อวี้เฟยเยียนออกไปกินข้าวกับทุกคน และเตรียมตัวจะรักษาโรคให้กับอวี้เชียนเสวี่ย
ทว่าอวี้เชียนเสวี่ยกลับบอกว่าวันนี้อวี้เฟยเยียนเหนื่อยมามากแล้ว ถึงอย่างไรเขาก็ป่วยเช่นนี้มาตั้งหลายปี เขาก็ไม่ได้กังวลแต่อย่างใด จึงให้อวี้เฟยเยียนไปพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานประลองโอสถ รอจบงานประลองแล้วค่อยรักษาเขาก็ยังไม่สาย
เดิมอวี้เฟยเยียนอยากจะต่อต้าน ในเวลานี้มู่เหนี่ยนซีก็เห็นด้วยอย่างที่อวี้เชียนเสวี่ยบอกเช่นกัน
เวลานี้อวี้เฟยเยียนถึงได้เข้าใจ
เมื่อนางสามารถรักษาอวี้เชียนเสวี่ยให้หายได้ มู่เหนี่ยนซีก็ได้สัญญาไว้แล้วว่าจะกลับเมืองอู้ไห่ อวี้เชียนเสวี่ยเป็นคนหัวรั้น ต้องไม่เอ่ยปากพูดให้นางอยู่ต่อแน่ ถึงเวลานั้นทั้งสองคนคงต่างก็แยกไปอยู่คนละมุมโลก
หากสามารถยื่นเวลาได้ไปอีกระยะหนึ่ง ไม่แน่เรื่องของพวกเขาทั้งสองคนอาจมีความเปลี่ยนแปลง
ท่านอาสาม ครั้งนี้เขาคงจะต้องกลับคำพูดเสียแล้ว!
ครั้งนี้อวี้เฟยเยียนรู้สึกว่าอวี้เชียนเสวี่ยเสียเปรียบแล้วจริงๆ เขาหวังให้อวี้เฟยเยียนบำรุงสุขภาพร่างกายและเตรียมกำลังไว้ในให้พร้อม และเข้าร่วมงานประลองโอสถในสภาพร่างกายที่ดีที่สุด
ทว่า…เพราะว่าเรื่องการรักษาสามารถยื่นเวลาไปอีกหน่อย ถึงจะทำให้เขากับมู่เหนี่ยนซีมีอนาคต
ซย่าโหวฉิงเทียนครั้งนี้นอนไม่ได้สติอยู่หลายวัน กว่าเขาจะตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ก็ถึงเวลาของงานประลองโอสถเสียแล้ว
งานประลองโอสถไม่รู้ว่ามีข่าวลือกันตั้งแต่เมื่อไหร่ว่า งานประลองโอสถทุกห้าปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง
เมื่อเข้ามาในหอราชันโอสถแห่งหุบเขาลั่วสยา จะต้องใช้จดหมายเหมยเซียง อวี้เฟยเยียนคืนจดหมายเหมยเซียงให้กับเซวียเฉียงและเซวียจื่ออี๋แล้ว และนางก็มาสาขาย่อยของหอราชันโอสถอีกครั้ง จากนั้นได้ขอเหมยเซียงเจี่ยนจากหูขุยอยู่หลายใบ
ในมือพวกเขามีกันคนละหนึ่งใบพอดี ทุกคนจึงสามารถเข้าไปในหอราชาโสถสาขาหลักได้
ตั้งแต่ที่รู้ว่าซย่าโหวฉิงเทียนไม่เป็นอะไรแล้ว หลิ่วเซิงก็กลับไปตั้งแต่วันที่สอง
สมาชิกที่มาหอราชาโอสถในวันนี้ มีสองพี่น้องเซวียจื่ออี๋ เหลียนจิ่น มั่วซาง อวี้เชียนเสวี่ย มู่เหนี่ยนซี ยังมีชิงหง เสวี่ยเยี่ยน ซย่าโหวฉิงเทียน และอวี้เฟยเยียน
“แมวน้อย ข้าต้องการให้อุ้ม!”
