ตอนที่ 166 เงาหลังของนางงดงามอย่างที่สุด

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันยังคงนอนอยู่บนเตียง ประตูถูกมารชุดแดงผู้นั้นลงดานเอาไว้จากภายนอก นางพักผ่อนร่างกายได้พักใหญ่แล้ว ในที่สุดก็ดีขึ้นบ้าง 

 

 

บนหัวไหล่ยังมีบาดแผลฉีกจากแส้อยู่ เลือดไหลเป็นทางจากหัวไหล่ไปถึงข้อมือ ชนิดที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องตกใจ ยังดีที่บาดแผลกินเนื้อไม่ลึก และตอนนี้เป็นฤดูหนาว จึงไม่ติดเชื้อโดยง่าย 

 

 

เพียงแต่บาดแผลจากแส้ที่สร้างด้วยกระดูกสันหลังของศพเช่นนี้ จะมากน้อยก็ต้องมีไอซากศพซึมเข้าไปในบาดแผล 

 

 

หากไม่รีบจัดการให้ดีละก็ จะทิ้งผลร้ายจนเกิดปัญหาใหญ่กับร่างกายนี้ได้ 

 

 

เจ้ามารผู้นั้นให้ยาถอนพิษแก่นาง ยังไม่ทันได้จัดการกับบาดแผลก็ถูกเรียกออกไปเสียก่อน 

 

 

ยามนี้ตู๋กูซิงหลันได้แต่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง นางถอดเสื้อผ้าออกข้างหนึ่ง เผยเรียวแขนทั้งข้างออกมา ดีที่ในห้องมีน้ำสะอาดอยู่อ่างหนึ่ง นางค่อยๆ ล้างแผล เลือดที่แข็งตัวไปแล้วละลายออกมา ผสมลงไปในน้ำ 

 

 

หน้าต่างห้องถูกแง้มเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ กลิ่นคาวเลือดจึงกระจายออกไป 

 

 

จีเฉวียนที่ประทับอยู่ในสวนดอกไม้ ก็กวาดพระเนตรมองมาในทันที 

 

 

ประสาทสัมผัสในเรื่องกลิ่นของพระองค์ไวมาก โดยเฉพาะกับกลิ่นเลือด ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปที่ประตูซึ่งถูกลงดานเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดอกซิ่วชิวในมือยังไม่ทันได้ถูกวางลง ก็เสด็จตรงเข้าไปทันที 

 

 

ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันล้างแผลเสร็จแล้ว วิญญาณทมิฬก็แทงตนเองแผลหนึ่งโดยไม่ต้องถาม มอบโลหิตหยดหนึ่งของมันให้แก่นาง 

 

 

โลหิตของมันไม่เพียงสามารถล้างพิษ ยังสามารถชำระไอศพได้ด้วย 

 

 

วิญญาณทมิฬพบว่าตัวมันชักจะกลายเป็นยาว่านหลิงตัน (ยาชุบชีวิต) เสียแล้ว ตำหรับวิเศษนี้ไม่ว่าใครต้องการเป็นต้องแจกให้เขาไปเสียหมด 

 

 

คิดแล้วมันก็ได้แต่คลำก้นน้อยๆ ของตนเอง กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อยเถอะนะ “ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหยิบกระดาษยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้โลหิตของวิญญาณทมิฬวาดอักขระลงไป จากนั้นสะกิดปลายนิ้วสร้างดวงไฟสีฟ้าขึ้นมาเผายันต์ใบนั้น ค่อยนำเอาขี้เถ้าที่เหลือโป๊ะลงไปบนบาดแผล 

 

 

เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงซี่ๆ จากปากแผล และมีไอดำลอยออกมา 

 

 

” เจ้าสิ่งนี้ร้ายกาจจริงๆ ศพคืนชีพสามารถฝึกฝนได้จนถึงขนาดนี้ช่างหาได้ยากจริงๆ ” วิญญาณทมิฬลูบคลำปลายคางขณะพูดไปด้วย 

 

 

โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกมิติใบนี้ ศพคืนชีพที่เคยพบเจอครั้งก่อนก็มีแต่เสียนไท่เฟยเท่านั้น แต่เสียนไท่เฟยนอกจากจิตใจที่ลึกซึ้งชั่วร้ายแล้ว ด้านอื่นยังไม่ถือว่าจะมีฝีมือสักเท่าใด 

 

 

เจ้าตัวที่ได้พบในวันนี้ นับว่าร้ายกาจกว่าเสียนไท่เฟยมากมายนัก 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหัวคิ้วขมวดแนบแน่น ขี้เถ้ายันต์พอสาดโดนปากแผล ความรู้สึกนั้นยังเจ็บปวดแสบเสียยิ่งกว่าทาเกลือลงบนเนื้ออีก 

 

 

นางได้แต่ขบฟันอดทนเอาไว้ ศพคืนชีพผู้นั้น จะต้องมีความเกี่ยวพันกับอันหยวนกูกูที่อยู่ในวังหลวงเป็นแน่ 

