ภาคที่ 4 บทที่ 25 ตัวแทน

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 25 ตัวแทน

การที่โหยวเทียนหย่างหนีออกมาได้เช่นนี้ทำให้เขามีความสุขมาก

มันเป็นความสุขและความตื่นเต้นจากการค้นพบพลังใหม่ที่เขาเพิ่งจะเคยมี

แม้ตอนนี้เขากำลังหนีเอาชีวิตรอด แต่ก็รู้สึกดีที่พลังในร่างได้รับการปลดปล่อย

และในขณะเดียวกันเขาก็ใช้พลังจำนวนมากไปกับการวิ่งหนี

เพื่ออิสรภาพและเพื่อโอกาสมีชีวิตรอดของเขาเอง

เขามัวแต่ตื่นเต้นยินดีจนไม่เห็นว่าตรงหน้าพลันมีคนปรากฏขึ้นขวางทางเขาไว้คนหนึ่ง

เมื่อเห็นท่าดาบซัดเข้ามาเขาจึงไม่ทันได้ตั้งตัว

เขาไม่มีเวลาชะลอฝีเท้า ได้แต่พุ่งเข้าไปเอาตัวกระแทกดาบเบื้องหน้า

วิ่งเข้าไปเอาตัวรับดาบที่กำลังเสือกเข้ามา โอบรับไอสังหารที่ส่งมาพร้อมกับท่าดาบนั้นเต็มที่

พริบตานั้นเอง ในหัวของโหยวเทียนหย่างพลันมีความคิดหนึ่งแล่นขึ้นมา

นี่ข้ากำลังจะตายงั้นหรือ ?

ตลกแล้ว ! ข้าเพิ่งจะปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้ แล้วตอนนี้กลับจะถูกสังหารแล้วหรือ

เขาคิดยังไม่ทันจบ ก็เห็นว่าดาบนั้นหยุดอยู่กลางทาง

ท่าดาบหยุดชะงักลงราวกับมีใครมาหยุดมันไว้

จังหวะที่ชะงักไปนั้น โหยวเทียนหย่างจึงได้โอกาส

เขาพลันได้สติ

เมื่อดาบกำลังจะปะทะร่าง พลันมีคลื่นพลังมหาศาลระเบิดออกจากร่างโหยวเทียนหย่าง กล้ามเนื้อทุกมัดในร่างหดตัวลงพร้อมกัน ทำให้ผิวหนังแข็งดั่งเหล็กกล้า

ในเวลาเดียวกันนั้น ดาบก็แทงเข้าร่างโหยวเทียนหย่าง ทะลวงเข้าไปในเนื้อกายเขา

เคร้ง เคร้ง !

มันเป็นเสียงราวกับเหล็กถูกบดขยี้ก็มิปาน

ถัดมา คลื่นพลังรุนแรงก็ระเบิดอยู่ภายในร่างโหยวเทียนหย่าง

ตู้ม !

จนโหยวเทียนหย่างร่างกระเด็นไปไกล

แต่เมื่อร่างกระเด็นลอยไป เขาก็อ้าปากคำรามลั่น คลื่นพลังหนึ่งพุ่งออกจากปาก ปะทะเข้ากับเฝิงซีหั่วที่พลันร้องเสียงเจ็บปวดออกมา

เขากระอักเลือดอึกหนึ่งแล้วล่าถอยไป

แต่ในตอนที่กำลังถอยนั้น ประตูบานหนึ่งในบ้านแถบนั้นก็ถูกทำลาย พร้อมกับดาบที่เสือกเข้าแทงช่วงท้องเฝิงซีหั่ว

การโจมตีครั้งนี้ทั้งเร็วทั้งโหดเหี้ยมจนเฝิงซีหั่วคล้ายกับไม่อาจหลบทัน แต่เขากลับร้องเสียงประหลาดออกมา ก่อนร่างจะบิดเป็นท่าพิกล จากนั้นก็เหินขึ้นด้านบนไปทันใด

