บทที่ 205 เมื่อศัตรูทั้งสองได้เจอกันและยิ่งรุนแรงมากกว่าเก่า

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 205 เมื่อศัตรูทั้งสองได้เจอกันและยิ่งรุนแรงมากกว่าเก่า

เมื่อมู่หรงเสวี่ยวางโทรศัพท์แล้ว เธอก็รีบส่งข้อความไปหาฮวงฟูอี้ทันที “อี้ ช่วยฉันปกป้องคุณปู่คุณย่าที่ดราก้อนพาวิลเลี่ยนทีนะได้โปรด!!!! และฉันรักนาย!!!”

เธอส่งข้อความและโยนโทรศัพท์เข้าไปในมิติลับเพื่อที่ร่างกายเธอจะได้ไม่มีอะไรติดตัวอยู่เลยเพราะเธอรู้ว่าถ้าเธอพกอะไรไป เสี่ยวเข่อลี่ก็คงจะยึดทุกอย่างไปจากเธอแน่ๆ

คืนนี้อากาศเย็นเป็นพิเศษ ถนนที่มืดมิดไม่มีแสง ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยสงบอย่างที่สุด เมื่อต้องรับมือกับเสี่ยวเข่อลี่เธอจะพลาดไม่ได้แม้แต่นิดเดียว

เธอไม่รู้ว่าฮวงฟูอี้จะทำยังไงเมื่อได้รับข้อความแบบนี้ ถึงแม้เธอจะรู้ดีว่าเขาทรงอำนาจแต่ช่วงที่ผ่านมาก็ทำให้เธอได้เรียนรู้ว่าแม้แต่อำนาจของดราก้อนพาวิลเลี่ยนก็ยังแก้ไขปัญหาเรื่ององค์กรลับไม่ได้ ซึ่งองค์กรลับนี่อาจจะเกี่ยวข้องกับเสี่ยวเข่อลี่ด้วย เธอจะเอาชีวิตพ่อแม่มาล้อเล่นไม่ได้

ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถสปอร์ตสีดำก็มาจอดตรงหน้าเธอ ประตูเปิดออกแต่ไม่มีใครลงมาจากรถ มู่หรงเสวี่ยเดินเข้าไปใกล้ ก้าวขึ้นรถและเห็นว่าข้างในรถมีเพียงสองคนเท่านั้น

เมื่อคิดว่าพ่อแม่เธอยังอยู่ในมือพวกเขา แต่พวกนั้นก็ยังไม่น่าที่จะลงมือทำอะไร

เธอกำหมัดแน่นซึ่งแสดงถึงความผิดหวังอย่างแท้จริง!!!

ทันทีที่มู่หรงก้าวขึ้นรถไป การ์ดที่หน้าประตูวิลล่าก็รีบโทรแจ้งชูอี้เสิ่นทันทีถึงเรื่องสถานการณ์ที่ผิดปกติของมู่หรงเสวี่ย

กว่าที่ฮวงฟูอี้จะได้เห็นข้อความเวลาก็เลยไปเป็นชั่วโมงแล้ว เมื่อกี้เขาทำงานและวางโทรศัพท์ไว้ที่อื่นจึงไม่เห็นข้อความ เขารีบกดโทรหาหลงอี้ทันที

“ดราก้อนมาสเตอร์!”
“เกิดเรื่องกับมู่หรงเสวี่ย นายจัดคนไปรับคุณปู่คุณย่าของเสี่ยวเสวี่ยมาที่ฐาน แล้วออกคำสั่งเหล่ามังกรไปให้หาที่อยู่ของเสี่ยวเสวี่ยอย่างเร็วที่สุด อีกอย่างบอกให้แผนกข้อมูลหาด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลมู่หรง? ส่วนนายกับฉันไปดูเสี่ยวเสวี่ยที่วิลล่า…” เขาโทรหาเสี่ยวเสวี่ยตอนที่เห็นข้อความแต่เบอร์ก็ติดต่อไม่ได้

