เมื่ออวี้เฟยเยียนเดินออกไปจึงเห็นคนทั้งหมดที่รออยู่ภายนอก นางจึงรู้สึกตกใจเล็กน้อย
“หลัวช่า พลังยุทธ์เจ้า…เลื่อนขั้นแล้วหรือ”
เซวียจื่ออี๋รู้สึกว่าน้ำเสียงของตนเองติดขัด เมื่อคิดถึงการกระทำเหมือนเด็กที่ตนทำลงไปที่เมืองหงซิง นางก็แทบจะขุดหลุมแล้วมุดลงเสียอย่างไรอย่างนั้น
ยังดีที่อวี้เฟยเยียนไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ไม่ได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อก่อนมาตราหน้านาง
ทว่าสายตานางก็มีความระแวง ความอาฆาตแค้นอยู่บ้าง สำหรับนางแล้ว การกำจัดจวนอินซานกงทั้งจวนถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย
“ใช่แล้ว!”
อวี้เฟยเยียนยิ้มอย่างเขินอาย
“จู่ๆ เลื่อนขั้นตอนที่กำลังรักษาผู้ป่วย นี่ก็เป็นสิ่งที่ข้าคาดไม่ถึงเหมือนกัน…”
“หลัวช่า เจ้าเก่งกาจขนาดนี้ ข้าจะติดตามเจ้าได้อย่างไรกัน! ได้โปรดเจ้าให้พื้นที่ให้ข้าก้าวหน้าบ้างได้หรือไม่! พลังยุทธ์เจ้าเลื่อนขั้นเร็วขนาดนี้ แม้จะขี่ม้าฝีเท้าดีก็มิอาจตามเจ้าทัน แค่กๆ …”
เซวียเฉียงก้มหัวอย่างท้อแท้ใจ คุกเข่าวาดวงกลมอยู่มุมกำแพง ในใจเต็มไปด้วยปวดร้าว
ข้าเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับหลอมรวม นางเป็นถึงจอมยุทธ์ระดับจอมเทวา…
นี่ไม่แค่เป็นช่องว่างที่แตกต่างเท่านั้น นี่เป็นการมีอยู่ที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้ชัดๆ !
รักแรกของข้า เทพธิดาของข้า ความฝันของข้า…
เมื่อเห็นอากัปกิริยาของเซวียเฉียง อวี้เชียนเสวี่ยก็หัวเราะเสียงดังลั่น คนหนุ่มคนสาวพวกนี้ไม่เลวนัก สายตาหลักแหลม รู้ว่าเสี่ยวเยียนของพวกเราเป็นของล้ำค่า!
ทว่า…พ่อหนุ่ม เจ้าอ่อนแอเกินไป! เจ้าไม่เหมาะแล้ว…
เซวียเฉียงหารู้ไม่ว่า ในสมุดของสามของตระกูลอวี้ ชื่อของตนได้ถูกทำเครื่องหมายไว้แล้ว
“น้องเสี่ยวอวี้ เจ้าเก่งกาจเกินไปแล้ว! ทุกท่าน โปรดอนุญาตให้ข้าพูดจาหยาบคายสักสองสามประโยคด้วย! เหล่าเหนียงอดไม่ไหวแล้ว!”
มู่เหนี่ยนซีเอามือตบอกตนเอง ท่าทางตื่นตระหนกของนางจนถึงบัดนี้ยังไม่กลับมาเป็นปกติ
“แม่เจ้าโว้ย! ก่อนเหล่าเหนียงจะมาที่นี่ได้ไปที่ศาลเจ้าสมุทรเทพ เพื่อไปถามเรื่องเคราะห์ดีเคราะห์ร้าย ผลออกมาว่าการทำนายทั้งสามครั้งล้วนเป็นเคราะห์ดี ดูเหมือนว่าสมุทรเทพจะไม่ได้หลอกลวงเหล่าเหนียง!”
“ฮ่าๆ ครั้งนี้เหล่าเหนียงคิดถูกแล้วที่มา!”