 

 

ตอนนี้นางยังคงไม่เข้าใจ พวกเขาลงมือกับองค์หญิงใหญ่ไปเพื่ออะไร 

 

 

เพียงแต่มั่นใจว่าคนพวกนี้จะต้องคิดทำการณ์ใหญ่อย่างแน่นอน 

 

 

นับตั้งแต่ที่อันหยวนกูกูผู้นั้นกลับเข้าวังมา พวกนางสองคนก็ยังไม่เคยพบหน้ากัน รอให้บาดแผลหายดีก่อน ดูท่าจะต้องไปพบหน้าเข้าสักหน่อย 

 

 

ที่นอกห้อง จีเฉวียนประทับอยู่ที่ริมหน้าต่าง ทอดพระเนตรมองผ่านช่องแคบๆ จนมองเห็นเหตุการ์ด้านใน 

 

 

สาวน้อยหันหลังให้เขา นางถอดเสื้อผ้าลงไปกว่าครึ่ง จึงสามารถมองเห็นแผ่นหลังกว่าครึ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจน ลำคอระหงดุจคอห่าน ลำแขนเรียวบางเป็นลายเส้นที่อ่อนช้อยงดงาม ผิวขาวสะอาดราวหยกเนื้อดีที่ส่องประกาย คล้ายดั่งเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก 

 

 

จีเฉวียนพยายามมองผ่านสิ่งที่ดึงดูสายตาเหล่านั้นไป สิ่งสำคัญคือหัวไหล่ของนาง เขาได้ยินเสียงนางบ่นพึมพำ ทั้งยังเห็นเผากระดาษยันต์แผ่นหนึ่งโป๊ะลงไปบนบาดแผล 

 

 

และถึงแม้ว่าคนจะหันหลังให้กับเขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเจ็บปวดอย่างมาก 

 

 

สาวน้อยยังคนพึมพำกับตนเองต่อไป ราวกับว่าที่ข้างกายนางมีอะไรอยู่ด้วย 

 

 

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ซี่ๆ เย็นๆ ดังออกมา ร่างทั้งร่างพลอยสั่นสะท้าน บนหัวไหล่นั้นมีไอสีดำระเหยออกมาจนเขาสามารถมองเห็นได้ดวงตาเปล่า 

 

 

จีเฉวียนก็ไม่ครุ่นคิดให้มากอีกต่อไป เขากระชากหน้าต่างออก พลิกตัวเข้าไป 

 

 

สายลมเย็นพัดวูบเข้ามา ตู๋กูซิงหลันถูกลมเย็นพัดจนรู้สึกขนลุกกราว นางห่อไหล่หันหน้ากลับไปมอง พึ่งเอี้ยวตัวไปก็เห็นพระพักตร์ที่เย็นชาของจีเฉวียนยืนอยู่เบื้องหน้านาง 

 

 

ในพระหัตถ์ยังมีดอกซิ่วฉิวสีม่วงอยู่ด้วย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันพบว่า บางครั้งเมื่อมีบุรุษเคียงคู่กับดอกไม้ ผลลัพธ์ที่ได้ยังออกมาแล้วน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าเป็นสตรีเสียอีก 

 

 

อย่างเช่นฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นี้ แม้ว่าจะยังมีพระพักตร์เป็นภูเขาน้ำแข็ง แต่ภายใต้การชักนำของดอกซิ่วฉิว พระองค์ดูแล้วอ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน 

 

 

ที่ด้านนอกหน้าต่างคือทิวทัศน์ของสวนดอกไม้ลานหิมะ ทำให้ภาพของเขาในยามนี้ งดงามจนบอกไม่ถูก 

 

 

จีเฉวียนมองดูนางที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาวนั้นค่อนข้างประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นางลืมกระทั่งจะดึงเสื้อผ้านขึ้นมา 

 

 

ร่างกายที่อยู่ด้านเปล่าเปลือยจนเปล่งประกาย เส้นผมยาวเหยียดตรงลงมา ถูกสายลมพริ้วจนปลิวเบาๆ 

 

 

เห็นจีเฉวียนเอาแต่จดจ้องมองนิ่งงัน ตู๋กูซิงหลันจึงได้สติขึ้นมา นางจัดการสวมใส่เสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ค่อยยิ้มออกมาอย่าเก้อเขิน ” ฝ่าบาท บังเอิญจัง” 

 

 

กิริยาที่นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งนั้น กลับทำเอาจีเฉวียนรู้สึกเจ็บขึ้นมา 

 

 

เขาน่ากลัวมากนักหรือไง? 

