ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันยังคงนอนอยู่บนเตียง ประตูถูกมารชุดแดงผู้นั้นลงดานเอาไว้จากภายนอก นางพักผ่อนร่างกายได้พักใหญ่แล้ว ในที่สุดก็ดีขึ้นบ้าง
บนหัวไหล่ยังมีบาดแผลฉีกจากแส้อยู่ เลือดไหลเป็นทางจากหัวไหล่ไปถึงข้อมือ ชนิดที่ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องตกใจ ยังดีที่บาดแผลกินเนื้อไม่ลึก และตอนนี้เป็นฤดูหนาว จึงไม่ติดเชื้อโดยง่าย
เพียงแต่บาดแผลจากแส้ที่สร้างด้วยกระดูกสันหลังของศพเช่นนี้ จะมากน้อยก็ต้องมีไอซากศพซึมเข้าไปในบาดแผล
หากไม่รีบจัดการให้ดีละก็ จะทิ้งผลร้ายจนเกิดปัญหาใหญ่กับร่างกายนี้ได้
เจ้ามารผู้นั้นให้ยาถอนพิษแก่นาง ยังไม่ทันได้จัดการกับบาดแผลก็ถูกเรียกออกไปเสียก่อน
ยามนี้ตู๋กูซิงหลันได้แต่ค่อยๆ ลุกขึ้นมาด้วยตนเอง นางถอดเสื้อผ้าออกข้างหนึ่ง เผยเรียวแขนทั้งข้างออกมา ดีที่ในห้องมีน้ำสะอาดอยู่อ่างหนึ่ง นางค่อยๆ ล้างแผล เลือดที่แข็งตัวไปแล้วละลายออกมา ผสมลงไปในน้ำ
หน้าต่างห้องถูกแง้มเอาไว้เป็นช่องเล็กๆ กลิ่นคาวเลือดจึงกระจายออกไป
จีเฉวียนที่ประทับอยู่ในสวนดอกไม้ ก็กวาดพระเนตรมองมาในทันที
ประสาทสัมผัสในเรื่องกลิ่นของพระองค์ไวมาก โดยเฉพาะกับกลิ่นเลือด ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปที่ประตูซึ่งถูกลงดานเอาไว้อย่างรวดเร็ว ดอกซิ่วชิวในมือยังไม่ทันได้ถูกวางลง ก็เสด็จตรงเข้าไปทันที
ภายในห้อง ตู๋กูซิงหลันล้างแผลเสร็จแล้ว วิญญาณทมิฬก็แทงตนเองแผลหนึ่งโดยไม่ต้องถาม มอบโลหิตหยดหนึ่งของมันให้แก่นาง
โลหิตของมันไม่เพียงสามารถล้างพิษ ยังสามารถชำระไอศพได้ด้วย
วิญญาณทมิฬพบว่าตัวมันชักจะกลายเป็นยาว่านหลิงตัน (ยาชุบชีวิต) เสียแล้ว ตำหรับวิเศษนี้ไม่ว่าใครต้องการเป็นต้องแจกให้เขาไปเสียหมด
คิดแล้วมันก็ได้แต่คลำก้นน้อยๆ ของตนเอง กล่าวอย่างน้อยอกน้อยใจว่า “เจ้าใช้ประหยัดๆ หน่อยเถอะนะ “
ตู๋กูซิงหลันหยิบกระดาษยันต์ออกมาแผ่นหนึ่ง ใช้โลหิตของวิญญาณทมิฬวาดอักขระลงไป จากนั้นสะกิดปลายนิ้วสร้างดวงไฟสีฟ้าขึ้นมาเผายันต์ใบนั้น ค่อยนำเอาขี้เถ้าที่เหลือโป๊ะลงไปบนบาดแผล
เพียงครู่เดียว ก็ได้ยินเสียงซี่ๆ จากปากแผล และมีไอดำลอยออกมา
