บทที่ 24 พายุพลันเกิด
“โบร๋ววว !”
เสียงคำรามลั่นดังสนั่นขึ้น
ภายในปราสาทไหลน่าตะวันตก
จูเซียนเหยารู้สึกใจสั่นยามได้ยินเสียงนั้น
จากนั้นนางก็ลงมือทำบางอย่าง
นางลุกขึ้นยืน กระโจนออกนอกหน้าต่างไป เหินอยู่ในอากาศจนกระทั่งเท้าแตะยอดกำแพง ดวงตานางมีแสงกระเพื่อมเป็นจังหวะดูน่าประหลาด จากนั้นกวาดตามองไปไกล ๆ
นางเห็นสัตว์อสูรท่าทางดุร้ายกำลังตีฝุ่นเบื้องหลังจนคลุ้งตลบ
“มังกรกุน ! เป็นมังกรกุน ! เขาตื่นขึ้นตอนนี้เสียได้” จูเซียนเหยาร้องเสียงประหลาดใจขึ้น
“คุณหนู !” จ้าวจิ่งเหวินเองก็วิ่งเข้ามาพร้อมกับปาเลี่ยหยวน ข่าเล่อ พร้อมทั้งเผ่าเกล็ดทรายและสมาชิกตระกูลจูชั้นสูงอีกหลายคน เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็เห็นเสียงเอะอะที่โหยวเทียนหย่างสำแดงออกมา
“เทียนหย่าง ! เกิดเรื่องขึ้นกับเขา” จูเซียนเหยาร้องขึ้น
กลุ่มฝุ่นควันและเสียงร้องเกรี้ยวกราดจากจักรพรรดิอสูรหมายความว่าโหยวเทียนหย่างปล่อยพลังจนถึงขีดสุดและกำลังวิ่งไปด้วยความเร็วสูง ปกติแล้วจะหมายความได้อย่างเดียว นั่นคือกำลังวิ่งหนีให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
“ไปช่วยเทียนหย่าง !” จูเซียนเหยาตะโกน
“ขอรับ !” ทุกคนตอบพร้อมกัน
พวกเขาไม่รอให้ประตูปราสาทเปิด กระโจนข้ามกำแพงไปแล้วพุ่งเข้าเมืองไปทันที
ซูเฉินและฉือหมิงเฟิงเองก็ได้ยินเสียงเอะอะเช่นกัน
“เกิดอะไรขึ้น ?” ทั้งสองหันไปพร้อมกัน
ที่ด้านหลังพวกเขามีก้อนฝุ่นหนากำลังฟุ้งตลบเป็นคลื่นอยู่
เหมือนว่ามันจะมุ่งหน้ามาจากที่พักของพวกเขาด้วย
เสียงคำรามลั่นนั้นทรงพลังมากพอจะกดดันใจคน กระทั่งฉือหมิงเฟิงยังรู้สึกใจสะท้านไปเล็กน้อย
“มีบางอย่างไม่ปกติ” เขาเอ่ย
แม้จะไม่มั่นใจว่าเสียงดังนั่นจะมาจากที่พักหรือไม่ ฉือหมิงเฟิงก็สัมผัสได้ว่ามีภัยกำลังใกล้เข้ามา
“ท่านกลับไปดูเถอะ ข้าจะกลับปราสาทไหลน่าตะวันตกก่อน” ซูเฉินเอ่ยเสียงเด็ดขาด “หากเกิดเรื่องก็รีบบอกข้าทันที”
“เข้าใจแล้ว !” ฉือหมิงเฟิงพยักหน้ารับ
พวกเขาไม่คิดถกเถียงให้เสียเวลา ฉือหมิงเฟิงวิ่งตรงเข้าไปยังต้นเสียง ส่วนซูเฉินรีบเดินทางกลับปราสาท
กลุ่มฝุ่นยังคงฟุ้งตลบอยู่ไกล ๆ มันกำลังมุ่งหน้าไปยังปราสาทไหลน่าตะวันตกด้วยความเร็วสูง เงาร่างไร้กายภายในก้อนฝุ่นกำลังเข้าใกล้ซูเฉินมาเรื่อย ๆ
และเมื่อมันเข้ามาใกล้ ซูเฉินก็พอจะเห็นภาพมายาขนาดใหญ่ ๆ จาง ๆ อยู่กลางกลุ่มฝุ่น
“นั่นมัน……” ซูเฉินเบิกตากว้าง จ้องภาพตรงหน้าเขม็ง
“ซูเฉิน !” ฉือหมิงเฟิงตะโกนขึ้น “เป็นโหยวเทียนหย่าง ! สายเลือดเขาตื่นขึ้นแล้ว !”
