ภาคที่ 4 บทที่ 27 เนรเทศ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 27 เนรเทศ

พอตอนที่ซูเฉินกลับมาถึงปราสาทไหลน่าตะวันตก ผู้เฒ่าเหยี่ยก็มาดูอาการโหยวเทียนหย่างแล้ว

ผู้เฒ่าเหยี่ยเป็นชายแก่ที่ติดตามจูเซียนเหยามาที่นี่ แม้จะดูชรามากแล้ว แต่ก็เป็นหมอฝีมือดีไม่น้อย

แต่ไม่ว่าจะฝีมือดีเพียงไหน ก็ไม่อาจถอนฤทธิ์ยาระงับวิญญาณที่ซูเฉินป้อนให้โหยวเทียนหย่างได้ ยาระงับวิญญาณนั้นเป็นยาที่คิดค้นโดยซูเฉิน ผลคือสามารถรักษาแก่นพลังชีวิตไว้ได้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ผลข้างเคียงคือจะตกอยู่ในอาการหมดสติ ใช้เวลา 3 วันจึงจะฟื้นคืนสติ มันไม่ใช่ยาที่ใช้ในการรักษา แต่เพื่อยื้อเวลาออกไปอีก 3 วันเท่านั้น หลังจากพ้น 3 วัน สิ่งที่จะเกิดก็จะยังเกิด ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์นัก ซูเฉินคิดค้นยานี่ขึ้นโดยบังเอิญตอนกำลังค้นคว้าเกี่ยวกับสายเลือด …ซึ่งรอบกายเขาก็มักมี ‘สิ่งประดิษฐ์ล้มเหลว’ เช่นนี้อยู่อีกมาก

หลังจากถูกหวังซานหยูลอบโจมตี ซูเฉินก็พกยาพิเศษติดตัวไว้ตลอด เห็นได้ชัดว่าตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์มันแล้ว

ด้วยเวลา 3 วันก็มากพอให้ซูเฉินทำเรื่องได้มากมายแล้ว

และเพราะทุกคนมัวแต่ห่วงโหยวเทียนหย่าง ซูเฉินจึงมุ่งหน้าไปยังคุกใต้ดินทันที

ด้านในคุก เฮ่อซื่อกำลังนั่งซึมอยู่ คนของจ้าวจิ่งเหวินยังไม่เลิกเค้นคอเขา ในขณะที่ซูเฉินกำลังพยายามช่วยชีวิตเขา เขาก็ยังถูกทรมานอยู่เรื่อย ๆ เช่นกัน

เมื่อเห็นซูเฉิน เฮ่อซื่อก็กะพริบตาครั้งหนึ่ง ก่อนจะกลับไปเหม่อดังเดิม

ซูเฉินเดินเข้ามา “ข้าเอง”

เฮ่อซื่อได้ยินเสียงนั้นแล้วสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นเหยียดตัวตรงขึ้น “ทำไมถึงเปลี่ยนหน้าเล่า ?”

“อย่าเอ่ยเลย โหยวเทียนหย่างหนีไปได้” ซูเฉินอธิบายเรื่องราวก่อนหน้าให้เขาฟัง

เมื่อได้ยินว่าสายเลือดของโหยวเทียนหย่างตื่นขึ้นแล้ว เฮ่อซื่อก็ชะงักไป “น่ารำคาญใจจริง สายเลือดมาตื่นขึ้นในจังหวะนี้หรือ ?”

“ก็มีข้อดีอยู่นะ ซึ่งก็คือข้อสงสัยเรื่องโหยวเทียนหย่างหายไปแล้ว” ซูเฉินว่า

เฮ่อซื่อเข้าใจที่เขาจะสื่อ “ท่านคิดจะเป็นโหยวเทียนหย่างอีกครั้งหรือ ?”

“เป็นโหยวเทียนหย่างดีกว่าเป็นทหารเยอะ ข้าได้รู้ความลับมากมาย หากเราหมายจะหาคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ จะอยู่ห่างกายจูเซียนเหยามากไม่ได้” ซูเฉินพูดแล้วก็หัวเราะเบา ๆ

“แล้วท่านคิดจะทำอย่างไร ?”

“ต้องให้เจ้าช่วย……”

————————————————

เมืองปราสาทเก่า

ภายในบ้านหลังหนึ่ง ใกล้เขตตะวันออกของเมือง ฉือหมิงเฟิงจ้องฉีเซินอวิ๋นด้วยใบหน้าขรึม

“ตอนสายเลือดโหยวเทียนหย่างตื่น เจ้าไปอยู่ที่ไหน ?”