ดาบหั่นภูผาไล่ตามเขาไปด้านบน อย่างไรก็ต้องได้เลือดมาล้างดาบ

เฝิงซีหั่วหลบได้อีกครั้ง เขาก้าวเท้ากลางอากาศหลายครา ส่งผลให้ดาบหั่นภูผาที่เกือบแยกร่างเขาเป็นสองส่วนเฉียดร่างเขาไปเพียงนิด ทว่าพริบตาต่อมาก็มีเปลวเพลิงสีดำล้อมกายเฝิงซีหั่วไว้แล้วค่อย ๆ บีบเข้ามา

เฝิงซีหั่วเปลี่ยนทิศอย่างรวดเร็วเป็นครั้งที่สาม ครั้งนี้เขาพุ่งลงพื้นไป เปลวดำเผาผมเขาไปเล็กน้อย แต่ไม่ถูกตัวเขา

เมื่อร่วงลงมาแล้วเขาก็กลิ้งตัวไปทันที จากนั้นชักดาบออกมา ตวัดมันคราหนึ่งใส่คู่ต่อสู้ พร้อมกับที่ถอยลงไปด้วย

แม้จะเป็นท่วงท่าเรียบง่าย แต่ก็เป็นท่าที่เขาภูมิใจมาก ตอนนี้เขาใช้วิชามากมายติด ๆ กันเช่นนี้ เขาจึงไม่อาจเรียกใช้พวกมันได้อีกสักระยะหนึ่ง ดังนั้นเขาตวัดดาบครานี้ออกไป ไม่ใช่เพื่อหมายโจมตีร้ายแรง แต่เพื่อบีบให้ศัตรูถอยไปต่างหาก

หากแต่จุดแข็งของการลอบโจมตี นั่นคือการที่สามารถเตรียมพร้อมมาได้แล้วนั่นเอง

สามารถตระเตรียมทุกอย่างไว้ล่วงหน้าได้เป็นอย่างดี !

ซูเฉินพุ่งเข้าใส่ไม่หยุดฝีเท้า ทำให้ดาบของเฝิงซีหั่วปะทะเข้าร่างทันที

ดาบสลายจันทร์ทำลายผู้พิทักษ์แห่งเม็ก เจาะผ่านเกราะหนักลึกลับ แต่มาหยุดลงตรงชุดคลุมเส้นใยปะการังและเกราะรบเหล็กกล้า

ปลายดาบหั่นภูผาตวัดลงมาอีกครั้ง

ทว่าเฝิงซีหั่วยังมีอุบายซ่อนอยู่อีก

แสงสีแดงเปล่งออกจากร่าง สกัดดาบหั่นภูผาไว้ได้ แม้มันจะสามารถใช้ปกป้องการโจมตีได้เพียงครั้งหนึ่ง แต่เฝิงซีหั่วก็ยังสามารถรั้งมันไว้เพื่อรับอีกหนึ่งกระบวนท่าได้

จากนั้นเฝิงซีหั่วถอยไปอีกครั้ง

เขารวดเร็วจนไม่น่าเชื่อ ซูเฉินก้าวได้หนึ่งก้าว แต่เขากลับก้าวไปสามก้าวแล้ว

ระยะห่างระหว่างทั้งสองจึงเริ่มไกลขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

หากแต่ชั่วอึดใจต่อมา ซูเฉินก็เบิกตากว้างแล้วปล่อยแสงสว่างจ้าออกมา เฝิงซีหั่วชะงักค้างไปในทันใด

ซูเฉินฉวยจังหวะนี้พุ่งเข้าไปอีกครั้ง เงื้อดาบหั่นภูผาลงมาอีกครา

ฟ้าว !

