ภาคที่ 4 บทที่ 26 ตาปลาปลอมปนไข่มุก

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 26 ตาปลาปลอมปนไข่มุก

จูเซียนเหยารีบกลับมาพร้อมกับโหยวเทียนหย่างด้วยใบหน้าเคร่งขรึมนัก

ตรอกนี้ไม่ไกลจากปราสาทมากนัก แต่ระยะทางสั้น ๆ นี้จะต้องเต็มไปด้วยอันตรายมากหลายเป็นแน่

พวกนางเพิ่งจะออกจากตรอกเล็กมาได้เมื่อการโจมตีแรกปรากฏขึ้น

ฟ้าว !

เส้นแสงสีจางราวหิมะพุ่งเข้าใส่จูเซียนเหยา

ในเวลาเดียวกันนั้น เสียงโลหะแหวกผ่านอากาศก็ดังแว่วมา เป็นศรดอกหนึ่งที่กำลังพุ่งเข้ามาทางจูเซียนเหยา

“เป็นพวกมัน !” จูเซียนเหยาร้องตะโกน

เป็นพวกคนที่พยายามลอบสังหารจูเซียนเหยาเมื่อก่อนหน้าที่อยู่ในปราสาท

เป็นไปอย่างที่คิด พวกมันยังไม่ไปไหน

พวกมันยังไม่ยอมรามือ !

และไม่ผิดคาดที่มันเลือกโจมตีจังหวะนี้ ในจังหวะสำคัญนี้ พวกมันกะสังหารนางให้สิ้นไปทีเดียว !

ดาบนั้นตวัดเข้าใส่แขนนางพร้อมกับไอสังหารหนั่นแน่น

หากถูกร่างนางเข้า นางก็คงไม่รอด

แต่ถึงกระนั้น จูเซียนเหยาก็ยังหยุดอยู่กับที่

นางยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังอีกด้านหนึ่ง

คมดาบหยุดชะงักลงทันทีราวกับเวลาถูกหยุดลง

กลางอากาศเริ่มเกิดรอยแตกขึ้นมา

จากนั้นมันก็ลามออกไปเรื่อย ๆ ราวกับใยแมงมุม

คมดาบนั้นเยือกเย็น ดุเดือด เฉียบคม และแม่นยำมาก

หากแต่คมดาบทรงพลังนี้กลับหยุดชะงักราวกับถูกแรงที่มองไม่เห็นบีบคั้น มันทำได้เพียงส่องประกายอยู่ตรงหน้าจูเซียนเหยาเท่านั้น

จูเซียนเหยายังเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าลงมือ 2 ครั้งแล้ว คิดหรือว่าข้าจะไม่เตรียมตัว ?”

จากนั้นนางก็ใช้ท่านิ้วอีกครั้งหนึ่ง

มันทะลุทะลวงใยแมงมุมไป ส่งผลให้เกิดแสงสว่างจ้าระเบิดออกมา

ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ !

มือสังหารที่ซ่อนอยู่ในเงามืดส่งเสียงกรีดร้องขึ้น ฉับพลันเสียงก็ขาดหายไป ร่างคนผู้หนึ่งกระเด็นออกมา โลหิตสาดกระเซ็นไปรอบทิศ

ตั้งแต่ต้นจนจบ จูเซียนเหยาไม่สนใจศรที่พุ่งมาทางนางแม้แต่น้อย

ศรดอกนี้พุ่งมาจากด้านหน้า

มันถูกปล่อยออกมาภายหลัง แต่กลับมาถึงก่อนท่าดาบที่ตวัดออกมาเป็นอันดับแรกเสียอีก

แต่มันกลับไม่อาจได้ทำหน้าที่ของมัน

เป็นเพราะฝีมือจ้าวจิ่งเหวิน

เมื่อศรพุ่งเข้ามา จ้าวจิ่งเหวินก็เข้าสกัดมันไว้ เสือกหอกแยกเมฆาออกไป ปลายหอกปะทะเข้ากับศรอย่างแม่นยำ

แต่เมื่อศรกำลังเข้าปะทะหอก ก็มีศรดอกเล็กพุ่งออกมาจากศรดอกแรก เล็งเข้าไปที่หน้าผากจ้าวจิ่งเหวิน

จ้าวจิ่งเหวินไปสนใจ ยังคงเสือกหอกไปด้านหน้า ศรดอกใหญ่สลายไปแล้ว แต่ศรดอกเล็กยังคงพุ่งต่อไป