” เจ้าสิ่งนี้ร้ายกาจจริงๆ ศพคืนชีพสามารถฝึกฝนได้จนถึงขนาดนี้ช่างหาได้ยากจริงๆ ” วิญญาณทมิฬลูบคลำปลายคางขณะพูดไปด้วย
โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในโลกมิติใบนี้ ศพคืนชีพที่เคยพบเจอครั้งก่อนก็มีแต่เสียนไท่เฟยเท่านั้น แต่เสียนไท่เฟยนอกจากจิตใจที่ลึกซึ้งชั่วร้ายแล้ว ด้านอื่นยังไม่ถือว่าจะมีฝีมือสักเท่าใด
เจ้าตัวที่ได้พบในวันนี้ นับว่าร้ายกาจกว่าเสียนไท่เฟยมากมายนัก
ตู๋กูซิงหลันหัวคิ้วขมวดแนบแน่น ขี้เถ้ายันต์พอสาดโดนปากแผล ความรู้สึกนั้นยังเจ็บปวดแสบเสียยิ่งกว่าทาเกลือลงบนเนื้ออีก
นางได้แต่ขบฟันอดทนเอาไว้ ศพคืนชีพผู้นั้น จะต้องมีความเกี่ยวพันกับอันหยวนกูกูที่อยู่ในวังหลวงเป็นแน่
ตอนนี้นางยังคงไม่เข้าใจ พวกเขาลงมือกับองค์หญิงใหญ่ไปเพื่ออะไร
เพียงแต่มั่นใจว่าคนพวกนี้จะต้องคิดทำการณ์ใหญ่อย่างแน่นอน
นับตั้งแต่ที่อันหยวนกูกูผู้นั้นกลับเข้าวังมา พวกนางสองคนก็ยังไม่เคยพบหน้ากัน รอให้บาดแผลหายดีก่อน ดูท่าจะต้องไปพบหน้าเข้าสักหน่อย
ที่นอกห้อง จีเฉวียนประทับอยู่ที่ริมหน้าต่าง ทอดพระเนตรมองผ่านช่องแคบๆ จนมองเห็นเหตุการ์ด้านใน
สาวน้อยหันหลังให้เขา นางถอดเสื้อผ้าลงไปกว่าครึ่ง จึงสามารถมองเห็นแผ่นหลังกว่าครึ่งหนึ่งได้อย่างชัดเจน ลำคอระหงดุจคอห่าน ลำแขนเรียวบางเป็นลายเส้นที่อ่อนช้อยงดงาม ผิวขาวสะอาดราวหยกเนื้อดีที่ส่องประกาย คล้ายดั่งเป็นสมบัติล้ำค่าในโลก
จีเฉวียนพยายามมองผ่านสิ่งที่ดึงดูสายตาเหล่านั้นไป สิ่งสำคัญคือหัวไหล่ของนาง เขาได้ยินเสียงนางบ่นพึมพำ ทั้งยังเห็นเผากระดาษยันต์แผ่นหนึ่งโป๊ะลงไปบนบาดแผล
และถึงแม้ว่าคนจะหันหลังให้กับเขา แต่เขาก็รู้สึกได้ว่านางกำลังเจ็บปวดอย่างมาก
สาวน้อยยังคนพึมพำกับตนเองต่อไป ราวกับว่าที่ข้างกายนางมีอะไรอยู่ด้วย
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงซู่ๆ ซี่ๆ เย็นๆ ดังออกมา ร่างทั้งร่างพลอยสั่นสะท้าน บนหัวไหล่นั้นมีไอสีดำระเหยออกมาจนเขาสามารถมองเห็นได้ดวงตาเปล่า
จีเฉวียนก็ไม่ครุ่นคิดให้มากอีกต่อไป เขากระชากหน้าต่างออก พลิกตัวเข้าไป