ฉีเซินอวิ๋นตอบ “ข้าออกไปเดินเล่น”

“ออกไปเดินเล่น ? เพราะเจ้าออกไปเดินเล่น โหยวเทียนหย่างจึงหนีออกไปได้ กระทั่งสังหารคนของเราตั้งหลายคน !” ฉือหมิงเฟิงตวาดขึ้น

ฉีเซินอวิ๋นหน้าคว่ำ “ข้าไม่ใช่ลูกน้องท่าน ข้ามาเพื่อปกป้องข่งเฉิงเท่านั้น เรื่องที่เกิดขึ้นกับคนของท่านไม่เกี่ยวกับข้า”

“งั้นหรือ ? เช่นนั้นจะอธิบายเรื่องคนที่หมายสังหารซูเฉินอย่างไร ? คิดว่าข้าจำเขาไม่ได้หรือ ? เป็นเฝิงซีหั่ว ! เฝิงซีหั่วมันมาทำอะไรที่นี่ ? กระทั่งคิดสังหารซูเฉินอีก”

“เป้าหมายเขาคือโหยวเทียนหย่าง” ข่งเฉิงขัดขึ้น

“บัดซบ !” ฉือหมิงเฟิงสบถ “คิดว่าข้าโง่หรือ ?”

ข่งเฉิงดึงคางท่าทางหยิ่งยโส “ฉือหมิงเฟิง อย่ามาเล่นตลกกับข้า แม้เฝิงซีหั่วลอบสังหารซูเฉินจริง แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้า ? เจ้าเอาอะไรมาป้ายสีว่าเป็นข้า ? หากไม่มีหลักฐานก็อย่าพูดพล่ามเถอะ !”

ฉือหมิงเฟิงกำลังจะเอ่ยปาก พลันรู้สึกอะไรบางอย่างเข้ามา เขาเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าอยู่นี่ก่อน ข้าจะออกไปสักหน่อย ข้ากลับมาค่อยมาคุยกันต่อ”

พูดจบเขาก็เดินออกจากห้องไป

เมื่อออกไปแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็เปิดเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดขึ้น “อะไรหรือ ?”

“ข้าต้องการความช่วยเหลือ……”

ชั่วอึดใจต่อมา ฉือหมิงเฟิงก็ตัดการติดต่อไป

เขากลับมาในห้อง เมื่อมองหน้าข่งเฉิงอีกครั้ง ความโกรธก็บรรเทาลงไม่น้อย

เขาเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มบาง “คุณชายข่งพูดถูก ข้าไร้หลักฐานมาป้ายว่าเรื่องเฝิงซีหั่วเป็นฝีมือเจ้า ส่วนเรื่องที่โหยวเทียนหย่างหนีไปได้ ก็เป็นคนของข้าที่ดูแลไม่ดีเอง ดังนั้นย่อมไม่ใช่ความผิดเหล่าฉี”

จู่ ๆ เขาเปลี่ยนน้ำเสียงเช่นนี้ กระทั่งข่งเฉิงและฉีเซินอวิ๋นยังไม่รู้จะทำหน้าอย่างไร

ฉือหมิงเฟิงว่าต่อ “แต่ว่านะเหล่าฉี อย่าเจ้าว่า เจ้ามาที่นี่เพื่อปกป้องคุณชายข่ง ไม่ได้มาช่วยพวกเรา ดังนั้นมาพักอยู่กับเราต่อไปก็ไม่ได้อะไร”

ฉีเซินอวิ๋นหรี่ตาลง “คิดจะพูดอะไร ?”

“ก็ไม่มีอะไร แค่เรามีจุดประสงค์ต่างกันเท่านั้น ในเมื่อข้าคุมคุณชายข่งของเจ้าไม่ได้ อีกทั้งเจ้าเองก็ไม่ฟังคำสั่งข้า เราก็ควรแยกทางกันเสียตรงนี้”

ข่งเฉิงตบโต๊ะแล้วผุดลุกขึ้น “ฉือหมิงเฟิง เจ้าคิดจะพูดอะไร ? คิดจะไล่ข้าออกจากการทำภารกิจนี้หรือ ?”

ฉือหมิงเฟิงถอนใจ “ข่งเฉิง เจ้าปฏิเสธได้ว่าไม่ได้ส่งเฝิงซีหั่วมา แต่เจ้ากับข้าต่างรู้ดีว่าปัญหามันอยู่ที่ใด เจ้าจะไม่ยอมสารภาพก็ได้ แต่ต้องยอมรับเรื่องหนึ่งคือเจ้าไม่เคยสนใจคลังสมบัติลับของขาปี่เอ๋อซือ ใช่หรือไม่ ?”

