หลินหลินสีหน้าไม่ค่อยสบายใจ เธอสะกิดหยางโปให้เขาเดินออกไปข้างนอก
หยางโปกุมมือฮัวชิงหยุนไว้ เมื่อเห็นเธอค่อนข้างที่จะกังวลใจ ก็อดที่จะกระซิบเสียงเบาไม่ได้ “ สบายใจได้ เดี๋ยวผมจะเกลี้ยมกล่อมแม่เอง ! ”
ฮัวชิงหยุนมองหน้าหยางโป พยักหน้าและขานรับ “ อืม ! ”
หยางโปจึงได้เดินตามหลินหลินออกไป
เมื่อหลินหลินประจันหน้ากับหยางโป ” จะให้เธอกลับจินหลิงไม่ได้ ถ้าเป็นแบบนี้ งานแต่งของพวกลูกก็จะถูกเลื่อนออกไป ! ”
“ แม่ ต่อให้ต้องเลื่อนงานออกไป แล้วมันจะยังไง ? ตอนนี้ผมแก่แล้วเหรอ ? แม่คิดว่าจะรั้งชิงหยุนไว้ตอนนี้ มันจะดีจริงๆเหรอ ? ” หยางโปมองหน้าหลินหลิน “ แม่ก็น่าจะรู้นิสัยของชิงหยุนดี
เธอเป็นคนที่ไม่พูด แต่ในเมื่อพูดออกมาแล้ว นั่นก็หมายความว่านี่คือสิ่งที่เธออยากทำมันมากมาโดยตลอด ”
“ แต่จะให้ไปพูดกับทางคุณปู่ยังไง ? ”หลินหลินถาม
หยางโปโบกมือ “ แม่ ให้ผมจัดการเรื่องนี้เอง การทำอะไรโดยฝืนๆ มักได้ผลลัพธ์ที่ไม่ดี แต่งงานแบบนี้จะมีความสุขกันได้ยังไง ? ยิ่งไปกว่านั้น ชิงหยุนแค่ต้องการกลับไปเติมพลังให้ตัวเอง นี่เป็นเรื่องที่ดี เราควรสนับสนุนเธอสิ ! ”
หลินหลินจ้องมองหยางโป มองดูอยู่สักครู่ก่อนที่จะส่ายหน้าและพูดว่า ” ในเมื่อลูกเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว งั้นแม่ก็จะไม่พูดอะไรมาก เอาที่ลูกว่าก็แล้วกัน ”
ฮัวชิงหยุนไม่ได้เป็นอะไรมาก เธอพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลสามวันก็ออกจากโรงพยาบาล
แต่หลังจากกลับมาถึงเรือนสี่ประสาน เธอก็ยืนยันที่จะกลับจินหลิง หยางโปก็ไม่ได้ห้าม เขาได้ไปส่งฮัวชิงหยุนกลับจินหลิง
ที่เมืองจินหลิง หยางโปได้ไปตรวจสอบดูที่ไซต์ก่อสร้างพิพิธภัณฑ์ของเขา เมื่อเห็นว่าโครงสร้างโดยรวมของพิพิธภัณฑ์เสร็จสมบูรณ์และก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ก็เป็นงานตกแต่งภายใน ซึ่งอาจจะใช้เวลานาน
หลูตงซิงรีบมาที่สถานที่ก่อสร้าง เขาอยู่พูดคุยกับหยางโปนานมาก โดยส่วนมากแล้วจะพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องการฝึกบำเพ็ญ
หยางโปเหลือโสมพันปีไว้ให้เขาบางส่วน และบอกให้เขาเก็บซ่อนไว้ให้ดี จากนั้นถึงได้สั่งกำชับกับเขาไปอีกว่า “ ผมรู้สึกว่าช่วงนี้คุณเอาแต่โฟกัสอยู่กับการฝึกฝน แต่ยังไงผมก็ขอเตือนไว้ก่อนะ
จะเอาแต่ความเร็วแต่ไม่มีประสิทธิผล จะทำให้ยิ่งไม่บรรลุเป้าหมาย ”