สายลมเย็นพัดวูบเข้ามา ตู๋กูซิงหลันถูกลมเย็นพัดจนรู้สึกขนลุกกราว นางห่อไหล่หันหน้ากลับไปมอง พึ่งเอี้ยวตัวไปก็เห็นพระพักตร์ที่เย็นชาของจีเฉวียนยืนอยู่เบื้องหน้านาง
ในพระหัตถ์ยังมีดอกซิ่วฉิวสีม่วงอยู่ด้วย
ตู๋กูซิงหลันพบว่า บางครั้งเมื่อมีบุรุษเคียงคู่กับดอกไม้ ผลลัพธ์ที่ได้ยังออกมาแล้วน่าประทับใจเสียยิ่งกว่าเป็นสตรีเสียอีก
อย่างเช่นฮ่องเต้ที่อยู่ตรงหน้าพระองค์นี้ แม้ว่าจะยังมีพระพักตร์เป็นภูเขาน้ำแข็ง แต่ภายใต้การชักนำของดอกซิ่วฉิว พระองค์ดูแล้วอ่อนโยนขึ้นมาอีกหลายส่วน
ที่ด้านนอกหน้าต่างคือทิวทัศน์ของสวนดอกไม้ลานหิมะ ทำให้ภาพของเขาในยามนี้ งดงามจนบอกไม่ถูก
จีเฉวียนมองดูนางที่อยู่เบื้องหน้าของเขา ใบหน้าเล็กๆ ที่ซีดขาวนั้นค่อนข้างประหลาดใจอยู่เล็กน้อย นางลืมกระทั่งจะดึงเสื้อผ้านขึ้นมา
ร่างกายที่อยู่ด้านเปล่าเปลือยจนเปล่งประกาย เส้นผมยาวเหยียดตรงลงมา ถูกสายลมพริ้วจนปลิวเบาๆ
เห็นจีเฉวียนเอาแต่จดจ้องมองนิ่งงัน ตู๋กูซิงหลันจึงได้สติขึ้นมา นางจัดการสวมใส่เสื้อผ้า ขณะเดียวกันก็ก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ค่อยยิ้มออกมาอย่าเก้อเขิน ” ฝ่าบาท บังเอิญจัง”
กิริยาที่นางก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่งนั้น กลับทำเอาจีเฉวียนรู้สึกเจ็บขึ้นมา
เขาน่ากลัวมากนักหรือไง?
เพราะมีใบหน้าดั่งเป็นภูเขาน้ำแข็งพันปี ไม่ว่าใครได้เห็นเป็นต้องหวาดกลัวอยู่หลายส่วน
จีเฉวียนหันพระองค์กลับไปปิดหน้าต่าง จากนั้นค่อยเสด็จมาที่ข้างหน้านาง กลิ่นคาวเลือดที่เข้มข้นเสียดแทงพระนาสิก อ่างน้ำที่มีโลหิตผสมจนแดงชานนั่นเตะตาอย่างยิ่ง
เขาเสด็จเข้าไปใกล้ตู๋กูซิงหลัน จนคนทั้งคู่ห่างกันเพียงก้าวเดียว เขาค่อยยื่นพระหัตถ์ออกไปดึงตัวตู๋กูซิงหลันเข้ามา
ตู๋กูซิงหลันในยามนี้เดิมที่ก็ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่แล้ว พอถูกเขาดึง ขาก็อ่อนแรง จนเกือบจะล้มลงไปในอ้อมพระอุระ
จีเฉวียนจัดการโอบอุ้มนางขึ้นมา วางลงบนเบาะอ่อนนุ่มบนเตียง
ดอกซิวฉิวถูกเขาวางเอาไว้ที่ข้างเตียง พระองค์มิได้ตรัสสักประโยค ก็ยื่นพระหัตถ์ไปแก้เสื้อของตู๋กูซิงหลัน จนเผยให้เห็นบาดแผลที่ตรงหัวไหล่
ผิวเนื้อบนปากแผลฉีกขาด อีกทั้งบางส่วนยังเปลี่ยนเป็นสีดำ
