงคิดว่าตนจะเจอหรือ ? ข้าขอยอมทิ้งผลประโยชน์ลวงโลกนี่เพื่อถือโอกาสล้างแค้นยังดีกว่า !”
ฉีเซินอวิ๋นพูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้ารับคำ
เขาเดินสวนทางออกไป
ในเวลาเดียวกันนั้น
ภายในห้องที่ขังโหยวเทียนหย่างไว้
ร่างของโหยวเทียนหย่างเริ่มสั่นสะท้าน
ร่างกายแต่เดิมที่ซีดขาวพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง เหงื่อกาฬแตกพลั่ก หากมีใครเอามืออังหน้าผากก็จะพบว่ามันร้อนจนน่าตกใจ
โหยวเทียนหย่างยังปล่อยไอน้ำออกมาต่อ รูปร่างแปลก ๆ เริ่มปรากฏขึ้นภายใน เสียงกู่ก้องร้องตะโกนเริ่มดังขึ้นมาจากไอหมอกนั้น
ในที่สุดเสียงจากไอหมอกก็เรียกความสนใจจากคนข้างนอกได้ คนอารามนิรันดร์คนหนึ่งผลักประตูเข้ามา “ทำบ้าอะไรของเจ้า ?”
หากแต่เมื่อเห็นโหยวเทียนหย่างเขาก็ชะงักไป “เกิดอะไรขึ้น ?”
เขาเดินเข้าไปหาโหยวเทียนหย่างก่อนพลิกร่างอีกฝ่ายหงายหน้าขึ้น
โหยวเทียนหย่างพลันลืมตาขึ้น ในดวงตาราวกับมีน้ำวนมืดมิดหมุนวน ทำเอาคนจ้องอึ้งไป พริบตาต่อมาโหยวเทียนหย่างก็ลุกขึ้นมา ก่อนจะกัดเข้าที่ลำคอคนจากอารามนิรันดร์ผู้นั้น
“อ๊า-” เขายังไม่ทันได้กรีดร้อง เสียงก็ขาดหายไปแล้ว
เมื่อคนอื่น ๆ ได้ยินเสียงดังก็รีบรุดเข้ามา เห็นโหยวเทียนหย่างกับบุรุษอีกคนหนึ่งกอดกันแน่นราวกับเป็นคู่รักก็มิปาน
หากแต่พริบตาต่อมามันก็กลายเป็นฉากนองเลือด
โหยวเทียนหย่างค่อย ๆ เงยหน้าขึ้น เผยให้เห็นใบหน้าและริมฝีปากสีแดงฉาน
“แย่แล้ว !” ทุกคนร้องขึ้นพร้อมกัน
โหยวเทียนหย่างหัวเราะคิก เงาภาพสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นเบื้องหลัง มันแหงนหน้าคำรามเสียงใส่ทุกคนในนั้น
“โบร๋วววว !”
แรงกดดันมหาศาลก่อกำเนิดขึ้นทันที มันหมุนวนไปทั่วห้อง กลายเป็นบ่อพลังงานขนาดใหญ่ คนจากอารามนิรันดร์หลบไปทัน ถูกบ่อพลังดูดเข้าไปทันที
ในเวลาเดียวกันนั้น โหยวเทียนหย่างก็กระโจนร่างขึ้น ปล่อยท่าฝ่ามือเข้าใส่คนผู้หนึ่ง
มันเป็นท่วงท่าที่เรียบง่ายนัก แต่กลับเจือกลิ่นอายดุดันกวาดล้างทุกสิ่งอย่าง มันปะทะเข้ากับร่างคน หักกระดูกทุกท่อนในร่าง สังหารคนในพริบตา
โหยวเทียนหย่างไม่หยุดเท่านั้น รุดหน้าเข้าใส่คนต่อไปด้วยแรงมหาศาล
เขารู้สถานการณ์ตนตอนนี้ดียิ่ง แม้สายเลือดของเขาจะเพิ่งตื่นขึ้น แต่ก็ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น ไม่อาจสังหารทุกคนให้สิ้นไปได้ ดังนั้นจุดมุ่งหมายในตอนนี้ของเขาคือรีบหาทางหนีโดยเร็ว !
ดังนั้นหลังจากโจมตีแล้วก็รีบมุ่งหน้าออกไปทันที
“อย่าให้หนีไปได้ !” คนจากอารามนิรันดร์รู้ว่าหากปล่อยโหยวเทียนหย่างหนีไปได้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นอกห้องมีคนสองคนยืนเฝ้าอยู่ ทั้งสองก็วิ่งเข้ามาเช่นกันเมื่อเกิดเสียงเอะอะขึ้น
เคราะห์ร้ายที่พวกเขาช้าไปก้าวหนึ่ง อีกทั้งยังมีปฏิกิริยาตอบสนองช้าไปเช่นกัน
โหยวเทียนหย่างพุ่งเข้าใส่ราวกับกระทิงเกรี้ยวกราด พุ่งทะลุกำแพงออกมาจนฝุ่นตลบคลุ้ง เสียงดังผัวะดังก้องขึ้น ก่อนร่างคนเฝ้ายามทั้งสองจะกระเด็นไป โหยวเทียนหย่างรีบพุ่งตัวผ่านไปทันที ภาพจากสายเลือดมังกรกุนที่เบื้องหลังค่อย ๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ
เขาอาจจะขี้กลัวไปสักหน่อย แต่ก็ไม่ได้โง่
แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่ลืมก่อความวุ่นวายทิ้งไว้ หากจูเซียนเหยาได้เห็น นางคงรู้ว่าเกิดเรื่องกับเขาแน่ และซูเฉินก็จะแสร้งตบตาเป็นเขาได้ยากขึ้นกว่าเดิม