ในเส้นทางที่จะไปหอราชันโอสถ ซย่าโหวฉิงเทียนยื่นมือหาอวี้เฟยเยียน
“ข้าจะอยู่กับเจ้า!”
เมื่อเห็นนายท่านช่วงชิงทุกวินาทีเพื่อให้อยู่ติดกับอวี้เฟยเยียน ชิงหงกับเสวี่ยเยี่ยนจึงหันมองตากัน นัยน์ตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มขมขื่น
นายท่าน ท่านยังไม่รู้สินะว่าหลังจากที่ท่านนอนหมดสติไป หลิ่วเซิงได้ทำลายความพยายามที่ท่านกระทำมาหลายต่อหลายปีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว!
หลังจากเกิดเรื่องอวี้เฟยเยียนก็ได้รับรู้สึกเรื่องที่เกิดในวันนั้นจากอวี้เชียนเสวี่ย ทำเอานางโมโหจนแทบทนไม่ไหว หึ…หลิ่วเซิง รอซย่าโหวฉิงเทียนมาเสียก่อนเถอะ ข้าจะต้องใส่สีตีไข่ใส่เจ้า!
ชั่วขณะนี้เมื่อเห็นเด็กชายที่พัวพันกับหลานสาวของตน อวี้เชียนเสวี่ยจึงหน้าดำคร่ำเครียด เรียกให้อวี้เฟยเยียนมาอยู่ด้านข้างและตั้งใจให้เข้ามาคุยกับเขา อวี้เฟยเยียนจะได้ไม่มีเวลาไปดูแลเด็กชายตัวน้อย
ท่านอาสาม สายตาแบบนี้มันไม่ถูกต้องนะ!
หรือจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนที่ตนหมดสติไป
หมดสติไปหลายวัน เมื่อลืมตาขึ้นไม่เห็นอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มรู้สึกได้ว่า มีอะไรแปลกไป
บัดนี้สายตาของอวี้เชียนเสวี่ยคล้ายดั่งมีคำว่า “รังเกียจ” ปรากฏออกมา แม้แต่หมูก็ยังรู้ว่าเขาไม่ชอบตน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ทว่าซย่าโหวฉิงเทียนหาได้สนใจเรื่องเหล่านี้ ยังไม่ยอมเดินไปไหน ต้องการให้อวี้เฟยเยียนอุ้มให้จนได้
“แมวน้อย เจ้าพูดแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นเมื่อไหร่ที่ไหน ก็จะไม่ทอดทิ้งข้าจะดูแลข้า! คำพูดเจ้ามันเชื่อไม่ได้!” เมื่อเห็นอวี้เฟยเยียนเดินออกไปไกลกว่าเดิม ซย่าโหวฉิงเทียนจึงเริ่มมีปฏิกิริยา เริ่มเอะอะโวยวายไม่หยุด
เขากลับทำท่าทำทางได้เหมือนกับเด็กขี้แงไปทุกที
“วันนี้นางมีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ต้องเข้าร่วมงานประลองโอสถในสภาพที่ดีที่สุด งั้นเจ้าก็ขี่สุนัขตัวใหญ่เล่นไปก่อน ไม่ก็ให้องครักษ์ของเจ้าอุ้ม ไม่ก็กลับไปอยู่ที่บ้านรอข่าวจากพวกเราซะ!”
อวี้เชียนเสวี่ยไม่ใช่คนที่สามารถเปลี่ยนความคิดอะไรง่ายๆ เขาถึงได้ไม่หลงกลเด็กชายง่ายๆ
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ใบหน้าของซย่าโหวฉิงเทียนก็เริ่มบึ้งตึง
ท่านอาสาม นี่ท่านกำลังเลื่อยขาเก้าอี้ข้าเช่นนี้จริงหรือ
เมื่อเห็นว่าอวี้เฟยเยียนเชื่อฟังคำสั่งของอวี้เชียนเสวี่ยเป็นอย่างมาก ซย่าโหวฉิงเทียนก็เบะปากร้องไห้ ปีนขึ้นบนหลังของฮันจื่น ฟุบหน้าลงสูดน้ำมูกไปมา ท่าทางนั้นยิ่งทำให้ดูน่าสงสารยิ่งขึ้นอีก
นายท่าน อย่าทำได้ปล่อยในน้ำมูกไหลลงให้หลังข้านะ!