จ้าวจิ่งเหวินอ้าปาก ใช้ฟันกัดรับศรนั้นไว้

จากนั้นเขาก็พุ่งเข้าไป

พวกคนที่ลอบโจมตียิงศรออกมาที่ระยะ 40 จั้ง นับว่าไกลพอสมควร แต่จ้าวจิ่งเหวินกระโจนเพียง 3 ครั้ง รอบแรกรุดหน้าไป 5 จั้ง ครั้งที่สอง 15 จั้ง ครั้งที่สามก็ถึงตัวคนยิงศร ก่อนหอกยาวในมือเขาพลันเล็งเข้าที่ศีรษะอีกฝ่ายทันที

มือธนูรีบถอยไปทันที ในมือโก่งคันศร ยิงศรอีกดอกออกมา จ้าวจิ่งเหวินจึงอ้าปากพ่นศรดอกเล็กออกมาปะทะกับศรดอกนั้น ก่อนมือธนูถอยออกไปอีกโดยมีจ้าวจิ่งเหวินไล่ตามไปติด ๆ เสือกหอกแยกเมฆาเข้าไปไม่ยั้ง รวดเร็วดั่งสายฟ้าแลบ ทิ้งภาพค้างตาไว้นับพันครา แต่ละครั้งแกร่งกล้ายิ่งกว่าเก่า จนกระทั่งคันศรแตกออก บนอกมือธนูเกิดรูสีแดงฉานเจ็ดแปดรู เลือดไหลนองออกมา

ในเวลาเดียวกันนั้น ข่าเล่อกับปาเลี่ยหยวนก็ออกท่า พวกเขาขนาบเข้ามาจากซ้ายและขวาตามลำดับ

มือสังหารอีกนับสิบกระโจนออกมาจากหลังกำแพงผ่านประตูบ้างหน้าต่างบ้าง พุ่งเข้าใส่กลุ่มคนกลุ่มเล็ก ฝีมือคนพวกนี้ธรรมดา แต่กลับใจกล้าไม่น้อย ด้วยอาวุธในมือต่างเจือยาพิษ แม้จะเป็นแผลเพียงนิดก็สามารถใช้พิษสังหารศัตรูได้

หากแต่คนตระกูลจูและเผ่าเกล็ดทรายก็เตรียมตัวมาดี

เกล็ดทรายเริ่มหมุนวนไปในอากาศ ทหารเผ่าเกล็ดทรายทั้งหลายออกแรงควบคุมพวกมันไม่หยุด ก่อเกิดเป็นเกราะทรายที่ทำให้มองเห็นได้ยากขึ้นทั้งยังลดความเร็วของศัตรูลงได้ขึ้นมา

ปาเลี่ยหยวนส่งเสียงคำรามลั่น ออกหมัดทั้งสองกระแทกพื้น เปลวเพลิงพลันโหมขึ้นมาแล้วพุ่งเข้าใส่มือสังหารที่มุ่งหน้าเข้ามา

ทหารตระกูลจูก็เข้าร่วมการต่อสู้ ช่วยกันพวกมือสังหารไม่ให้เข้าใกล้

เมื่อคิดดูแล้ว จูเซียนเหยาจึงพึมพำขึ้นมา “ดาบสายฟ้ากับศรไร้ใจ ? มาจากตำหนักไร้ทางกลับสินะ”

ตำหนักไร้ทางกลับนั้นเป็นกลุ่มมือสังหารเลื่องชื่อ คล้ายกับอารามนิรันดร์ ต่างกันที่อารามนิรันดร์นั้นพบได้ทั่วไปในแคว้นต่าง ๆ ของมนุษย์ ส่วนตำหนักไร้ทางกลับนั้นมีเพียงในอาณาจักรหลงซาง ไม่ว่าจะเป็นฐานะหรืออิทธิพล พวกเขาก็ด้อยกว่าอารามนิรันดร์นัก

เห็นได้ชัดว่ามือสังหารจากตำหนักไร้ทางกลับจะดื่มยาชนิดพิเศษก่อนต่อสู้ หากแพ้ก็จะตาย มีแต่มือสังหารชั้นสูงเท่านั้นที่จะถอยกลับไปได้แม้จะทำภารกิจไม่สำเร็จก็ตาม

มือสังหารถือดาบคงจะเป็นหนึ่งในพวกชั้นสูง เมื่อเห็นว่าลงมือไม่สำเร็จก็ถอยไปทันที

จ้าวจิ่งเหวินอยากไล่ตามไป แต่ก็พลันเห็นว่ามีก้อนดำพุ่งเข้ามาระเบิดใส่พวกเขา ก่อนจะเกิดควันดำคลุ้งโขมงไปทั่ว

“อย่าไล่ตามไป !” จูเซียนเหยาตะโกนบอก “ทุกคนระวังตัวด้วย !”