“ได้รู้จักกับน้องสาวที่ร้ายกาจยิ่งนัก หลังจากนี้เมื่อกลับไป เหล่าเหนียงจะต้องไปคุยโม้กับพวกอันธพาลเล็กๆ พวกนั้น เปิดโลกทัศน์แล้วกับคนเหล่านั้น เพื่อคนเหล่านั้นเลิกคิดว่าการกำแหงใหญ่ในเมืองอู้ไห่คือผู้ยิ่งใหญ่ จนไม่รู้ว่าเหนือเขายังมีเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า!”
“น้องเสี่ยวอวี้ เจ้ามีคนที่ชอบหรือยัง”
“ในมือพี่สาวเช่นข้ามีรายการบุรุษที่ดีอยู่มากมายให้เจ้าได้เลือกสรร แข็งแรง มีเสน่ห์ มีอารมณ์ขัน หรือเคร่งขรึม ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนก็ล้วนมี! เจ้าไปกับพี่สาว พี่สาวจะแนะนำให้เจ้า! หากคนเดียวไม่พอ ก็สองคน! เจ้าเก่งกาจขนาดนี้ คนเดียวจะไปพออะไร!”
“ถึงเวลานั้น เจ้ากับข้าร่วมมือกัน ทั้งเมืองอู้ไห่ก็จะเป็นสวรรค์บนดินของพวกเราแล้ว! วะฮ่าฮ่าฮ่า…”
อากัปกิริยาของมู่เหนี่ยนซีในเวลานี้ แสดงเห็นภาพของหัวหน้าโจรสลัดสาวที่กำลังสั่งการอยู่ในท้องทะเล
เมื่อได้ยินว่ามู่เหนี่ยนซีจะแนะนำโจรสลัดให้กับอวี้เฟยเยียน ซ้ำยังเหมือนต้องการชี้แนะให้นางเป็นหนึ่งภรรยาที่มีสามีมากมาย ยิ่งทำให้อวี้เชียนเสวี่ยรีบร้อนเข้าไปดึงแขนมู่เหนี่ยนซี “อย่าพูดจาซี้ซั้ว! นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้! นางไม่มีทางไปอู้ไห่กับเจ้า!”
ไฉนจะรู้ว่า มู่เหนี่ยนซีจะสลัดมือและปัดมืออวี้เชียนเสวี่ยออก
“ชายหญิงมิอาจใกล้ชิดกันได้ ท่านใกล้ชิดกับข้าเช่นนี้ ต่อไปข้าจะออกเรือนได้อย่างไร!”
คำพูดที่พูดออกมานี้ ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยหน้าแดง
นี่หมายความว่า…ต้องการจะขีดเส้นแบ่งระหว่างเขาหรือ
ขณะที่สาวน้อยแสนงามพูดคุยกับอวี้เฟยเยียน ใบหน้าแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับอวี้เชียนเสวี่ย ใบหน้ากลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม ทำเอาอวี้เชียนเสวี่ยไม่ชิน
“ถ้าต้องให้พูดอีก…ข้ากำลังพูดกับน้องเสี่ยวอวี้!”
“ท่านเป็นอะไรกับนางกัน ถึงได้มีสิทธิ์มาตัดสินใจเรื่องของนาง!
มู่เหนี่ยนซีร้องเหอะเบาๆ จากนั้นหันกลับไปจูงแขนอวี้เฟยเยียนอย่างสนิทสนม “ข้าจะบอกเจ้าให้ ในโลกนี้บุรุษที่ดูมีความเป็นชายมากที่สุด ก็คือโจรสลัด! จริงสิ! หากเจ้าไปเมืองอู้ไห่ เจ้าจะต้องชอบที่นั่นแน่!”
อาสะใภ้สาม ท่านอย่าได้ดีใจมากขนาดนี้ ท่านไม่เห็นหรือว่าบัดนี้ใบหน้าของอาสามดำเสมือนเปาบุ้นจิ้นแล้ว
แม้ท่านจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของท่านอาสามเมื่อเช้านี้ โมโหเขา ทว่าก็อย่าเอาข้าไปเป็นโล่กำบังธนูสิ!
อวี้เฟยเยียนที่เห็นใบหน้าของอวี้เชียนเสวี่ยยิ่งดูแย่ยิ่งกว่าเดิม จึงรีบพูดอย่างขำๆ ว่า
“พี่มู่ แม้ข้าจะอยากไปเมืองอู้ไห่ ทว่าข้ายังมีคนที่บ้าน! ท่านปู่กับท่านอาสามยังไม่อนุญาตให้ข้าจากบ้านไปไกลเกินไป!”