ไม่เอานะ…
แม่นางน้อย เร็วเข้ายุทธภพต้องการความช่วยเหลือ! เร็วเข้า!
เมื่อรู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่างที่เหนียวๆ ยืดๆ หยดลงบนหลัง ฮันจื่อก็แทบจะร้องไห้ออกมา
ประตูเมืองไฟไหม้ ภัยลามถึงปลาในสระ! [1]
แม่นางน้อย ท่านรีบคืนดีกับนายท่านเถิด!
อวี้เฟยเยียนแม้จะโกรธหลิ่วเซิง แต่ก็ไม่ขุ่นเคืองใจกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
เมื่อเห็นท่าทางน่าสงสารของเขา ดวงตาเหยี่ยวเต็มไปด้วยน้ำตาคลอเบ้ามองมาที่ตน อวี้เฟยเยียนจึงถอนหายใจและพูดว่า “ช่างเหมือนกับบรรพบุรุษของเขาจริงๆ ฃ” ในที่สุดก็เข้าไปอุ้มเด็กชายขึ้นมา
“เจ้า…” อวี้เชียนเสวี่ยในเวลานี้ยังอยู่ในท่าทางเข้มงวดอยู่
“ท่านอาสาม เขายังเป็นแค่เด็กคนหนึ่ง!”
อวี้เฟยเยียนพูดเสียงเบา
ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง…
“ก็มีแค่แมวน้อยเท่านั้นที่ดีกับข้าที่สุด!”
เมื่อปีนเข้าสู่อ้อมกอดของอวี้เฟยเยียน ซย่าโหวฉิงเทียนก็ใช้ทั้งสองมือเช็ดน้ำตาที่น้ำรำคาญออกจนหมด จากนั้นกอดอวี้เฟยเยียนและ “จุ๊บ” หอมนางหนึ่งครั้ง สุดท้ายก็หันไปแลบลิ้นปลิ้นตา ทำหน้าผีใส่อวี้เชียนเสวี่ย
“เจ้าลิงทโมน เจ้าอย่าได้ได้คืบเอาศอก!”
หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงเด็ก อวี้เชียนเสวี่ยคงจะเข้าไปตีก้นเขาสักสองสามที
บังอาจเอาเปรียบเสี่ยวเยียนเยียน!
เด็กคนนี้ช่าง…กล้านัก!
“ข้าชอบแมวน้อยที่สุด!”
เมื่อเห็นอวี้เชียนเสวี่ยรำคาญ เด็กชายก็รีบเอาหัวฟุบตรงบ่าของอวี้เฟยเยียน “แมวน้อยดีกับข้าที่สุดแล้ว! หากแมวน้อยดีกับข้าเช่นนี้ตลอดไป ข้าคงเป็นคนที่โชคดีที่สุดในโลกแล้ว!”
อวี้เฟยเยียนเดิมอยากจะสั่งสอนเด็กชายที่ขโมยหอมนางสักนิด ไฉนเลยจะรู้ว่าปากของเขาจะหวานคล้ายดั่งทาด้วยน้ำผึ้ง พูดคำหวานมาเป็นพรวน บวกกับเด็กชายยังเป็นคนป่วย อวี้เฟยเยียนจึงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์และพูดกับเขาด้วยเหตุผล
“เสี่ยวฉิงๆ ครั้งหน้าห้ามหอมข้าเช่นนี้อีก! รู้ไหม”
“ทำไมกัน”
“เพราะว่ามีเพียงแค่คนที่ใกล้ชิดที่สุด เช่นบิดามารดากับบุตรชายบุตรสาว หรือว่าสามีภรรยาถึงจะกระทำเรื่องที่ใกล้ชินกันเช่นนี้ได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นเจ้าก็เป็นคนใกล้ชิดที่สุดของข้า ดีหรือไม่” ซย่าโหวฉิงเทียนมองไปยังอวี้เฟยเยียนด้วยความหวัง “หากข้าเป็นคนที่ใกล้ชิดเจ้าที่สุด ข้าก็สามารถหอมเจ้าทุกวันได้แล้ว!”