ขับห่างออกมาจากวิลล่าของมู่หรงเสวี่ยเพียงชั่วโมงเดียว เธอกลัวที่จะต้องสูญเสียอีกครั้ง

ไม่ว่ามู่หรงเสวี่ยจะพยายามมากแค่ไหน คนทั้งสองก็ไม่ยอมพูดอะไรเลยสักคำ คนพวกนี้เทิดทูนเสี่ยวเข่อลี่

ดูเหมือนว่าพวกนี้ตั้งใจที่จะทำให้เธอสับสน รถเลี้ยวไปตามถนน 7-8 รอบอยู่หลายครั้ง แล้วก็ขับต่อไปบนถนนที่ห่างไกลมากๆ ด้านนอกก็เป็นป่ารกทึบ ชายคนหนึ่งในรถหยิบผ้าสีดำออกมาและพูดว่า “ปิดตาตัวเองซะ!”

มู่หรงเสวี่ยไม่ได้ขัดขืนเพราะรู้ว่าขัดขืนไปก็เปล่าประโยชน์ ผ้าสีดำถูกผูกไว้อย่างแน่นจนเธอรู้สึกเจ็บหน้าไปหมด

สิ่งที่คนพวกนี้ไม่รู้คือถึงแม้จะผูกตาเธอไว้แน่นแค่ไหน แต่เธอก็ยังสามารถที่จะมองผ่านทะลุไปได้ ในตอนนี้เธอรู้สึกขอบคุณความสามารถในการมองเห็นของตัวเองอย่างมาก เธอเพ่งสมาธิเพื่อที่จะตั้งใจมองไปที่เส้นทางของรถผ่านผ้าสีดำแล้วนี่เธอก็วนกลับมาที่เมืองหลวงแล้วจริงๆด้วย อย่างไรก็ตามอีกฝั่งก็ดูจะไม่ค่อยสบายใจเท่าไร หลังจากที่เลี้ยวไปมาอยู่หลายรอบ เขาก็หยุดที่วิลล่าแห่งหนึ่ง

เมื่อรถจอด ชายคนหนึ่งก็ดึงมู่หรงเสวี่ยลงมาจากรถ ส่วนชายอีกคนก็รีบขับรถออกไปอย่างเร็ว

ชายคนนั้นดึงมู่หรงเสวี่ยและผลักให้เธอเดินไปข้างหน้าอย่างหยาบคาย นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงเสวี่ยสามารถมองทะลุได้ เธอก็คงจะล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ทั้งสองเดินเข้าไปในวิลล่าด้วยกัน หลังจากที่เข้าไปในห้องด้านในสุดแล้ว ชายคนนั้นก็ขยับแจกันแล้วจึงใส่รหัสเพื่อเปิดประตูที่กำแพง หลังจากที่ชายคนนั้นใส่รหัส ก็มีทางเดินปรากฏอยู่ด้านหลังประตูขึ้นมาทันที และมีบันไดอยู่ด้านล่างทางเดิน

เป็นห้องใต้ดินอีกแล้ว จู่ๆความทรงจำอันเลวร้ายของชีวิตที่แล้วก็ผุดขึ้นมาอีก เลือดหยดสุดท้ายยังประทับตราตรึงอยู่ในหัวใจของเธอได้อย่างชัดเจน มือที่กำหมัดแน่นของเธอเริ่มที่จะซีดขาว เธอพลาดทั้งๆที่ได้กลับมาจากชีวิตที่แล้วได้ยังไง

หลังจากที่เดินผ่านบันไดยาวมาก็จะเจอห้องมากมาย
มู่หรงเสวี่ยไม่รู้เลยว่าชายที่อยู่ข้างหลังมองมาที่เธออย่างสับสน เพราะท่าทางการเดินลงบันไดของมู่หรงช่างดูเป็นธรรมชาติเกินไป ราวกับว่าเธอมองเห็น แต่เมื่อเขามองไปที่ผ้าสีดำที่ยังคงผูกแน่นก็รู้สึกว่ามันเป็นไปไม่ได้