หลูตงซิงพยักหน้า “ แค่ตอนนี้ฉันอายุมากแล้ว มีเวลาไม่มากแล้ว ”
“ สภาพปัจจุบันของคุณก็ดีมาก เวลาฝึกฝนก็มีโสมคนพันปีช่วย ผลลัพธ์น่าจะออกมาดี หากไล่ตามความเร็ว อาจไม่สามารถบรรลุความสำเร็จได้ นอกจากนี้ ขอพูดคำที่ไม่น่าฟังหน่อยนะ
คุณคิดว่าคนอย่างเรา สุดท้ายแล้วจะสามารถบินขึ้นไปบนท้องฟ้าได้งั้นเหรอ ? ” หยางโปถาม
หลูตงซิงหยุดนิ่งครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง
หยางโปกล่าวต่อ “ สำหรับเราแล้ว การฝึกฝนเป็นเพียงเครื่องมือ ในเมื่อกำหนดแล้วว่าไม่สามารถเกินขอบเขตที่สูงเกินไปได้ สู้ทำตัวผ่อนคลายลงสักหน่อย ทำงานกับพักผ่อนให้สมดุลกัน บางทีแบบนี้อาจจะเร็วกว่าก็ได้”
หลูตงซิงมองออกไปด้านนอกแล้วพูดเปรยขึ้นว่า “ ช่วงนี้ฉันมักจะรู้สึกกระสับกระส่ายและหงุดหงิดบ่อยๆ คิดว่าคงเป็นเพราะสภาพจิตใจ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำของนาย ”
หยางโปส่ายหน้า “ คุณก็คิดเองได้ เรื่องนี้มันไม่มีจำเป็นให้ผมต้องพูดมาก ”
หลูตงซิงถูกหยางโปโน้มน้าวจนอยู่หมัด จากนั้นเขาถึงได้เอ่ยปากพูดขึ้นว่า “ เพราะฉันกินโสมคนที่มีอายุกว่าร้อยปีไปจำนวนมากแล้ว ช่วงนี้เลยรู้สึกว่าโสมร้อยปีไม่มีผลลัพธ์อะไรแล้ว ฉันคิดที่จะหยุดมันไปสักชั่วระยะเวลาหนึ่ง รอให้ผ่านไปสักพักค่อยมาใช้โสมคนพันปีอีกครั้ง ”
หยางโปจ้องมองหลูตงซิง อ้าปากแต่กลับไม่ได้พูดอะไรออกมา พูดแค่ว่า “ ถึงแม้คุณจะเปลี่ยนไปโฟกัสที่การฝึกบำเพ็ญ แต่ผมแนะนำว่าคุณไม่ควรล้มเลิกที่จะทำธุรกิจ เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็ต้องมีเงิน คุณก็น่าจะรู้ว่าพอมีเงินไม่ว่าคุณจะฝึกวรยุทธ์หรือทำอะไรก็ได้ ”
หลูตงซิงพยักหน้า เขาได้ซักถามคำถามบางอย่างกับหยางโปอีก จากนั้นก็ได้พาหยางโปไปกินข้าวเย็นด้วยกัน และแทบทนรอไม่ไหวที่จะขอตัวลากลับ
หยางโปมองตามหลังของหลูตงซิงและอดส่ายหน้าให้ไม่ได้ หลูตงซิงปากบอกว่าจะหยุดใช้โสมคน แต่ถ้าหยุดขึ้นมาจริงๆ เขาจะรู้ว่า ความก้าวหน้าในการฝึกฝนจะช้าลงไปมาก พอถึงเวลานั้นเขาจะไม่สามารถห่างจากโสมคนได้เลย ! novel-lucky
หยางโปคิดถึงบางเรื่องในอดีต ก่อนที่หลูตงซิงจะร่ำรวย เขาเคยเป็นโจรขโมยหลุมฝังศพมาก่อน แต่ต่อมาภายหลังก็ล้างมลทินทำตัวใสสะอาดแล้ว แต่เขายังมีความสนใจในเรื่องพวกนี้อยู่
แต่เวลานั้นหลูตงซิงก็มีเงินแล้ว มีมูลค่าทรัพย์สินหลายหมื่นล้าน เศรษฐีแบบนี้ ยังจะสนใจเรื่องโบราณวัตถุที่ขโมยขุดมาจากสุสานอยู่อีกหรือไง ?