ไม่นาน เสียงการต่อสู้ก็ค่อย ๆ เบาลง เมื่อควันดำสลายไป ก็เห็นว่าที่พื้นมีซากศพกระจายอยู่ทั่ว

ส่วนมากเป็นนักฆ่าจากตำหนักไร้ทางกลับ

ภารกิจที่แท้จริงของคนพวกนี้ไม่ใช่การสังหาร แต่เพื่อปกป้องให้มือสังหารชั้นสูงทั้งสองล่าถอยไปได้อย่างปลอดภัย เมื่อทั้งสองหนีไปได้แล้วพวกเขาจึงจะถอยออกไปได้ แม้การต่อสู้จะเพียงชั่วประเดี๋ยว แต่ก็ยังมีคนตายไม่น้อย

“ทุกคนเป็นอะไรหรือไม่ ?” จูเซียนเหยาถามขึ้น

“พวกเราไม่เป็นไรขอรับ แต่หยวนกังบาดเจ็บที่ขา” ทหารคนหนึ่งตอบ

จูเซียนเหยาเดินเข้าไปหาทหารนามหยวนกัง เมื่อตรวจดูขาเขาแล้วก็เอ่ยขึ้น “แผลไม่หนักเท่าไหร่ เฝิงอวิ่นช่วยพาเขากลับปราสาทด้วย”

หยวนกังพยายามลุกขึ้นแล้วเอ่ยคำ “ขอบคุณคุณหนูมากขอรับที่เป็นห่วง แต่ข้าเดินกลับเองได้ ไม่ต้องให้ใครคอยช่วยพยุง”

ว่าแล้วก็ผลักเฝิงอวิ่นที่เข้ามาช่วยพยุงออก

เฝิงอวิ่นเอ่ยเสียงจนใจ “สหายเอ๋ย จะฝืนไปไย ? อย่าให้ศักดิ์ศรีขอเจ้าทำคนอื่นเขาช้ากันไปหมดเลยเถอะ”

หยวนกังเอ่ย “ข้ารู้ พวกเจ้าไปเถอะ ไม่ต้องรอข้า ข้าเพียงขาบาดเจ็บเท่านั้น ถึงจะนานหน่อยแต่อย่างไรข้าก็กลับไปเองได้”

“เจ้าว่าอะไรนะ ? พวกเราเป็นพี่น้องกัน จะทิ้งเจ้าไว้ที่นี่ได้อย่างไร ?”

หากแต่หยวนกังหน้าทะมึนทันที “พูดอะไรของเจ้า ? ทุกคนมาที่นี่เพื่อปกป้องคุณหนู ความปลอดภัยของนางมาเป็นอันดับแรก ชีวิตข้ามีค่าอะไร ? ทำไมต้องให้ข้าเป็นภาระ ? ตอนนี้คุณชายโหยวก็บาดเจ็บ ทั้งยังมีคนลอบสังหารคุณหนู พวกเจ้ามัวแต่มาทำอะไรที่นี่ ? ข้าเป็นเพียงทหารชั้นเลวคนหนึ่ง พวกมันจะสังหารข้าไปเพื่ออะไร ?”

ทุกคนได้ยินแล้วก็ชะงักไป แต่สุดท้ายก็ฟังแล้วเห็นว่ามีเหตุผล จึงเหลือบมองจูเซียนเหยา

จูเซียนเหยาเห็นหยวนกังมีท่าทีเด็ดขาดก็รู้ว่านางคงกล่อมเขาไม่ได้ จึงหยักหน้ารับไป “ก็ได้ พวกเราจะไปกันก่อน พาเทียนหย่างไปหาผู้เฒ่าเหยี่ย”

ดังนั้นทุกคนจึงมุ่งหน้ากลับปราสาท

หยวนกังมองทุกคนที่เดินทางจากไป สีหน้าพลันเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด

เขาเดินถอยหลังไปไม่กี่ก้าว จากนั้นเข้าไปยังร้านขายเกี๊ยวที่ถูกทำลายไปกว่าครึ่ง หยิบแผ่นไม้ที่วางทับกันอยู่ขึ้นมา ภายใต้พวกมันคือหยวนกังที่นอนหมดสติอยู่

ส่วนคนที่ยืนอยู่คือซูเฉิน

ซูเฉินพูดใส่เครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิด “ของอยู่ใต้พื้นร้านเกี๊ยว ช่วยดูแลของให้ข้าดี ๆ เล่า อย่าทำให้ข้าต้องลำบากอีก”

“พวกข้ากำลังไป” ฉือหมิงเฟิงตอบกลับ “ท่านนี่โชคดีไม่น้อยที่หาจังหวะกลับเข้าไปได้หลังจากออกมาแล้วครั้งหนึ่ง”

“ท่านต่างหากที่โชคดี เดิมทีข้าคิดจะปล่อยใช้ชีวิตคนของท่านปกปิดร่องรอยตนเองแล้ว” ซูเฉินหัวเราะ