บทที่ 831 : หลิงยู่รู้สึกหึงหวงเช่นกัน!
บ้านทั้งหลังของหลิงหยุนได้กลายเป็นค่ายกลหลุมพลังไปแล้วพลังชีวิตที่ถูกดูดเข้ามาภายในบ้านนั้นจึงไม่แพร่กระจายออกไปด้านนอก ทำให้ต้นไม้ดอกไม้ภายในสวนเจริญเติบโต และงอกงามกว่าที่อยู่ด้านนอกอย่างเห็นได้ชัด
ภายในบ้านเลขที่-1ของหลิงหยุนนั้น อย่าว่าแต่สิ่งมีชีวิตเลย แม้แต่หยดน้ำสักหยด หรือก้อนหินสักก้อน ก็ยังดูมีชีวิตชีวาแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิตอื่นๆที่อยู่ด้านนอกมาก
ยิ่งนานวันมากขึ้นก็ยิ่งสัมผัสถึงความพิเศษนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เวลานี้แม้แต่คนธรรมดาที่เข้ามาในบ้านเลขที่-1 ของหลิงหยุนนั้น ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ต้องสูดลมหายใจลึก เพราะสัมผัสได้ถึงความสดชื่นบริสุทธิ์ภายในบ้าน
ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่นั้นเป็นคนสำคัญสำหรับหลิงหยุนทันทีที่ทั้งคู่ปรากฏตัว หลิงหยุนก็รีบเปิดจิตหยั่งรู้สำรวจดูขั้นกำลังภายในของหญิงสาวทั้งสองคนทันที!
ฉินตงเฉี่วยนั้นอยู่ในขั้นเซียงเทียน-5ส่วนหนิงหลิงยู่อยู่ในขั้นโฮ่วเทียน-8!
แต่หลิงหยุนสังเกตเห็นว่าทั้งคู่กลับมีขีดจำกัดในการต่อสู้สูงกว่าที่ควรจะเป็นหนึ่งขั้นฉินตงเฉี่วยนั้นหากปะมือกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-6 อย่างน้อยก็ไม่บาดเจ็บอย่างแน่นอน ส่วนหนิงหลิงยู่นั้นดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่า เพราะสามารถปะมือกับยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-1 ได้!
ทันทีที่หนิงหลิงยู่ก้าวเท้าเข้ามาภายในบ้านพลังชีวิตที่อยู่ในสวนก็หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเธอทันที!
ใบไม้สีเขียวต่างก็เริ่มสั่นอยู่ตลอดเวลาและน้ำในสระก็เริ่มกระเพื่อมเป็นวงราวกับมีสายลมพัดผ่าน ดูราวกับพลังชีวิตเหล่านั้นกำลังสารภาพว่า การได้หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของหนิงหลิงยู่นั้นคือความสุข..
หลิงหยุนเข้าใจดีว่าเหตุใดจึงเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นนั่นเพราะร่างของหนิงหลิงยู่นั้นเป็นกายอัปสร พลังชีวิตที่อยู่รายรอบจึงถูกดูดเข้าไปได้โดยอัตโนมัติ อีกทั้งพลังชีวิตธาตุน้ำและธาตุไม้นั้น ก็ยังเป็นพลังชีวิตที่เหมาะสมกับกายอัปสรของเธอมากที่สุดด้วย
“ไม่น่าเชื่อ!”
หลิงหยุนได้แต่ตื่นเต้นดีใจจนไม่สามารถอธิบกายออกมาเป็นคำพูดได้..เขาได้แต่คิดอยู่ในใจคนเดียวว่า พื้นฐานการบ่มเพาะของหนิงหลิงยู่นั้นช่างเสถียรและมั่นคงราวกับหินผา!
และเมื่อฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่เดินลงมาจากรถทั้งสองคนก็เดินเข้าไปในบ้านอย่างคนธรรมดา ไม่ได้ใช้วิชาการเคลื่อนไหวใดๆเลยแม้แต่น้อย ทั้งคู่ค่อยๆก้าวเท้าเข้าไปในบ้านด้วยท่วงท่าที่สงบเยือกเย็น..