คมดาบพลาดไปเพียงนิดเท่านั้น

ร่างของเฝิงซีหั่วสลายไปกลายเป็นจุดแสงนับล้าน ในเวลาเดียวกันนั้น เงาร่างอีกหนึ่งก็กระโจนขึ้น ข้ามกำแพงไปยังตรอกอีกฝั่ง คือเฝิงซีหั่วนั่นเอง

คนผู้นี้มีวิชาหลบหนีมากมายจนไม่น่าเชื่อ กระทั่งตกอยู่ในสถานการณ์เมื่อครู่ยังหลบหนีไปได้

เมื่อเห็นว่าเฝิงซีหั่วใกล้จะหนีออกจากตรอกไปได้ ภาพร่างซูเฉินก็ดูเลือนรางจนหายไป สักพักก็มาปรากฏตัวขึ้นอยู่ข้าง ๆ เฝิงซีหั่ว ก่อนจะออกท่าดาบอีกครั้ง

ครั้งนี้เฝิงซีหั่วไม่อาจมีทางหลบได้อีก

“อ๊ากกกก !”

สิ้นเสียงร้องลั่น แขนข้างหนึ่งก็กระเด็นไป

หยาดเลือดสาดกระเซ็นไปทั่ว

เฝิงซีหั่วไม่ชะลอฝีเท้า แต่กลับเร่งความเร็วขึ้น ราวกับความเจ็บปวดยิ่งทำให้พลังเขาพุ่งพรวดขึ้นมา

“ข้าจะจำเจ้าไว้ !” เขาร้องลั่นพลางสับฝีเท้าวิ่งออกจากตรอก ก่อนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

“ไม่ต้องจำข้าหรอก” ซูเฉินเงื้อดาบหั่นภูผาขึ้น ตัวดาบพลันขยายใหญ่ขึ้นแล้วทะลวงผ่านกำแพงใกล้ ๆ เข้าไป “เพราะเจ้าจะตายแล้ว”

ฉัวะ !

ศีรษะกับร่างของเฝิงซีหั่วถูกแยกออกเป็นสองส่วน ร่างกายท่อนล่างก้าวไปด้านหน้าสองก้าว ก่อนจะล้มลงกับพื้น

ซูเฉินเอื้อมมือไปผลักกำแพงเล็กน้อย มันก็ถล่มลงมา

ก่อนเขาจะเดินข้ามซากกำแพงมา

“เจ้า…… รู้ได้อย่างไร…… ว่า…… ข้า……” เฝิงซีหั่วสำลักเลือดพลางเค้นคำออกมา

ซูเฉินตอบ “เจ้าไม่น่าเอ่ยคำออกมา หูข้าดีมาก พอเจ้าพูด ข้าก็รู้ว่าเจ้ายังไปไหนไม่ไกล แต่พอออกจากตรอกไปได้ เจ้ากลับวิ่งสวนทางเดิมแล้วยืนหลบอยู่อีกฝั่งของกำแพงแทน มีทางนี้เท่านั้นที่เจ้าจะสามารถหายตัวไปหลังออกจากตรอกได้ในทันที…… อย่าลืมว่าข้าก็ใช้กลยุทธ์เดียวกันกับเจ้า”

“ข้า…… นี่มัน…… ประมาท…… เกินไป !” ศีรษะเฝิงซีหั่วห้อยลง ก่อนจะสิ้นใจลงในที่สุด

ซูเฉินจ้องศพก่อนเอ่ยขึ้น “ถึงจะวิ่งสุดฝีเท้า ข้าก็ไม่ปล่อยเจ้าไปอยู่แล้ว”

เขามีเรือเหาะจักรพรรดิมังกรวารีหลากอยู่ มีหรือจะปล่อยให้เฝิงซีหั่วหนีไปได้ ?