“นี่เป็นไปไม่ได้! นางไม่มีทางจะมีบุตรชายตัวโหญ่ขนาดนี้!” คำพูดของอวี้เชียนเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ประหนึ่งเอาน้ำเย็นสาดใส่
“งั้น…เป็นสามีภรรยาก็ได้!”
คำพูดนี้เมื่อพูดออกมา แม้แต่ตัวซย่าโหวฉิงเทียนเองก็ยังตกใจ
สามีภรรยา…
คำๆ นี้เป็นสิ่งที่ในใจเขาต่อต้านมาโดยตลอด
ตั้งแต่เล็กจนโตเป็นบุตรชายก็ไม่เป็นมงคลต่อบิดา และยังถูกมารดาก็ยังรังเกียจ
ซย่าจื่ออวี้มักบรรยายว่าบิดาของเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน ป่าเถื่อน…ไม่มีความรู้สึก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความรักระหว่างสามีภรรยา
ดังนั้นคำคำนี้เป็นสิ่งที่ซย่าโหวฉิงเทียนกัดกันมาโดยตลอด อีกทั้งยังคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาเป็นความสัมพันธ์ที่เชื่อไม่ได้มากที่สุด เขาถึงไม่ยอมแต่งภรรยาเข้ามา
ทว่าชั่วขณะนี้ ซย่าโหวฉิงเทียนจู่ๆ ก็รู้สึกว่า หากสามารถอยู่กับอวี้เฟยเยียนได้ตราบนานเท่านาน ในฐานะสามีภรรยา ไม่แน่อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่เลว
เมื่อถึงเวลานั้นแมวน้อยก็จะกลายเป็นคนของเขาโดยแท้จริง แม้เขาจะหอมนาง ก็เป็นเรื่องถูกทำนองคลองธรรม อวี้เฟยเยียนจะไม่มีข้ออ้างมาปฏิเสธได้อีก
“อุ๊บ…”
คำพูดของเด็กชาย ม่เพียงทำให้อวี้เชียนเสวี่ยหัวเราะ แม้แต่เซวียเฉียงกับมู่เหนี่ยนซีที่ได้ยินยังหัวเราะจนกุมท้องแข็ง
“ไอหยา! น้องเสี่ยวอวี้ เสน่ห์ของเจ้าจะมีมากเกินไปแล้ว! ตั้งแต่คนชราไปถึงเด็กเล็กล้วนหลงเสน่ห์เจ้ากันหมด!”
มู่เหนี่ยนซีหัวเราะจนน้ำตาเล็ด “เด็กๆ ทุกวันนี้ก็เหลือเกิน โตเป็นผู้ใหญ่ไวขนาดนี้! นี่พึ่งจะหย่านมแม่ได้กี่วันเชียวจึงอยากมีภรรยาเสียแล้ว!”
เซวียเฉียงยังทำเกินเหตุยิ่งกว่าเดิม จึงเบียดเข้ามาด้านข้าง จากนั้นหยิกแก้มของเด็กชายอย่างแรง
“น้องชายน้อย เจ้ายังเล็กเกินไป! เช่นนี้เจ้าจะทำให้หลัวช่าเสียเวลานะ! รอเจ้าโต นางก็คง…” พูดถึงตรงนี้ เซวียเฉียงพลันตะลึงไป
ไม่ถูกต้อง หากรอจนเด็กนี่โตก็ต้องใช้เวลาเป็นสิบกว่าปี
ทว่าหลังจากสิบกว่าปีผ่าน อวี้เฟยเยียนก็อายุยี่สิบกว่ายิ่งเป็นวัยเจริญพันธุ์ เมื่อคิดเช่นนี้ก็รู้สึกว่ายังพอเป็นไปได้!