ฉินตงเฉี่วยอยู่ในชุดกระโปรงสีขาวปล่อยผมยาวประบ่า คิ้วคู่สวยก็ขมวดเข้าห้ากันเล็กน้อย ระหว่างที่เยื้องย่างเข้าไปนั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นถึงกับต้องหายใจติดขัดกันเลยทีเดียว!
ส่วนหนิงหลิงยู่นั้นอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวที่สอดชายเสื้อไว้ในกางเกงยีนส์รัดรูปและสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวซึ่งเหมาะกับการฝึกฝนอย่างยิ่ง ใบหน้าของเธองดงามราวกับเทพธิดาในฝัน ดวงตากลมโตนั้นบ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดและมั่นอกมั่นใจ แต่ก็ยังมีความเขินอายอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งไม่มากและไม่น้อยจนเกินไป
ฉินตงเฉี่วยนั้นงามสง่าส่วนหนิงหลิงยู่ก็งดงามสดใส เวลานี้แสงอาทิตย์ได้ทำให้อุณภูมิสูงถึงสามสิบแปดองศา และกำลังแผดเผาพื้นโลกอยู่ แต่เมื่อหญิงสาวทั้งสองคนเดินข้ามา กลับทำให้บรรยากาศภายในสวนดูราวกับเป็นฤดูใบไม้ผลิขึ้นมาทันที ความงดงามของทั้งคู่นั้นแม้แต่ดอกไม้ที่กำลังบานอยู่ในสวน ก็ถึงกับหมองขึ้นมาทันที..
“น้าหญิง..หลิงยู่!”
หลิงหยุนไม่พบเจอหญิงสาวทั้งสองคนมานานหลายวันจึงรีบกระโดดออกไปต้อนรับทันที!
ทุกคนที่อยู่ในบ้านต่างก็รู้สึกว่าจู่ๆร่างของหลิงหยุนก็หายวับไปต่อหน้าต่อตา แต่เมื่อรู้สึกตัวอีกทีร่างของหลิงหยุนก็ไปปรากฏตรงหน้าของเทพธิดาฉินกับหนิงหลิงยู่เสียแล้ว..
“เจ้าเด็กดื้อ..ยังกล้าโผล่หน้ามาให้ข้าเห็นอีกรึ เจ้าหายหน้าหายตาไปหลายวัน กลับมาจิงฉูกลับไม่บอกให้ข้ารู้! นี่เจ้ายังเห็นข้าอยู่ในสายตาหรือไม่?”
เทพธิดาฉินไม่ไว้หน้าหลิงหยุนเลยแม้แต่น้อยนางยกมือขวาขึ้นบิดหูของหลิงหยุน และพาเดินตามเข้าบ้านทันที
“น้าหญิง..ข้ารู้ตัวว่าผิดไปแล้ว! น้าหญิงได้โปรดเมตตาข้าด้วย..”
หลิงหยุนร้องตะโกนขอความเมตตาจากฉินตงเฉี่วย..
“พี่ใหญ่!”
น้ำเสียงกังวานไพเราะของหนิงหลิงยู่ดังขึ้นและใบหน้างดงามราวเทพธิดานั้นก็เปลี่ยนเป็นสีแดงพร้อมกับร้องเรียกหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนได้แต่เอ่ยชมหนิงหลิงยู่“หลิงยู่.. ไม่น่าเชื่อจริงๆ! นี่เธอสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดขั้นโฮ่วเทียน-8 ได้แล้วเหรอนี่! พื้นฐานยังมั่นคงมากอีกด้วย..”
“เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบทั้งหมดให้น้าหญิง..”
ฉินตงเฉี่วยนั้นไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้หลิงหยุนต้องเจ็บตัวอยู่แล้วเธอจึงรีบคลายมือที่บิดหูของเขาให้เบาลง จากนั้นจึงยิ้มสดใสพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าเด็กดื้อ..หลิงยู่ก้าวหน้าได้รวดเร็วเช่นนี้เพราะนางขยันฝึกฝนอย่างหนักต่างหาก ประกอบกับสมุนไพรต่างๆที่เจ้ามอบให้ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย!”