ตอนนี้ดูเหมือนว่าหลูตงซิงจะรู้เรื่องการฝึกบำเพ็ญมานานแล้ว หรือว่าเขาเคยสัมผัสกับเรื่องแบบนี้มาก่อน ดังนั้นเมื่อได้ตำราลับมา เขาก็แทบจะทนรอไม่ไหว
หยางโปอยู่ที่จินหลิงสองสามวัน เขาได้ไปพบกับฮัวชิงหยุนที่มหาวิทยาลัย มองจากระยะไกลก็เห็นเธอกับเพื่อนร่วมห้องหัวเราะต่อกระซิบด้วยกัน กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนในอดีต เขาจึงยิ้มตามเช่นกัน บางทีมันอาจจะหนักเกินไปที่จะอยู่เรือนสี่ประสาน มันทำให้เธอรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับจริงๆ
เมื่อหยางโปกลับมาถึงเมืองหลวงก็ไปหาชายชราที่บ้านเก่า ชายชราจ้องมองเขาขึ้นลงโดยที่ไม่พูดอะไรมาก โบกมือให้เขาออกไป
หยางโปก็ไม่คิดที่จะอยู่ต่อ ดังนั้นเขาจึงขอตัวกลับไป
แต่เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เมื่อหยางโปเปิดประตูจะออกไปออกกำลังกายตอนเช้า กลับเห็นเหยียนหรูหยูยืนอยู่นอกประตูเธอยังคงแต่งตัวด้วยชุดขาวเหมือนเมื่อก่อน และใบหน้าที่เย็นชา
หยางโปตกตะลึงขึ้นมาทันที “ คุณกลับมาแล้วเหรอ ? ”
เหยียนหรูหยูพยักหน้า ” ฉินตูฟูได้มาหาคุณหรือเปล่า ? ”
หยาโปส่ายหัว ” ไม่นะ ทำไมเหรอ ? คุณไปได้ข่าวอะไรมา ? ”
เหยียนหรูหยูมองหน้าหยางโปและลังเลเล็กน้อย ” ฉันได้ยินข่าวมาว่าเขาจะมาหาคุณ โชคดีที่ฉันมาเร็วกว่าไปก้าวหนึ่ง ”
หยางโปเหลือบมองเหยียนหรูหยู และเห็นว่าใบหน้าขาวของเธอดูเหน็ดเหนื่อยเล็กน้อย จึงอดถามไม่ได้ ” ช่วงนี้คุณไปไหนมา ? ”
เหยียนหรูหยูกลับไม่ตอบ เธอหันมองเข้าไปในบ้าน ” ช่วยจัดห้องให้ฉันสักห้อง ฉันอยากจะพักผ่อน ”
หยางโปพยักหน้าและไม่พูดอะไรต่อ
ไม่นานหยางโปก็เดินเข้ามาพร้อมกับเหยียนหรูหยูและจัดห้องพักให้เธอ
หลินหลินตื่นนอนและบังเอิญออกมาพบทั้งสองคนเดินเข้ามาพอดี เธอก็ชี้เข้าไปด้านใน
” ภูเขาน้ำแข็งคนนั้นใช่ไหม ? ”
หยางโปถึงกับนิ่งอึ้งไปทันที เขาเพิ่งจะนึกขึ้นมาได้ว่าเหยียนหรูหยูเดินตามหลังมา หลินหลินและ ฮัวชิงหยุนพูดคุยกัน ทั้งสองได้ตั้งสมญานามให้เหยียนหรูหยูว่า ” ภูเขาน้ำแข็ง ” เขาส่ายหัวอย่างจนปัญญา “ แม่ จะเรียกแบบนี้ไม่ได้แล้ว นี่คือคุณเหยียน ”
หลินหลินจ้องตาเขม็ง “ ตอนนี้ยิ่งนับวันลูกยิ่งแย่ลงทุกที แม่ถึงขนาดพูดอะไรไม่ได้เลยเหรอ ? ”
หยางโปรีบอธิบาย “ แม่ แม่รู้ประวัติความเป็นมาของเธอไหม ? ”
หลินหลินนิ่งเงียบไปสักพัก “ จะมีประวัติความเป็นมาอะไรได้ ? เธอคือพระโพธิสัตว์กวนอิมกลับชาติมาเกิดหรือไง ? ”
หยางโปส่ายหน้า “ เธอน่ะเก่งกาจมาก เหมือนโจวเซี่ยงเฉิงที่มาวันนั้น หรืออาจจะไม่ใช่คู่ปรับของเธอเลยด้วยซ้ำ ”
หลินหลินเบิกตาโต “ จะเป็นไปได้ไง ? ”
“ ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ ? ”หยางโปกล่าว
หลินหลินไม่ค่อยอยากจะเชื่อ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
หยางโปออกไปฝึกซ้อมในตอนเช้าต่อ ฝึกต่อยมวยเทียนหลัวและตามด้วยจินกังจิง หยางโปฝึกจนร่างกายแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆเขายังจงใจใช้ท่วงท่าของมวยเทียนหลัวฝึกใช้กระบี่ ตัวเขาเองกลับรู้สึกคุ้นชิน มันน่าประหลาดใจมาก
เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าในอนาคตอาจจะต้องได้เผชิญหน้ากับฉินตูฟู จู่ๆหยางโปก็อยากจะเรียนรู้วิชากระบี่ขึ้นมาสักแขนงหนึ่ง เขากลับมาที่เรือนสี่ประสาน กินข้าวเช้าแล้ว และรอจนกระทั่งเหยียนหรูหยูตื่นนอน เขาจึงไปหาเหยียนหรูหยูและถามออกไปตามตรง ” คุณช่วยสอนวิชากระบี่ให้ผมสักแขนงหนึ่งหน่อยได้ไหม ? ”