ข่งเฉิงเหลือบมองฉือหมิงเฟิงแล้วยิ้มเล็กน้อย “แล้วอย่างไร ?”

“หากเจ้ายอมร่วมมือ เช่นนั้นก็อยู่ต่อ ไม่เช่นนั้นก็แยกกันตรงนี้” ฉือหมิงเฟิงว่า

ตอนนี้ก็คือเขากำลังจะไล่ทั้งคู่ออกไปอย่างเป็นทางการแล้ว

“หากข้าไม่ไปเล่า ?” ข่งเฉิงตอกกลับ

ฉือหมิงเฟิงตอบ “ข้าก็ฆ่าเจ้าเสีย”

ข่งเฉิงสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง “เจ้ากล้าหรือ !”

“เจ้าก็ลองดู หากเจ้าอยากตาย ข้าก็เต็มใจช่วยส่ง !” ฉือหมิงเฟิงเอ่ย ไม่คิดรักษามารยาทอีก

คนทั้งสองใกล้จะกระชากคอกันอยู่รอมร่อ

เป็นฉีเซินอวิ๋นที่เอ่ยขึ้นว่า “ช่างมันเถอะคุณชายข่ง ต้านไปก็ไร้ประโยชน์”

เขาส่ายหน้าให้ข่งเฉิง

หากฉือหมิงเฟิงพูดมาขนาดนี้แล้ว แสดงว่าทนไม่ไหวอีกแล้ว หากยังรั้นจะอยู่ต่อ เช่นนั้นก็ถือว่าบีบให้ฉือหมิงเฟิงต้องลงมือสังหารคน รั้นอยู่ไปก็เปล่าประโยชน์

ยามได้ยินฉีเซินอวิ๋นพูดดังนั้น ข่งเฉิงก็เอ่ยตาขุ่น “ได้ ข้าไป ! แล้วรอดูว่าใครจะได้หัวเราะในตอนจบ”

ฉือหมิงเฟิงเอ่ย “เช่นนั้น คุณชายข่งช่วยลงนามในรายงานนี้ด้วยหากจะออกจากภารกิจ”

ฉือหมิงเฟิงหยิบเอกสารฉบับหนึ่งออกมา

ข่งเฉิงรู้ว่าเรื่องนี้เป็นข้อบังคับ จึงได้แต่ลงชื่อไป

และเมื่อลงนามในข้อตกลงกันแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็เอ่ยยิ้ม ๆ “เอาล่ะ เช่นนั้นต่อไป คุณชายข่งก็ไม่อยู่ในความรับผิดชอบข้าอีก นับแต่นี้ไป จะทำอะไรก็แล้วแต่เจ้า ไม่เกี่ยวกับพวกเราแล้ว”

ข่งเฉิงคำรามต่ำ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป

ฉือหมิงเฟิงว่า “ในเมื่อข้าเป็นคนที่บีบให้ต้องแยกทางกัน ก็ไม่ขอรบกวนพวกเจ้าอีก พวกเจ้าอยู่ที่นี่ พวกข้าจะเป็นฝ่ายไปเอง”

ว่าแล้วเขาก็เดินออกจากห้องไป

เมื่อเดินออกมาแล้ว ฉือหมิงเฟิงก็เดินออกไปไกลอีกหน่อย จากนั้นหยิบเครื่องมือสื่อสารต้นกำเนิดออกมา “สำเร็จ”

เมื่อได้ยินข่าว ซูเฉินก็ยิ้มน้อย ๆ

เขาเดินเข้าไปในห้องครัว “อาหารค่ำที่ส่งไปคุกใต้ดินวันนี้ เพิ่มขาไก่ไปด้วย บอกเขาว่าเวลาหมดแล้ว”

“ขอรับ !”

คืนนั้น

ชายชราเดินถือถาดอาหารเข้าไปในคุกใต้ดิน วางมันไว้ตรงหน้าเฮ่อซื่อ “สำนึกไว้เถอะว่าเจ้าโชคดีแล้ว คืนนี้เจ้าได้ไก่เพิ่มชิ้นหนึ่ง วันนี้ปีหน้าเจ้าคงจำไม่ลืม กินให้เยอะ ๆ เสีย จะได้มีแรงเดินทาง”

เฮ่อซื่อเหลือบมองขาไก่แล้วอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้

ขารีบเขมือบขาไก่ทั้งชิ้นเข้าไปจนไม่เหลือเนื้อ จากนั้นเกาะลูกกรงเอาไว้แล้วร้องขึ้น “ข้าบอกแล้ว…… ข้าพูดแล้ว…… ข้ายอมบอกทุกอย่างที่พวกเจ้าต้องการเลย !”