 

 

เพราะมีใบหน้าดั่งเป็นภูเขาน้ำแข็งพันปี ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน 

 

 

จีเฉวียนหันพระองค์กลับไปปิดหน้าต่าง จากนั้นค่อยเสด็จมาที่ข้างหน้านาง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเสียดแทงพระนาสิก อ่างน้ำที่มีโลหิตผสมจนแดงชานนั่นเตะตาอย่างยิ่ง 

 

 

เขาเสด็จเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลัน จนคนทั้งคู่ห่างกันเพียงก้าวเดียว เขาค่อยยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงตัวตู๋กูซิงหลันเข้ามา 

 

 

ตู๋กูซิงหลันในยามนี้เดิมที่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว พอถูกเขาดึง ขาก็อ่อนแรง จนเกือบจะล้มลงไปในอ้อมพระอุระ 

 

 

จีเฉวียนจัดการโอบอุ้มนางขึ้นมา วางลงบนเบาะอ่อนนุ่มบนเตียง 

 

 

ดอกซิวฉิวถูกเขาวางเอาไว้ที่ข้างเตียง พระองค์มิได้ตรัสสักประโยค ก็ยื่นพระหัตถ์ไปแก้เสื้อของตู๋กูซิงหลัน จนเผยให้เห็นบาดแผลที่ตรงหัวไหล่ 

 

 

ผิวเนื้อบนปากแผลฉีกขาด อีกทั้งบางส่วนยังเปลี่ยนเป็นสีดำ 

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรดู อยู่ก็รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นพระองค์เองที่ได้รับบาดแผลเช่นนี้ขึ้นมา 

 

 

หากว่าเป็นยามปกติ ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องมีเรี่ยวแรงมาดื้อรั้นกับเขา แต่ว่าตอนนี้นางอ่อนแอมากจริงๆ อีกทั้งยังคร้านจะเถียงกับเขาแล้ว 

 

 

จึงได้แต่ปล่อยให้จีเฉวียนคว้าหัวไหล่ของนางไว้ 

 

 

เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่มีแต่ไอหยินหนาวเย็นไปทั้งร่าง ดูไปแล้วท่าทางดังจะกลืนคนอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

ครู่ต่อมา ก็เห็นพระองค์ล้วงเอาสิ่งของออกมาจากในฉลองพระองค์ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่า ดูกันตามพระอุปนิสัยที่ชั่วร้ายแล้ว เขาจะต้องมาโรยเกลือให้นางแน่ๆ 

 

 

ที่ไหนได้เขากลับล้วงเอาขวดยาออกมา อีกทั้งยังมีผ้าสะอาดผืนหนึ่ง 

 

 

ในหัวของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมคนอย่างฮ่องเต้สุนัขถึงได้พกพาสิ่งของพวกนี้? 

 

 

ตามความเข้าใจที่นางรู้จัก จีเฉวียนสมควรจะเป็นคนที่พกพาพวกแก้วแหวนเงินทองถึงจะถูก 

 

 

จีเฉวียนมิได้ทรงสนพระทัยความงุนงงของนาง ยามที่เขายังเยาว์วัยมักจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ จึงกลายเป็นความเคยชินที่จะต้องพกพายาและผ้าพันแผล เพื่อเผื่อเอาไว้ก่อน 

 

 

เขาบีบมือของนางเอาไว้ แล้วยังใส่ยาให้นางด้วยพระองค์เอง 

 

 

แค่เพียงได้กลิ่น ตู๋กูซิงหลันก็รู้ว่า นี่เป็นยาจินหวงชั้นดี อีกทั้งวิธีการทายาของฮ่องเต้ยังนับได้ว่าชำนาญการอย่างยิ่ง 

 

 

พระหัตถ์ที่เย็นเฉียบค่อยๆ ไล้เนื้อยาลงไปบนรอบๆ ปากแผล สุดท้ายแล้วจึงค่อยใช้ผ้าสะอาดที่ทรงพกไว้พันแผลให้นางอย่างดี 

 

 

ถึงแม้สีพระพักตร์จะดำเคร่งเครียด และมิได้ตรัสสักถ้อยคำ แต่ก็ยังก้มพระเศียรช่วยนางพันแผลต่อไป 

 

 

รอจนทุกอย่างเรียบร้อย ก็ช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า 

 

 

ขณะที่ใส่เสื้อผ้าให้นั้น ปลายประหัตถ์ก็สัมผัสผ่านผิวเนื้อของนางอย่างไม่ได้ตั้งพระทัย ทำเอาพระองค์รู้สึกว่าผิวเนื้อของนางช่างเหมือนลูกนกที่ออกจากเปลือกไข่ นุ่มละมุนยิ่งนัก 

 

 

ทำเอาแทบจะอดไม่ไหวที่จะลูบไล้อีกครา 

 

 

พอทรงคิดขึ้นมาได้ ฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกละอายกับความคิดไม่ดีเช่นนี้ 

 

 

พระองค์ทรงเก็บพระหัตถ์กลับไป ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน อย่างที่ทำให้นางไม่มีที่หลบหลีก 

 

 

ทรงตรัสถามเสียงเข้มว่า ” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? “