ทว่าเซวียเฉียงก็รีบปฏิเสธความคิดนี้
เทพธิดาเป็นของตน!
หากต้องแพ้ให้เด็กน้อยนี่ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!
นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าโหวฉิงเทียนพูดเรื่องสามีภรรยาอย่างจริงจัง ทว่ากลับถูกทุกคนหัวเราะเยาะ ทำให้เขาอับอาย
“แมวน้อย พวกเขาหัวเราะเยาะใส่ข้า!”
ซย่าโหวฉิงเทียนมุดเข้าในอ้อมแขนของอวี้เฟยเยียน “อย่างไรเจ้าก็ต้องรอข้าโต! ใช้เวลาไม่นานนัก รวดเร็วมาก! ถึงเวลานั้นข้าไปสู่ขอเจ้าที่บ้าน แต่งเจ้าเข้ามาเป็นเจ้าสาวของข้า!”
“เสี่ยวฉิงฉิง รอเจ้าโต บุตรชายของข้าก็สามารถไปซื้อซีอิ๊วได้แล้ว! [2]”
อวี้เฟยเยียนลูบหัวเด็กชายไปมา
“เด็กเปรต!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ อารมณ์ของซย่าโหวฉิงเทียนจึงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมทันที
ไม่ได้…หากสามารถแต่งงานกับแมวน้อย ก็ไม่สามารถมีเด็กเปรตได้!
ไอ้เด็กอะไรพรรค์นั้น น่ารังเกียจเป็นที่สุด!
แม้อวี้เฟยเยียนสามารถเป็นมารดาที่ดีได้ แต่ซย่าโหวฉิงเทียนก็ยังไม่สามารถสลัดเงามืดที่ซย่าจื่ออวี้นำพามาได้
ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เจอซย่าจื่ออวี้ นางจะต้องกร่นด่าเขา เคียดแค้นเขา แม้กระทั่งไม่ยอมรับว่าเขาเป็นบุตรชาย พูดว่าเขาทำลายชีวิตทั้งชีวิตของนาง
ความทรงจำเหล่านี้สลักขังไว้ในใจของซย่าโหวฉิงเทียน
แม้จะผ่านเวลามานานมากแล้ว ในใจของซย่าโหวฉิงเทียนประฌามตนเองอยู่ คิดว่าที่ซย่าจื่ออวี้พูดถูกแล้ว เขาคิดว่าชีวิตโศกนาฏกรรมของนางนั้นเป็นเพราะตนนำพามา หากไม่มีเขาซย่าจื่ออวี๋คงจะไม่เป็นเช่นนี้
ดังนั้นเด็กน้อยสำหรับซย่าโหวฉิงเทียนแล้วเป็นเสมือนฝันร้าย
“ไม่ได้! แมวน้อย มีแค่ข้ากับเจ้าสองคนก็พอแล้ว ไม่เอาเด็กเปรตพรรค์นั้น!”
คำพูดของเด็กชาย อวี้เฟยเยียนคิดว่าเป็นคำพูดของเด็กๆ เพียงเท่านั้น
ทุกคนพากันพูดและหัวเราะไปจนถึงหอราชันโอสถที่อยู่ฝั่งตะวันออกของหุบเขาลั่วสยา
พื้นที่ของหอราชันโอสถนั่นใหญ่มาก ทั้งฝั่งตะวันตกและฝั่งใต้ล้วนเป็นพื้นที่ของหอราชันโอสถ
หลังจากที่แสดงเหมยเซียงเจี่ยนออกมา อวี้เฟยเยียนและคนอื่นๆ จึงเดินเข้าไปในห้องรับรองของหอราชันโอสถ เพราะงานประลองโอสถจะจัดขึ้นติดต่อกันอยู่หลายวัน ดังนั้นหอราชันโอสถได้จัดอาหารและที่พักไว้สำหรับแขกที่เข้าร่วม
ขณะที่ลูกศิษย์ในสำนักกำลังพาอวี้เฟยเยียนและคนอื่นๆ ไปยังที่พัก จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงลอยมา
“ช่าช่า! เจ้ามาได้อย่างไรกัน!”