ดวงตาคู่งามชวนฝันของหนิงหลิงยู่นั้นจับจ้องอยู่ที่ร่างกายของหลิงหยุนอย่างเปิดเผินและกำลังสำรวจดูอย่างละเอียดว่าเขาได้รับบาดเจ็บที่ใดบ้าง..
เมื่อได้ฟังคำชมจากหลิงหยุนกับฉินตงเฉี่วยใบหน้างดงามของหนิงหลิงยู่ก็แดงก่ำด้วยความเขินอาย และพูดออกมาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว
“ไม่จริงหรอก..เป็นเพราะน้าหญิงต่างหาก!”
หลิงหยุนที่มองดูอยู่ก็รีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที“ใช่แล้ว.. เป็นเพราะน้าหญิงชี้แนะได้ถูกต้องต่างหาก! น้าหญิง.. ท่านคงเหนื่อยมากสินะ! แต่ท่านช่วยลดแรงบิดหน่อยได้หรือไม่ หูของข้าจะขาดอยู่แล้ว!”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็ได้แต่ยิ้มแต่แทนที่จะลดแรงบิดลง นางกลับเพิ่มแรงบิดมากขึ้นนิดหน่อยพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าไม่ต้องมาเยินยอข้าข้ายังมีเรื่องต้องคิดบัญชีกับเจ้าอีกหลายเรื่อง นี่เจ้ายังกล้าที่จะต่อรองกับข้าอีกงั้นรึ!”
หลิงหยุนได้แต่เงียบไม่กล้าพูดอะไรอีกและหันไปมองหนิงหลิงยู่แทน..
หนิงหลิงยู่เห็นเช่นนั้นก็ทนไม่ได้และรีบขอร้องฉินตงเฉี่วยแทนหลิงหยุนทันที “น้าหญิงคะ.. พี่ใหญ่ไม่ได้มีเจตนาที่จะไม่บอกท่านหรอกค่ะ ปล่อยพี่ใหญ่เถิดนะคะ! ตอนนี้หลายคนต่างก็กำลังมองดูพี่ใหญ่อยู่..”
“เฮ้อ..”
เทพธิดาฉินแสร้งทำเป็นถอนหายใจก่อนจะหันไปจ้องหน้าหลิงหยุน แล้วจึงหันไปพูดกับหนิงหลิงยู่
“หลิงยู่..ขืนเจ้ายังใจอ่อนกับเจ้าเด็กดื้อแบบนี้ วันหน้าหากเขารังแกเจ้า ข้าเองก็คงจะช่วยจัดการอะไรไม่ได้!”
เทพธิดาฉินพูดพร้อมกับปล่อยมือข้างขวาที่บิดหูหลิงหยุนออกทันที..
หนิงหลิงยู่ก้มหน้าลงไม่ตอบโต้อะไรหลิงหยุนเองก็รีบยกมือขึ้นโบกไปมา “น้าหญิง.. ข้าไม่มีทางรังแกหลิงยู่อย่างแน่นอน!”
ฉินตงเฉี่วยถึงกับอึ้งไปแต่แล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “นี่.. รีบเข้าไปในบ้านดีกว่า ก่อนที่สาวๆของเจ้าจะออกมากันเต็มหน้าบ้าน!”
และแล้วทุกคนก็เข้าไปรวมตัวกันอยู่ภายในห้องนั่งเล่น..
เมื่อร่างของฉินตงเฉี่วยปรากฏขึ้นบรรยากาศภายในห้องนั่งเล่นก็เปลี่ยนไปจากก่อนหน้านี้ทันที และเวลานี้ภายในห้องนั่งเล่นก็กลับเงียบสนิท..
ตอนนี้หญิงสาวทั้งหมดยกเว้นไป๋เซียนเอ๋อต่างก็ทำหน้าตาเลิกลั่ก..
“เอ่อ..”
เมื่อหนิงหลิงยู่เห็นบรรดาสาวงามที่อยู่ภายห้องนั่งเล่นใบหน้างดงามของเธอก็ถึงกับเปลี่ยนเป็นซีดเผือดทันที และเริ่มมีความวิตกกังวลเข้ามาแทนที่!