พระองค์ทอดพระเนตรดู อยู่ก็รู้สึกคล้ายกับว่าเป็นพระองค์เองที่ได้รับบาดแผลเช่นนี้ขึ้นมา
หากว่าเป็นยามปกติ ตู๋กูซิงหลันย่อมต้องมีเรี่ยวแรงมาดื้อรั้นกับเขา แต่ว่าตอนนี้นางอ่อนแอมากจริงๆ อีกทั้งยังคร้านจะเถียงกับเขาแล้ว
จึงได้แต่ปล่อยให้จีเฉวียนคว้าหัวไหล่ของนางไว้
เจ้าฮ่องเต้สุนัขที่มีแต่ไอหยินหนาวเย็นไปทั้งร่าง ดูไปแล้วท่าทางดังจะกลืนคนอย่างไรอย่างนั้น
ครู่ต่อมา ก็เห็นพระองค์ล้วงเอาสิ่งของออกมาจากในฉลองพระองค์ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่า ดูกันตามพระอุปนิสัยที่ชั่วร้ายแล้ว เขาจะต้องมาโรยเกลือให้นางแน่ๆ
ที่ไหนได้เขากลับล้วงเอาขวดยาออกมา อีกทั้งยังมีผ้าสะอาดผืนหนึ่ง
ในหัวของตู๋กูซิงหลันเต็มไปด้วยคำถาม ทำไมคนอย่างฮ่องเต้สุนัขถึงได้พกพาสิ่งของพวกนี้?
ตามความเข้าใจที่นางรู้จัก จีเฉวียนสมควรจะเป็นคนที่พกพาพวกแก้วแหวนเงินทองถึงจะถูก
จีเฉวียนมิได้ทรงสนพระทัยความงุนงงของนาง ยามที่เขายังเยาว์วัยมักจะได้รับบาดเจ็บอยู่เสมอ จึงกลายเป็นความเคยชินที่จะต้องพกพายาและผ้าพันแผล เพื่อเผื่อเอาไว้ก่อน
เขาบีบมือของนางเอาไว้ แล้วยังใส่ยาให้นางด้วยพระองค์เอง
แค่เพียงได้กลิ่น ตู๋กูซิงหลันก็รู้ว่า นี่เป็นยาจินหวงชั้นดี อีกทั้งวิธีการทายาของฮ่องเต้ยังนับได้ว่าชำนาญการอย่างยิ่ง
พระหัตถ์ที่เย็นเฉียบค่อยๆ ไล้เนื้อยาลงไปบนรอบๆ ปากแผล สุดท้ายแล้วจึงค่อยใช้ผ้าสะอาดที่ทรงพกไว้พันแผลให้นางอย่างดี
ถึงแม้สีพระพักตร์จะดำเคร่งเครียด และมิได้ตรัสสักถ้อยคำ แต่ก็ยังก้มพระเศียรช่วยนางพันแผลต่อไป
รอจนทุกอย่างเรียบร้อย ก็ช่วยนางสวมใส่เสื้อผ้า
ขณะที่ใส่เสื้อผ้าให้นั้น ปลายประหัตถ์ก็สัมผัสผ่านผิวเนื้อของนางอย่างไม่ได้ตั้งพระทัย ทำเอาพระองค์รู้สึกว่าผิวเนื้อของนางช่างเหมือนลูกนกที่ออกจากเปลือกไข่ นุ่มละมุนยิ่งนัก
ทำเอาแทบจะอดไม่ไหวที่จะลูบไล้อีกครา
พอทรงคิดขึ้นมาได้ ฮ่องเต้ก็ทรงรู้สึกละอายกับความคิดไม่ดีเช่นนี้
พระองค์ทรงเก็บพระหัตถ์กลับไป ดวงเนตรหงส์จดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน อย่างที่ทำให้นางไม่มีที่หลบหลีก
ทรงตรัสถามเสียงเข้มว่า ” เจ้าคือผู้ใดกันแน่? “