หลังจากนั้นก็มีเงาสีแดงเพลิงพุ่งมาและเข้าไปกอดอวี้เฟยเยียน
“ช่าช่า! ข้าคิดถึงเจ้ามาก! เอ๋…” เมื่อรู้สึกได้ว่าระหว่างอ้อมกอดของตนกับอวี้เฟยเยียนมีอะไรบางสิ่งกั้นขวางอยู่ เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงปล่อยมือออก เวลานี้ถึงจะเห็นใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มเห่อแดงของเด็กชาย
“ช่าช่า!”
เมื่อเห็นเด็กน้อย เชียนเยี่ยเสวี่ยจึงร้องขึ้นอย่างตกใจ
“นี่เป็นบุตรของใครกัน พวกเราแยกจากกันไม่ถึงหนึ่งปี เจ้าจะมีบุตรแล้วได้อย่างไรกัน เจ้ากระทำเช่นนี้ งั้นจะรับความรักอันลึกซึ้งของข้าได้อย่างไรกัน!”
เชียนเยี่ยเสวี่ยพูดไป จากนั้นบีบน้ำตาออกมา จนน้ำตาเม็ดหนึ่งไหลรินที่หางตา
เดิมเขาเป็นบุรุษที่มีนิสัยน่ารังเกียจ เป็นบุคคลที่ทำอะไรง่ายๆ ชอบแสดงความชั่วร้ายออกมา ชั่วขณะนี้บุรุษรูปงามหลั่งน้ำตาออกมา ยังสามารถดึงดูดสายตาผู้คนจำนวนมาก
“นั่นคือเยี่ยนอ๋องแห่งแคว้นฉินจื้อนี่!”
“ใช่ๆ ๆ เขาคือเยี่ยนอ๋อง เชียนเยี่ยเสวี่ย! งั้นแม่นางผู้นั้นก็คืออสูรร้ายอวี้น่ะสิ!”
“โอ้โห จักรพรรดิยาผู้ยิ่งใหญ่ก็มีบุตรแล้วหรือ”
“ไม่ใช่! พวกเขาแต่งงานกันแล้วหรือ”
มีเสียงเซ็งแซ่ลอยเข้ามาไม่หยุดหย่อน สีหน้าของอวี้เฟยเยียนยิ่งดูแย่มากกว่าเดิม
เชียนเยี่ยเสวี่ยที่อยู่ข้างๆ ก็ยังร้องไห้ “ช่าช่า ทำไมเจ้าถึงทำให้ข้าเสียใจขนาดนี้!”
“เพื่อเจ้าข้าอุตส่าห์ขับไล่สตรีในจวนออกไปหมดแล้ว บัดนี้ไม่เพียงแต่มีต้นไม้ใบหน้า แม้แต่สุนัขในจวนก็มีแต่เพศผู้แล้ว! นี่เป็นเรื่องง่ายสำหรับข้าหรือ!”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะมาร่วมงานประลองโอสถ เดินทางไกลแสนไกลมาเป็นพันลี้ ทว่า…เจ้ารีบอธิบายให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้ว่าเด็กคนนี้คืออะไร!”
หูของอวี้เฟยเยียนถูกเชียนเยี่ยเสวี่ยทำเสียงตึงตังรบกวน นางจึงส่งเด็กชายให้แก่ชิงหง จากนั้นยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นเตะไปที่ส่วนล่างของร่างกายเชียนเยี่ยเสวี่ย
——
[1] ประตูเมืองไฟไหม้ ภัยลามถึงปลาในสระ เป็นสำนวน หมายถึง เหตุร้ายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
[2] ซื้อซีอิ๊ว การพูดเปรียบเทียบ หมายถึง ลูกเริ่มโตจนสามารถช่วยพ่อแม่ทำเรื่องต่างๆ ได้แล้ว