นางพูดเช่นนี้ มู่เหนี่ยนซีจึงเผยความเสียดายออกมา
“เฮ้อ น้องสาวที่ดีไม่เหมาะกับเมืองอู้ไห่เสียจริง น่าเสียดายนัก!”
เพราะว่ากลัวว่ามู่เหนี่ยนซีจะพูดอะไรที่น่าสะเทือนขวัญอีก อวี้เฟยเยียนจึงถอยหลังไปหนึ่งก้าว ถึงได้มองเห็นสีหน้าราวกับสุนัขจนตรอกของหลิ่วเซิงและมือขวาของเขา
“คุณชายหลิ่ว ท่านได้รับบาดเจ็บหรือ”
อวี้เฟยเยียนรีบเดินเข้ามา “ให้ข้าดูหน่อยเถิด!”
“หลัวช่า เจ้าอย่าได้ตรวจอาการให้เขา! หลีกเลี่ยงการเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาอีก เขาจะจิตใจเ**้ยมโหดเสมือนหมาป่าที่ต้องจะสังหารเจ้าขึ้นมาอีก!”
เซวียเฉียงเป็นคนไม่ค่อยพูดเรื่องจุดบกพร่องของคนอื่นนัก ทว่าบัดนี้เขารังเกียจหลิ่วเซิงเป็นอย่างมาก
คำพูดของเขา ทำให้อวี้เฟยเยียนชะงักไปนิดหน่อย
เซวียเฉียงก็ไม่ใช่คนพูดจาอะไรไปเรื่อย เขาพูดเช่นนี้ หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
นางมองไปที่อวี้เชียนเสวี่ยอีกครั้ง ท่าทีของเขาดูเคร่งขรึม สายตาที่มองไปยังหลิ่วเซิงดูเย็นชามาก อวี้เฟยเยียนพอจะเดาเรื่องที่เกิดขึ้นได้บ้าง คงจะเป็นเพราะหลิ่วเซิงกังวลเรื่องของร่างกายเด็กชายน้อย ถึงได้นำเรื่องที่เกิดขึ้นกับเด็กคนนั้นมาโทษว่าเป็นความผิดของตน
“ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ข้าเป็นปรมาจารย์โอสถ เมื่อเห็นคนบาดเจ็บแต่ไม่เข้าช่วยเหลือ คงจะไม่สมเหตุสมผลสักเท่าไร”
อวี้เฟยเยียนคว้ามือหลิ่วเซิงขึ้นมาตรวจดูอาการ
เส้นเอ็นที่ข้อมือขวาของเขาถูกตัดขาดไปหมด อาวุธมีคมที่มีประสิทธิภาพและการลงมือโดยไม่ไว้หน้าเช่นนี้ อวี้เฟยเยียนคิดว่าเป็นมั่วซางโดยไม่ได้ตั้งใจ
มั่วซางฟังแต่คำพูดของเหลียนจิ่น และเหลียนจิ่นมักเป็นคนที่ทำอะไรสมเหตุสมผลไม่เรื่องมาก จะต้องเป็นเพราะหลิ่วเซิงกระทำเกินเหตุจริงๆ ดังนั้นเหลียนจิ่นถึงสั่งให้มั่วซางลงมือเช่นนี้
“เส้นเอ็นข้อมือขาด จะต้องเย็บให้ผสานกัน ท่านตามข้ามาเถิด”
อวี้เฟยเยียนหันตัวกลับเข้าไปในห้อง หลิ่วเซิงเพราะว่าเป็นห่วงซย่าโหวฉิงเทียนถึงได้ตามเข้าไป
เมื่อเห็นสีหน้าซย่าโหวฉิงเทียนที่นอนอยู่บนเตียงเป็นปกติ อีกทั้งหลังจากเห็นอากัปกิริยาที่วางใจมากของชิงหง ในที่สุดหลิ่วเซิงจึงผ่อนลมหายใจออกมา
การกระทำของอวี้เฟยเยียนในการประสานเส้นเอ็นข้อมือหลิ่วเซิงทำอย่างว่องไวและรวดเร็วมาก จากนั้นจึงใส่ยาและพันแผลให้กับเขา