ภายในห้องนั่งเล่นมีผู้คนอยู่มากมายและที่สำคัญทั้งหมดล้วนเป็นหญิงสาวหน้าตางดงามทั้งสิ้น และแน่นอนว่าสิ่งนี้ย่อมไม่เป็นที่พอใจของหนิงหลิงยู่..
เกาเฉินเฉินเสี่ยวเม่ยหนิง หลงหวู่ หลินเมิ่งหาน เหยาลู่ ไป๋เซียนเอ๋อ มู่หลงเฟยจื่อ กงเสี่ยวลู่ และแม้กระทั่งซูปิงหยาน..
หนิงหลิงยู่รู้สึกว่าสมองว่างเปล่าขึ้นมาทันทีและร่างเล็กๆนั้นก็เริ่มสั่นเทิ้ม..
นับตั้งแต่หนิงหลิงยู่ฝึกบ่มเพาะนั้นจิตใจของเธอก็นับได้ว่าเข้าสู่ความสงบนิ่งในระดับหนึ่งแล้ว แต่ภาพที่ได้เห็นเวลานี้ กลับทำให้จิตใจที่สงบนิ่งของหนิงหลิงยู่ขาดสะบั้นลง เลือดในกายของเธอพลุ่งพล่าน และลำคอตีบตันขึ้นมาทันที
“พี่ใหญ่..นี่มัน..”
หนิงหลิงยู่รู้สึกว่าคล้ายจะเป็นลมและแทบไม่สามารถทนได้อีกต่อไป..
“หลิงยู่!”
หญิงสาวคนแรกที่วิ่งเข้ามาหาหนิงหลิงยู่นั้นแน่นอนว่าต้องเป็นเกาเฉินเฉิน หลังจากหายหน้าหายตาไปไม่ได้พบเจอกันมานาน เมื่อเกาเฉินเฉินได้เห็นหนิงหลิงยู่ก็ถึงกับตกใจในความงดงามราวกับนางในฝันจนรู้สึกตกใจอย่างมาก ความรู้สึกที่เกาเฉินเฉินได้พบหนิงหลิงยู่อีกครั้งนั้น เธอรู้สึกราวกับว่าหนิงหลิงยู่ดูไม่เหมือนกับผู้คนบนโลกมนุษย์!
ในสายตาของเกาเฉินเฉินเวลานี้หนิงหลิงยู่ไม่เพียงมีความงดงามที่ไม่เหมือนผู้คนบนโลกใบนี้ แต่เธอยังดูราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสรวงสวรรค์ สาวงามที่อยู่ในห้องรับแขกทั้งหมดนั้น แม้แต่ไป๋เซียนเอ๋อก็ยังไม่อาจเทียบกับหนิงหลิงยู่ได้ จึงแทบไม่ต้องพูดถึงตนเอง..
ความงดงามของหนิงหลิงยู่นั้นเป็นความงดงามที่ชวนฝัน..
ส่วนไป๋เซียนเอ๋อนั้นงดงามและมีเสน่ห์ในแบบของสุนัขจิ้งจอกที่ใครก็ไม่อาจเทียบได้เช่นกัน
สำหรับความงดงามของหญิงสาวทั้งสองคนนั้นคนอื่นๆที่อยู่ภายในห้องนั่งเล่นไม่มีใครเทียบได้ แม้แต่ฉินตงเฉี่วยเองก็ตาม
“เกาเฉินเฉิน!นี่เธอกลับมาแล้วจริงๆเหรอ! ยินดีที่ได้พบเธออีกครั้งนะจ๊ะ.. ”
หนิงหลิงยู่นั้นนับว่าเป็นหญิงสาวที่ดื้อรั้นมากคนหนึ่งแม้ว่าเธอจะรู้สึกตกใจและผิดหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เธอก็เลือกที่จะไม่แสดงความรู้สึกออกมาให้ใครได้เห็น และรีบทักทายเกาเฉินเฉินด้วยสีหน้าท่าทางเป็นปกติแทน
หนิงหลิงยู่รู้ว่าเกาเฉินเฉินกลับมาจากปักกิ่งครั้งนี้ได้ก็เพราะหลิงหยุนเธอจึงรีบแสดงความเป็นห่วงเป็นใย..