หากแต่ความสามารถในการเอาตัวรอดจากสถานการณ์หมิ่นเหม่ของคนผู้นี้ล้ำลึกนัก ไม่แปลกที่เยว่หลงซาและคนอื่น ๆ ไม่อาจทำอะไรเขาได้

เขาหันไปอีกด้าน เห็นโหยวเทียนหย่างยังนอนนิ่งอยู่บนพื้น

ซูเฉินวิ่งเข้าไปตรวจดูอาการอีกฝ่าย ยืนยันแล้วว่าโหยวเทียนหย่างยังไม่ตาย แม้จะเกือบถึงชีวิตก็ตาม

ซูเฉินหัวเราะ “โชคดีที่เจ้ามาพบข้าเข้า แต่เจ้าก็โชคร้ายเช่นกัน”

เขาหยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมาแล้วกรอกใส่ปากโหยวเทียนหย่าง

หลังจากนั้นเขาก็ยืนคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยิบดาบขึ้นมายัดใส่มืออีกฝ่าย เสร็จแล้วก็ทำการเคลื่อนย้ายร่างเฝิงซีหั่วไปอีกด้าน ทำให้เหมือนกับทั้งสองคนสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง เสร็จสิ้นแล้วเขาก็หมุนตัวเดินจากไป

และเพราะว่ารีบนัก เขาจึงทำพลาดไปหลายจุด แต่จูเซียนเหยาและคนอื่น ๆ ก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ คงจะไม่สังเกตเห็นกระมัง

ซูเฉินเพิ่งจะจากไป ยามที่จูเซียนเหยาวิ่งเข้ามา

เมื่อเห็นโหยวเทียนหย่างนอนอยู่บนพื้น นางก็ร้องขึ้น “เทียนหย่าง !”

นางวิ่งเข้าไปช้อนร่างเขาขึ้นมากอดแน่น

“นายน้อย !” ปาเลี่ยหยวนร้องลั่นแล้วพุ่งเข้ามา “ใครเป็นคนทำนายน้อยกัน ? บอกข้า !”

โชคร้ายที่โหยวเทียนหย่างหมดสติอยู่ เขาจะตอบได้หรือ ?

จูเซียนเหยาผลักเขาออกไป “หากเจ้าเขย่าร่างเขาเช่นนั้นก็ตายกันพอดี ! จิ่งเหวิน รีบพาเขากลับ ตอนนี้มีแค่ผู้เฒ่าเหยี่ยเท่านั้นที่จะช่วยเขาได้”

จ้าวจิ่งเหวินเดินเข้ามาอุ้มร่างโหยวเทียนหย่างขึ้น

“รู้หรือไม่ว่าฝีมือใคร ?” ข่าเล่อถามพลางเดินเข้ามา

“เรายังไม่มั่นใจ” จูเซียนเหยาเหลือบมองเฝิงซีหั่ว แต่เคราะห์ร้ายที่ซูเฉินทุบหน้าเขาเสียเยิน ทำให้ไม่อาจรู้ตัวตนคนได้ “น่าจะเกี่ยวกับกลุ่มคนที่คิดลอบสังหารข้าเมื่อก่อนหน้า”

ข่าเล่อเอ่ยเสียงทะมึน “ไม่ว่าพวกมันจะมาจากที่ใด ก็ต้องชดใช้ที่กล้ามาก่อเรื่องในอาณาเขตของเผ่าเกล็ดทรายเช่นนี้ ให้เป็นหน้าที่ข้าเองคุณหนู ข้าจะหาตัวคนบัดซบที่ลงมือเอง”

“เช่นนั้นก็ตามแต่ท่าน”

จูเซียนเหยามองโหยวเทียนหย่างด้วยใบหน้าที่ระบายไปด้วยความเป็นกังวล

หากก่อนหน้านางเคยสงสัยโหยวเทียนหย่าง ตอนนี้ความสงสัยนั้นก็มลายหายไปสิ้น อันเนื่องจากพลังจากสายเลือดที่ยังหลงเหลือให้สัมผัสได้ของเขานั่นเอง

ตอนนี้นางสนใจเพียงว่าจะช่วยชีวิตเขาได้หรือไม่เท่านั้น