ชายคนนั้นเดินมาข้างหน้าและดึงมู่หรงเข้าไปในห้อง เสี่ยวเข่อลี่กำลังนั่งอยู่ในห้อง ในตอนนี้เธอไม่มีความเป็นเด็กนักเรียนหลงเหลืออยู่เลย เพราะชุดรัดรูปที่เธอใส่และท่าทางที่ดูโตเกินวัย

เสี่ยวเข่อลี่ในตอนนี้พร้อมด้วยท่าทางที่ทำให้มู่หรงต้องกัดฟันแน่น รู้สึกเกลียดเสี่ยวเข่อลี่มากจนอยากที่จะฉีกเธอให้เป็นชิ้นๆไปเลย

ชายคนนั้นถอดผ้าผูกตาสีดำออกให้มู่หรง แล้วหลังจากนั้นก็หันไปทำความเคารพให้เสี่ยวเข่อลี่

มู่หรงมองไปที่เสี่ยวเข่อลี่และถามออกไป “แล้วพ่อแม่ฉันล่ะ?” เธอมองไปที่ห้องที่เปิดอยู่แต่ก็ไม่เห็นใคร

เสี่ยวเข่อลี่ม้วนผมเป็นลอนของเธอเล่น พร้อมทั้งทำปากจุ๊ๆและหัวเราะออกมา “ไม่ต้องห่วงหรอก กำไลอยู่ไหนล่ะ? เอามาด้วยหรือเปล่า?”

มู่หรงเสวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพร้อมรอยยิ้ม “เธอทำเหมือนฉันเป็นคนโง่! แล้วฉันจะเอามาที่นี่ด้วยได้ยังไงล่ะ?!! ให้ฉันเจอพ่อกับแม่ก่อน” เธอจำได้ว่าในชีวิตที่แล้วเสี่ยวเข่อลี่ไม่ได้ทำให้กำไลล่องหน เธอคงจะไม่รู้วิธีที่จะทำให้กำไลล่องหน

เสี่ยวเข่อลี่จ้องไปที่มู่หรงเสวี่ย เธอสวมเพียงชุดสูทลำลองธรรมดาๆ เธอไม่มีกระเป๋าหรือที่จะซ่อนของอะไรได้เลย เธอขมวดคิ้ว เธอคิดว่าตราบใดที่เธอมาพร้อมกับกำไล เธอก็จะแย่งมาเพราะเธอไม่มีทางปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้อยู่แล้ว มู่หรงเสวี่ยที่ได้กลับมาเกิดใหม่คนนี้ดูเหมือนจะฉลาดขึ้นกว่าเดิมมาก…งั้นเธอก็จะเล่นด้วยสักตั้ง

“บอกมาว่ากำไลอยู่ที่ไหนแล้วฉันจะปล่อยคุณป้าทันทีเลย…” เสี่ยวเข่อลี่พูด
สายตาของมู่หรงเสวี่ยเยือกเย็นขึ้นมาเล็กน้อยแล้วไม่นานก็แวบจางไป เธอค่อยๆเดินอย่างสบายๆไปนั่งลงที่โซฟา “เสี่ยวเข่อลี่อย่าเสียเวลาเลย ฉันไม่ส่งกำไลให้เธอหรอกถ้ายังไม่เจอพ่อกับแม่…” เธอถึงขนาดยกกาน้ำชาขึ้นมารินชาให้ตัวเอง ถ้าไม่สนใจเหงื่อชุ่มที่มือ ท่าทางของมู่หรงเสวี่ยในตอนนี้ก็ดูสงบอย่างมากจริงๆ