ทางด้านเสี่ยวเม่ยหนิงกับเหมี่ยวเสี่ยวเหมานั้นต่างก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้มานานและเป็นเสมือนเจ้าของบ้านครึ่งหนึ่ง เด็กสาวตัวแสบจึงกระตือรือร้นที่จะสร้างบรรยากาศภายในบ้านขึ้นมาแทนความเงียบที่เข้ามาเยือน..
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้คงไม่มีหญิงสาวคนใหนโง่พอที่จะพูดเรื่องของตนเองกับหลิงหยุน ทุกคนต่างก็พูดคุยกันเองอย่างยิ้มแย้มแจ่มใส และจงใจหลีกเลี่ยงที่จะพูดถึงเรื่องของหลิงหยุน
แน่นอนว่าไป๋เซียนเอ๋อนั้นเป็นข้อยกเว้น..นางเอาแต่ทำตัวติดกับหลิงหยุน และไม่สนใจหญิงสาวคนอื่นเลย
“แล้วเรื่องผลสอบเอนทรานซ์ล่ะ..เจ้าจะจัดการเช่นไร”
ทันทีที่ฉินตงเฉี่วยนั่งลงก็เริ่มสอบถามถึงเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์ แม้เธอจะไม่สนใจกับมันมากนัก แต่ในเมื่อหลิงหยุนกลับมาแล้ว นางจึงอยากรู้ว่าหลิงหยุนจัดทำอย่างไรต่อ
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“น้าหญิง.. เรื่องทั้งหมดข้าจัดการเกือบหมดแล้ว คืนนี้ทุกอย่างจะต้องจบ!”
ฉินตงเฉี่วยยิ้มอย่างประหลาดใจ“เร็วถึงเพียงนี้เชียวรึ! ดูเหมือนว่าเจ้าจะจัดการทุกอย่างได้ดีกว่าที่ข้าคิด!”
หลิงหยุนยิ้มและตอบไปว่า“เรื่องนั้นง่ายยิ่งกว่าปลอกกล้วยเข้าปากเสียอีก..”
หลิงหยุนยืนตัวตรงและกวาดสายตามองสาวงามทั้งหมดที่อยู่ในห้องรับแขก ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังฟังชัด..
“เอาล่ะทุกคน..ไม่ต้องห่วงเรื่องผลการสอบเอนทรานซ์ของผม อาหารเที่ยงใกล้จะมาส่งแล้ว ขอให้ทุกคนกินอาหารอย่างมีความสุข!”
บทที่ 832 : ความสุขที่เป็นปัญหา!
ในราวบ่ายโมง..ภัตตาคารจิงฉูก็ได้นำอาหารที่สั่งมาส่งให้ที่บ้าน
และในเมื่ออาหารถูกจัดส่งมายังบ้านเลขที่-1ของหมู่บ้านจิงฉู ทางภัตตาคารจึงต้องจัดอาหารที่ดีที่สุดของทางร้านมาเสริฟให้อย่างแน่นอน และอาหารมากกว่ายี่สิบจานก็ถูกนำมาส่งที่บ้านของหลิงหยุนภายในเวลาเพียงแค่ครึ่งชั่วโมง..
นอกเหนือจากเหตุผลที่ว่าภัตตาคารอยู่ใกล้กับบ้านของหลิงหยุนเพียงแค่นี้แต่ก็ยังมีอีกสองเหตุผลที่หลิงหยุนได้สิทธิพิเศษจากทางร้านซึ่งก็คือ
หนึ่ง..ชื่อเสียงของหลิงหยุนเองที่โด่งดังไปทั่วทั้งเมืองจิงฉู และสอง.. หลิงหยุนเป็นลูกค้าระดับพรีเมี่ยมของภัตตาคารจิงฉู
หลิงหยุนถือบัตรวีไอพีของทางภัตตาคารซึ่งมีวงเงินเป็นล้านและเป็นบัตรที่ผู้อำนวยการสำนักงานรักษาความมั่นคงในเขตจิงฉีที่ชื่อหลิวจิ้นไล๋เป็นผู้มอบให้ด้วยตัวเอง และอาหารที่สั่งจากภัตตาคารทุกครั้ง ก็ยังจะได้ส่วนลดถึงห้าสิบเปอร์เซ็นต์อีกด้วย..