“ข้าเห็นแล้ว” ซูเฉินตอบเสียงทุ้ม
ใช่ เขาเห็นมันแล้ว
แม้เขาจะไม่เคยเห็นมังกรกุนพุงพลุ้ยมาก่อน แต่มันมีพุงพลุ้ยและมีหัวเป็นมังกรหน้าเหี้ยม ทั้งยังปล่อยกลิ่นอายดุดัน ทั้งหมดทั้งมวลต่างบ่งบอกว่ามันเป็นจักรพรรดิอสูรกายมังกรกุนพุงพลุ้ยอันน่าเกรงขามนั่นเอง
ร่างกายเช่นนั้นทำให้มันไม่อาจเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว ทว่ามันเป็นอสูรที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ หากเป็นเรื่องพละกำลังแล้ว มันเหนือกว่าจักรพรรดิอสูรกายจิ้งจอกร้อยเล่ห์อยู่เล็กน้อยด้วยซ้ำ
และตอนนี้โหยวเทียนหย่างก็ปลุกสายเลือดนั้นขึ้นมาได้แล้ว
“ไอ้ขยะพวกนั้นปล่อยมันหนีมาได้ ! ตอนนี้เกิดเรื่องเอะอะใหญ่โต คนในปราสาทต้องสังเกตเห็นแล้วเป็นแน่ ซูเฉิน ท่านกลับไปไม่ได้แล้ว แผนเราล่ม พวกเราจะถอยทันที !” ฉือหมิงเฟิงตะโกนลั่น
“ท่านยอมแพ้ง่ายดายเช่นนี้ตลอดเลยหรือ ?” ซูเฉินถามขึ้น
“เช่นนั้นท่านมีความคิดอะไรอีกเล่า ?” คำของซูเฉินทำเอาฉือหมิงเฟิงแทบเป็นบ้า กระทั่งถึงตอนนี้อีกฝ่ายก็ยังไม่คิดยอมแพ้
“ตอนนี้ยัง แต่ข้ากำลังคิดอยู่ ข้าไม่ชินกับการยอมแพ้จนกว่าจะถึงอึดใจสุดท้าย” ซูเฉินพูดพลางจ้องมองกลุ่มควันที่กำลังใกล้เข้ามา
มันเร็วมาก !
ซูเฉินรู้ว่าเวลาของเขาหมดลงแล้ว แม้เขาจะไม่อยาก แต่ดูท่าแผนจะล่มแล้วจริง ๆ
น่าเสียดายเฮ่อซื่อ เขาอดทนมาตั้งมาก แต่สุดท้ายซูเฉินก็ช่วยเขาออกมาไม่ได้
เขาเหลือบมองรอบกาย กำลังคิดจะถอย แต่กลับหยุดฝีเท้าทันใด
ไม่ห่างออกไปนักมีคนสวมหมวกไม้ไผ่ปีกกว้างยืนอยู่
เฝิงซีหั่ว ?
ซูเฉินใจสะท้าน เขาตวัดสายตาลงมองรองเท้าหญ้าสานที่อีกฝ่ายสวมอยู่ จากนั้นก็หันตัวกลับไปราวกับไม่เห็นอะไร หากแต่ในใจเริ่มมีความกังวลก่อกำเนิดขึ้นแล้ว
เขารู้ว่าเฝิงซีหั่วต้องมาจัดการเขาเป็นแน่
และพริบตาต่อมา ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาในสมอง
เขาเดินไปด้านหน้า ส่วนคนสวมหมวกไม้ไผ่ก็เดินตามเขาไปไม่ห่าง
ซูเฉินเร่งฝีเท้า คนที่ตามมาก็เร่งฝีเท้าตามเช่นกัน
ในตอนนั้นกลุ่มก้อนฝุ่นเข้ามาใกล้มากแล้ว ซูเฉินยังเร่งความเร็วต่อไป และเมื่อก้อนฝุ่นพุ่งเข้าตรอกเล็กไป ซูเฉินก็พลันพุ่งพรวดเข้าตรอกจากอีกด้านไปเช่นกัน
ในตอนที่พุ่งตัวออกไป ร่างซูเฉินก็ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง
ก่อนจะเข้าตรอก เขายังหน้าตาเหมือนโหยวเทียนหย่าง แต่เมื่อเข้าไปแล้ว เขาก็เปลี่ยนร่างเป็นคนธรรมดา จากนั้นกลิ้งไปอีกด้านหนึ่งแล้วหนีเข้าบ้านหลังหนึ่งไป
เมื่อซูเฉินเร่งความเร็วขึ้น เฝิงซีหั่วก็รู้ว่าตนตกที่นั่งลำบากทันที
เป้าหมายรู้ตัวเขาและกำลังคิดจะหลบหนี !