น่าสนใจ ท่าทางสงบของมู่หรงเสวี่ยเกินความคาดหมายของเธอไปมาก ไม่คิดเลยว่าเธอจะกลายเป็นคนที่เยือกเย็นแบบนี้ ในชีวิตที่แล้วเธอเป็นเพียงเด็กสาวโง่ๆคนหนึ่ง

“งั้นฉันจะเอานิ้วของคุณป้าให้ดูนิ้วหนึ่งแล้วกันนะ!” เสี่ยวเข่อลี่มีรอยยิ้มที่มุมปาก เธอแค่ทนสีหน้าที่สงบนิ่งของมู่หรงเสวี่ยไม่ได้ก็เท่านั้น เดี๋ยวต่อมาเธอก็จะต้องคุกเข่าลงตรงหน้าเธอพร้อมร้องไห้อ้อนวอนเหมือนในชีวิตที่แล้ว

มือของมู่หรงเสวี่ยที่กำลังรินน้ำชาหยุดเพียงเล็กน้อยแล้วก็ดึงสติกลับมาได้ในทันที “ถ้าเธอไม่อยากได้กำไล ฉันก็ไม่สนใจหรอก…” เธอพูด ราวกับว่าเธอไม่ได้สนใจเลยสักนิด ไม่ว่าเสี่ยวเข่อลี่จะพูดอะไร เธอจะอ่อนแอให้เห็นก่อนไม่ได้ ไม่งั้นไม่เพียงแต่จะช่วยพวกท่านไม่ได้แต่กลับจะยิ่งทำให้พวกท่านได้รับอันตรายเร็วขึ้นไปอีกด้วย

สาวตาของเสี่ยวเข่อลี่เย็นชา “ฮ่าฮ่า น่าสนใจ…” เธอหยุดไปชั่วขระ แล้วโบกมือให้ชายที่อยู่ข้างหลังเธอเดินมาข้างหน้า “นายรู้ว่าต้องทำยังไง…” หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็แตะไปที่หูของชายคนนั้นซึ่งดูมีเสน่ห์และยั่วยวนมาก อันที่จริง นี่เป็นรหัสลับระหว่างเธอกับลูกน้อง การแตะที่หูหมายถึงการหลอกลวง

“ครับ” ชายคนนั้นตอบและเดินออกไป

มู่หรงเสวี่ยกำมือที่ถือถ้วยชาแน่น ภายใต้เสื้อผ้าเธอชุ่มไปด้วยเหงื่อ เธอพยายามที่จะข่มจังหวะหัวใจที่เต้นรัว เธอรู้ว่าเสี่ยวเข่อลี่กำลังทดสอบเธอ ถ้าเธออ้อนวอนเธอ ทุกอย่างก็จะพังไม่เป็นท่า เธอเดิมพันกับเสี่ยวเข่อลี่ด้วยกำไลมิติลับที่แสนจะสำคัญ

ไม่นานนักชายคนนั้นก็เดินกลับเข้ามาพร้อมกับถาดที่มีผ้าคลุมอยู่ หัวใจของมู่หรงเสวี่ยเต้นรัวขึ้นมาถึงคอ

“ฮ่าฮ่าฮ่า น่าสนใจ เรื่องน่าสนุกแบบนี้จะไม่ให้ลูกพี่ลูกน้องที่แสนดีของฉันได้เห็นได้ยังไงใช่ไหมล่ะ?! ลองดูซะสิ” เสี่ยวเข่อลี่หัวเราะเสียงดังอย่างตื่นเต้นซึ่งพยายามที่จะทำให้มู่หรงเสวี่ยประสาทเสียให้ได้