ภัตตาคารจิงฉูส่งพนักงานทั้งหมดเก้าคนมาทำการจัดส่งและเสริฟอาหารในครั้งนี้ เป็นคนขับรถหนึ่งคน คนยกอาหารสี่คน และพนักงานเสริฟอีกสี่คน..
และก็ช่างบังเอิญที่หนึ่งในพนักงานเสริฟสาวสวยทั้งสี่คนนั้นก็คือจางซินซึ่งเป็นพนักงานเสริฟที่หลิงหยุนเคยให้ทิปถึงห้าหมื่นหยวนนั่นเอง
เวลานี้ชื่อเสียงของหลิงหยุนนั้นเรียกได้ว่าแทบไม่มีใครในเมืองจิงฉูไม่รู้จัก เรื่องที่เขาให้ทิปจางซินห้าหมื่นหยวนก็แพร่สะพรัดไปถึงหูของพนักงานเสริฟคนอื่นๆ ทุกคนต่างก็ได้แต่บ่นพึมพำว่าเมื่อไหร่พวกเธอจะได้มีส้มหล่นแบบนี้บ้าง
และไม่ว่าหลิงหยุนจะอยู่ร่วมรับประทานอาหารด้วยหรือไม่ก็ตามหน้าที่ในการเสริฟอาหารที่บ้านเลขที่-1 นั้น ก็ได้ตกเป็นหน้าที่ของจางซินไปโดยปริยาย..
แม้ว่านี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่จางซินมาเสริฟอาหารที่บ้านหลังนี้และได้เห็นภาพที่มีสาวงามอยู่เต็มบ้านไปหมด แต่ถึงกระนั้นภาพที่เหล่าสาวงามราวกับเทพธิดานั่งกันอยู่เนืองแน่นห้องนั่งเล่นที่กว้างใหญ่นั้น ก็ยังคงทำให้เธอตกใจอยู่มากเช่นเคย!
จางซินเป็นหญิงสาวร่างสูงผิวพรรณละเอียดผ่องใส ผมยาวประบ่า กำลังยิ้มหวาน เธออยู่ในชุดพนักงานเสริฟของภัตตาคารจิงฉู ซึ่งก็คือชุดกี่เพ้าสีแดงสดใสผ่าสูงจนเห็นต้นขาขาวนวลเนียนที่สวมทับด้วยถุงน่องเนื้อบาง ท่วงท่าการเดินของเธอนั้นดูสวยงามมีเสน่ห์ และดึงดูดสายตาผู้พบเห็นอย่างมาก
แม้จางซินจะนับว่าเป็นหญิงสาวที่มีรูปร่างหน้าตางดงามไม่น้อยแต่เมื่อเธอมายืนอยู่ในห้องนั่งเล่นที่มีสาวงามราวเทพธิดาอยู่เต็มไปหมดเช่นนี้ ความงดงามของเธอจึงจืดจางลงไปทันที
ภายในบ้านของหลิงหยุนนั้นนับว่าใหญ่โตโอ่อ่าอย่างมากแม้ทางภัตตาคารจะยกโต๊ะกลมที่หรูหราสวยงาม และมีขนาดใหญ่มากางในห้องรับประทานอาหาร แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภายในห้องดูอึดอัดเลยแม้แต่น้อย
จางซินทำหน้าที่สั่งการพนักงานให้จัดการยกอาหารทั้งหมดขึ้นโต๊ะและต้องช่วยกันยกอาหารทั้งหมดถึงสามรอบ จึงจะสามารถนำมาเสิรฟขึ้นโต๊ะได้ทั้งหมด
และเวลานี้..กลิ่นหอมของอาหารก็กำลังอบอวลไปทั่วทั้งห้อง..