หากเป้าหมายเป็นคนด่านสู่พิสดาร เมื่อรู้ว่าถูกเปิดโปงก็คงรีบหนีไปแล้ว
ทว่าซูเฉินอยู่เพียงด่านทะลวงลมปราณ เขาไม่คิดว่าตนจะแพ้หากต้องประมือกันขึ้นมา
อีกทั้งเขายังเชื่อมั่นในความรวดเร็วของตนเองอีกด้วย !
ไม่เคยมีใครเคยจับเข้าได้มาก่อน
แม้เขาจะลงมือพลาด แต่ก็ยังหนีไปได้
ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเล ติดตามซูเฉินต่อไป
เขาเร่งความเร็วจนสุด พุ่งเข้าตรอกนั่นไปด้วยความไวดั่งแสง
เขารวดเร็วมากจนย่นระยะห่างลงในพริบตา แม้ซูเฉินจะพุ่งเข้ามาก่อน แต่ก็เพิ่งจะหายวับไปกับตาเฝิงซีหั่วเมื่อครู่นี้เอง คลาดกันเพียงพริบตาเท่านั้น
หากแต่เขาก็ไม่ทันคิดว่าแค่พริบตาจะสามารถเปลี่ยนเรื่องราวได้
เขาพบเพียงตรอกเล็กที่ว่างเปล่าเท่านั้น
ในนั้นไม่มีอะไรอยู่สักนิด เฝิงซีหั่วจึงนิ่งเงียบไป
ไปไหนแล้ว ?
พริบตาต่อมา เขาก็เห็นคนร่างยักษ์กำลังพุ่งเข้ามาราวกับกระทิงคลั่ง
“ซูเฉิน ?” เมื่อเห็นใบหน้าอวบอ้วนตัวใหญ่เข้า เฝิงซีหั่วก็หัวเราะ
แต่หากเขามีเวลาคิดให้ตกสักนิด เขาจะรู้ว่า ‘ซูเฉิน’ คนนี้แปลกนัก ประการแรก ตำแหน่งไม่ถูก พริบตาเดียวเขาจะไปอยู่ไกลเช่นนั้นได้หรือ ? ซูเฉินรวดเร็วกว่าเขาหรือไร ? ทั้งกลิ่นอายก็ยังแปลกตาไปอย่างสิ้นเชิง กลุ่มก้อนฝุ่นที่คลุ้งตลบตามหลังมา ทั้งยังภาพมายาสายเลือดพวกนี้ไม่น่าเป็นของที่ซูเฉินสร้างขึ้นได้ สุดท้ายคือทิศทางนั้นผิดมหันต์ ซูเฉินรู้ว่าถูกติดตาม แต่แทนที่จะวิ่งหนี กลับทำท่าราวกับจะสู้สุดกำลังแทนรึ ? แม้จะอยากสู้สุดกำลัง แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องวิ่งหนีเสียเร็วไปก่อนไม่ใช่หรือ ?
ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ดี ‘ซูเฉิน’ คนนี้ก็มีเรื่องแปลกเยอะมากมายนัก
หากแต่เฝิงซีหั่วไม่ทันสังเกตุสักข้อ
นั่นก็เพราะเขาไม่มีเวลา
เขาไม่มีเวลามานั่งวิเคราะห์สถานการณ์
ตอนที่เห็นโหยวเทียนหย่าง เป้าหมายเขาก็อยู่ไกลนัก แต่พริบตาเดียวก็มุดหน้าเข้ามาครึ่งทางแล้ว อีกพริบตาหนึ่งโหยวเทียนหย่างก็กระแทกร่างเข้ามาแล้ว
แรงพุ่งของโหยวเทียนหย่างทั้งเร็วทั้งแรง ราวกับจะทำลายล้างทุกอย่างที่ขวางทาง กระทั่งเฝิงซีหั่วยังไร้ทางเลือกต้องโจมตีออกไป ไม่เช่นนั้นจะได้ถูกเป้าหมายทับเสียแบบราบไปก่อน
เขาเชื่อว่านี่คงจะเป็นกลยุทธ์ของศัตรู เป็นวิชาพิเศษที่จะใช้ได้เมื่อมีระยะห่างระดับหนึ่งกระมัง ซูเฉินคงจะรอให้เขาติดกับอยู่
ดังนั้นเขาจึงโจมตีออกไป
เขาเงื้อดาบขึ้น !
ตัวดาบส่องแสงกระจ่างออกมา
ดาบสลายจันทร์ !