ชายคนนั้นวางถาดลงบนโต๊ะตรงหน้ามู่หรงเสวี่ยและเปิดผ้าสีแดงที่คลุมถาดออกทันที ในถาดมีนิ้วเปื้อนเลือดสองนิ้ววางอยู่ ดวงตาของมู่หรงเสวี่ยเบิกกว้างและเธอต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้อ้วกออกมา หลังจากที่มองนิ้วทั้งสองอย่างละเอียดแล้วเธอก็ผ่อนคลายลงนิดหน่อย นี่ไม่ใช่นิ้วของพ่อแม่เธอ ต้องขอบคุณความสามารถในการจำของเธอ เธอจำลักษณะนิ้วของพ่อแม่ตัวเองได้อย่างชัดเจน

มู่หรงไม่ได้พูดอะไรแต่ลุกขึ้นและมองไปที่เสี่ยวเข่อลี่อย่างเย็นชา “ดูเหมือนว่าเธอคงไม่อยากที่จะต่อรอง ถ้าเป็นแบบนั้นงั้นฉันกลับล่ะ!”

เสี่ยวเข่อลี่หัวเราะ “ล้อเล่นหรือไง เธอคิดว่าฉันจะปล่อยเธอออกไปง่ายๆงั้นเหรอ?” อย่างไรก็ตามสีหน้าของมู่หรงเสวี่ยไม่เปลี่ยนแปลงซึ่งไม่ใช่สิ่งที่เธอคาดไว้เลย…ดูเหมือนว่าวิธีนี้จะไม่ได้ผล…ถ้าเป็นแบบนี้ เธอคงต้องแย่งกำไลมิติลับมา ในชีวิตที่แล้วเธอเคยลองใช้กำไลมิติลับและรู้ว่ามันดีขนาดไหน ดังนั้นเธอจะไม่ยอมแพ้แน่ๆ

มู่หรงเสวี่ยหันไปมองเสี่ยวเข่อลี่ “เธอคิดว่าฉันมาที่นี่โดยไม่มีการเตรียมตัวอะไรเลยงั้นเหรอ?! เสี่ยวเข่อลี่ เธอนี่ไร้เดียงสาจริงๆเลยนะ” เธอมองไปที่เธออย่างดูถูก

สีหน้าของเสี่ยวเข่อลี่เปลี่ยนไป “เธอหมายความว่าไง?! เธอคงไม่ลืมใช่ไหมว่าพ่อแม่เธอยังอยู่กับฉัน?” เมื่อนึกถึงท่าทางของมู่หรงที่เพิ่งเห็นนิ้วที่ขาดทั้งสองแต่กลับไม่มีทีท่าสนใจหรือสีหน้าที่เปลี่ยนไปเลย

มู่หรงเสวี่ยดูเหมือนจะรู้ว่าเสี่ยวเข่อลี่กำลังคิดอะไรอยู่จึงพูดออกมาอย่างเย็นชาอีกครั้ง “ฉันเอากำไลให้คนอื่นไปแล้ว ถ้าฉันไปกลับไปก่อนพระอาทิตย์ขึ้นพรุ่งนี้ กำไลนั่นจะถูกทำลาย…”

ในที่สุดเสี่ยวเข่อลี่ก็เสียสติ “นี่เธอโง่หรือไง? เธอไม่ควรที่จะเอากำไลที่สำคัญขนาดนั้นให้คนอื่นสิ!” เมื่อนึกถึงกำไลที่ด้านในมีน้ำพุจิตวิญญาณ เสี่ยวเข่อลี่ก็รู้สึกคันขึ้นมาอย่างทนไม่ได้ ถ้าคนอื่นรู้เรื่องความลับนี้ล่ะ?! แน่นอน ไม่มีใครรู้เรื่องเด็กน้อยที่ดื้อรั้นนั้นหรอก ไม่มีใครมั่นใจได้ว่าเธอจะต้านทานกองกำลังทั้งหมดได้ แม้แต่ในชีวิตที่แล้วเธอก็ยังเก็บเรื่องนี้เป็นความลับอย่างดี ถ้าไม่ใช่เพราะอยากจะกระตุ้นมู่หรงเสวี่ย เธอก็คงไม่พูดออกมาเหมือนกัน