เมื่อจัดโต๊ะเรียบร้อยแล้วหลิงหยุนก็ลงไปนั่งประจำที่ทางด้านทิศเหนือ ส่วนสาวงามทั้งหมดก็กำลังมองหาที่นั่งของตนเอง
“อาหารพร้อมแล้ว..ขอเชิญเริ่มรับประทานได้แล้วค่ะ!”
จางซินที่ยืนอยู่ด้านซ้ายมือของหลิงหยุนยกมือขึ้นผายเชื้อเชิญใบหน้าของเธอแดงก่ำและยิ้มเอียงอายขณะที่พูดกับหลิงหยุน
และนั่นไม่ใช่รอยยิ้มของพนักงานเสริฟมืออาชีพอย่างจางซินเพราะเธอกำลังรู้สึกเขินอายต่อหน้าหลิงหยุน
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับหันไปบอกเด็กสาวตัวแสบ“หนิงน้อย.. จัดการจ่ายค่าอาหารด้วย!”
แน่นอนว่าบัตรวีไอพีที่หลิงหยุนได้มานั้นอยู่ที่เสี่ยวเม่ยหนิงเมื่อเธอจัดการชำระค่าอาหารเรียบร้อยแล้ว ก็สั่งให้จางซินเริ่มรินน้ำชาให้ทันที..
จะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามจางซินแอบยืนอยู่ข้างหลิงหยุนเงียบๆ เพื่อหลบสายตาของสาวงามทั้งหลาย เธอหวาดกลัวเสี่ยวมเม่ยหนิงจนได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะก้าวออกมาแม้แต่ครึ่งก้าว
ด้านซ้ายของหลิงหยุนก็คือหนิงหลิงยู่และด้านขวามือของเขาก็คือฉินตงเฉี่วย เพราะนอกเหนือจากสองคนนี้แล้ว ก็ไม่มีหญิงสาวคนใดที่จะกล้านั่งตำแหน่งนี้อย่างแน่นอน
แต่ก็ยังไม่มีใครยอมยกตะเกียบขึ้นคีบอาหารฉินตงเฉี่วยกวาดสายตามองไปทางสาวงามทั้งหมดที่ร่วมโต๊ะอาหาร ทุกคนต่างก็นั่งก้มหน้าแดง ในที่สุดฉินตงเฉี่วยก็หันไปยิ้มกับหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้าจะไม่กล่าวอะไรกับบรรดาสาวๆของเจ้าสักหน่อยรึ”
หลิงหยุนได้ฟังจึงรีบตอบกลับไปทันที“น้าหญิง.. ข้าหิวข้าวจะตายอยู่แล้ว รีบๆกินกันดีกว่า บ่ายนี้ข้ายังมีเรื่องต้องกลับไปจัดการอีกมาก..”
ฉินตงเฉี่วยได้ฟังก็นึกแปลกใจแต่ก็ไม่ต้องการทำให้หลิงหยุนลำบากใจ จึงได้แต่พยักหน้ายิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า
“เอาล่ะ..ถ้างั้นก็รีบลงมือสิ!”
ถึงแม้ว่าจะมีสาวงามรวมตัวอยู่มากมาย แต่เพราะมีฉินตงเฉี่วยอยู่ด้วย จึงไม่มีผู้ใดกล้าคุยสนุกสนาน อาหารมื้อนี้จึงค่อนข้างกร่อยเล็กน้อย..
นอกเหนือจากฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่แล้วก็ไม่มีหญิงสาวคนใดกล้าคีบอาหารให้กับหลิงหยุนเลยแม้แต่คนเดียว
การกลับมาของหลิงหยุนนั้นหญิงสาวแต่ละคนต่างก็มีความรู้สึก และมีความต้องการแตกต่างกันไป เพียงแต่ไม่มีใครกล้าที่พูดออกมาในเวลานี้เท่านั้น
แต่ถึงแม้ว่าจะไม่พูดอะไรออกมาแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเธอจะไม่แสดงความรู้สึกผ่านทางสีหน้าและแววตา..