“หนึ่งเดือนนี้ห้ามขยับมือขวา ไม่สามารถยกของหนัก ไม่สามารถใช้พลังเสวียนได้ มิเช่นนั้นมือข้างนี้จะพิการได้ ยาหกเม็ดนี้ ทุกๆ ห้าวันกินหนึ่งเม็ด หลังจากผ่านไปสามสิบวัน มือขวาของท่านจะกลับมาดีดังเดิม”
พูดจบ อวี้เฟยเยียนก็วางยาลง จากนั้นเดินออกมา
“เจ้าจะไม่ถามอะไรข้าหรือ”
จิตใจของหลิ่วเซิงกำลังสับสน
เรื่องก่อนหน้านี้เขาไม่รู้ว่าอวี้เฟยเยียนอยู่ภายในห้องจะได้ยินหรือไม่ ร่างกายของซย่าโหวฉิงเทียน เขานั้นชัดเจนดี อวี้เฟยเยียนสามารถคลายของเจ็บปวดให้กับเขา จะพูดอย่างไร เขาก็ควรจะขอบคุณนาง
“ท่านก็คงแค่แค้นที่ข้าดูแลเขาได้ไม่ดี ความรู้สึกเช่นนี้ข้าพอจะเข้าใจ!”
“รอข้าหาวิธีรักษาเขาให้หายได้ สามารถทำให้ร่างกายของเขาไม่ถูกไข่มุกวารีปีศาจควบคุมได้ ท่านก็พาเขากลับไปเถิด!”
อวี้เฟยเยียนไม่ได้หันหลังกลับ
ในใจของนางก็อัดอั้นความโกรธไว้เช่นนี้
ท่านอาสามไม่มีทางที่จะรังเกียจคนคนหนึ่งโดยไม่มีเหตุผล ตอนที่นางไม่รู้อะไร ภายนอกต้องเกิดเรื่องใหญ่แน่นอน
หากนางเดาไม่ผิด หลิ่วเซิงจะต้องมีท่าทางโมโหทะมึนตึง อยากจะถลันเข้าไปจัดการกับนางแน่ คงจะมีแต่เหลียนจิ่นที่สั่งให้มั่วซางขวางเขาไว้ ทั้งสองคนคงจะต่อสู้กัน จนในที่สุดมั่วซางก็ฟันกระบี่ลงมือของหลิ่วเซิง
อวี้เฟยเยียนเดาได้ใกล้เคียงมาก ทว่ากลับไม่รู้ว่าหลิ่วเซิงถลันเข้ามาสังหารนาง
เมื่อได้ยินอวี้เฟยเยียนพูดว่าสามารถรักษาซย่าโหวฉิงเทียนให้หายได้ ดวงตาทั้งสองของหลิ่วเซิงจึงเป็นประกาย “จริงหรือ”
“ข้าพูดแล้วต้องทำได้ ซย่าโหวฉิงเทียนส่งเขามา ก็คงหวังให้ข้าช่วยเขาในเรื่องนี้ได้! ท่านกลับไปพูดกับซย่าโหวฉิงเทียนด้วยว่า เรื่องวันนี้ต้องขอบคุณเขามาก เพื่อเป็นการตอบแทน ข้าจะต้องรักษาร่างกายของเด็กคนนี้ให้หายดี บอกให้เขาวางใจเถิด!”
คำพูดของอวี้เฟยเยียนผ่านกระบวนการคิดมาแล้ว แม้นางเดินออกไปแล้ว แต่สติของหลิ่วเซิงก็ยังไม่กลับมา เขายังมีความสุขกับเรื่องที่จะสามารถรักษาร่างกายของซย่าโหวฉิงเทียนได้
เมื่อเห็นหลิ่วเซิง ชิงหงจึงส่ายหัวไปมา ถอนหายใจออกมา
หลิ่วเซิงก่อความวุ่นวายขนาดนี้ ไม่แน่อาจจะทำให้เกิดช่องว่างระหว่างอวี้เฟยเยียนกับซย่าโหวฉิงเทียนได้
เมื่อถึงเวลานั้น หลิ่วเซิง ท่านคงจะต้องเผชิญกับความยากลำบาก!