ระหว่างรับประทานอาหารนั้นหลิงหยุนก็ได้สบตากับหญิงสาวทุกคน และสัมผัสได้ถึงความรู้สึกต่างๆที่ซ่อนอยู่ในแววตาของหญิงสาวแต่ละคน
อย่างเช่นเหยาลู่กับหลินเมิ่งหาน..สายตาของทั้งคู่บ่งบอกว่า ต้องการให้หลิงหยุนไปหากพวกเธอในคืนนี้
ส่วนสายตาของซูปิงหยานนั้นก็บ่งบอกว่าเธอรู้สึกเป็นห่วงหลิงหยุน และหากเขายังไม่กลับมา เธอก็คงจะไปหาเขาที่ปักกิ่ง..
กงเสี่ยวลู่ยังคงอยู่ในท่าทีของครูผู้เคร่งครัดใบหน้าไร้รอยยิ้มและเคร่งขรึมเช่นเคย แต่ก็ดูมีความกังวลใจอยู่ลึกๆ
ไป๋เซียนเอ๋อเป็นคนที่ตรงไปตรงมาที่สุดหลังจากที่กินอาหารไปได้สองสามคำ นางก็ร้องบอกหลิงหยุนออกมาอย่างที่รู้สึก
“พี่หลิงหยุน..จากนี้ไปท่านห้ามทิ้งเซียนเอ๋อไว้ตามลำพังอีกนะ!”
…….
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวทุกคนต่างก็เพ่งความสนใจมาที่ตนเองเช่นนี้หลิงหยุนก็รู้สึกมีความสุขจนตัวลอย..
แต่น่าเสียดายที่เทพธิดาฉินนั่งอยู่ในที่นี้ด้วยไม่เช่นนั้นการรับประทานอาหารในมื้อนี้คงจะไม่เงียบกริบเช่นนี้..
จางซินกับพนักเสริฟคนอื่นๆช่วยกันรินชา และบริการทุกคน และเพียงไม่ถึงสี่สิบนาที อาหารทั้งหมดที่เสริฟบนโต๊ะก็หมดเกลี้ยง..
หลังจากที่ทุกคนรับประทานอาหารจนอิ่มหนำสำราญแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องรับประทานอาหารกลับไปที่ห้องนั่งเล่น ปล่อยให้จางซินกับพนักงานคนอื่นจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะ
หลิงหยุนเดินกลับเข้าไปนั่งบนโซฟาที่อยู่ในห้องนั่งเล่นแต่ในใจกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องอื่น
‘เฮ้อ..คืนนี้ข้าควรกลับไปอยู่กับใครดี! ปวดหัวจริงๆ!’
และแน่นอนว่ามันคือความสุขที่นำมาซึ่งปัญหาที่น่าปวดหัวที่สุดในโลก!
หลังจากที่จางซินจัดการเก็บโต๊ะเรียบร้อยแล้วเธอก็โทรเรียกรถของภัตตาคารมารับ และจัดการขนของกลับ..
‘เด็กหนุ่มคนนี้สามารถทำให้สาวสวยพากันมารุมล้อมได้มากมายถึงขนาดนี้เชียวเหรอ!’
หลังจากที่นั่งคุยกันต่ออีกสักพักมู่หลงเฟยจื่อ กงเสี่ยวลู่ และซูปิงหยาน ทั้งสามคนต่างก็แยกย้ายกันกลับไป หลิงหยุนเดินออกไปส่งเพราะโดยอายุแล้ว พวกเธอทั้งสามคนต่างก็อายุรุ่นราวคราวเดียวกับฉินตงเฉี่วย
-เจ้าเด็กดื้อ..นี่เจ้าไม่ทำเกินไปหน่อยหรือยังไง–
หลิงหยุนเดินเข้ามาในห้องก็ได้ยินเสียงเกรี้ยวกราดดังมาเข้าหูทันทีเขารู้ว่าฉินตงเฉี่วยกำลังพูดถึงอะไร แต่ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง และไม่ต้องการพูดเรื่องไร้สาระน่ารำคาญในตอนนี้
เขาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันทีและเพียงคำพูดแค่ประโยคเดียวขของหลิงหยุน ก็ทำให้ทุกคนในที่นั้นลืมเรื่องอื่นๆไปในทันที
“น้าหญิง..ข้าพาแวมไพร์กลับมาด้วย ท่านอยากจะเห็นหรือไม่”